ผวา ‘500’ แผนล้มกระดาน!

พรรคเพื่อไทยยังเคืองหาร 500 ร่างกฎหมายเลือกตั้งผ่านวาระ 3 เมื่อไหร่เจอกันที่ศาลรัฐธรรมนูญ อ้างตรรกะ ส.ส.บัญชีรายชื่อมีแค่ 100 คน ทำไมต้องเอา  500 หาร ขณะที่เลขาธิการพรรคก้าวไกลกัดฟันพูด อยากได้ ส.ส.เขตมากกว่า ผวาเป็นการวางกับดัก ทำให้เกิดสุญญากาศทางการเมือง การเลือกตั้งล่าช้าหรือไม่ หรือเดินไปสู่อย่างอื่นเช่นล้มกระดาน

เมื่อวันที่ 9 กรกฎาคม 2565 นายประเสริฐ จันทรรวงทอง ส.ส.นครราชสีมา เลขาธิการพรรคเพื่อไทย (พท.)  ให้สัมภาษณ์กรณีที่ พล.อ.ประยุทธ์ จันทร์โอชา นายกรัฐมนตรีและรัฐมนตรีว่าการกระทรวงกลาโหม ระบุการใช้สูตรคำนวณ ส.ส.บัญชีรายชื่อโดยใช้ 500 หารนั้นทำได้ง่ายกว่าการใช้ 100 หารว่า ไม่ได้เกี่ยวกับเรื่องยากหรือเรื่องง่าย สิ่งที่ต้องพิจารณาคือขัดรัฐธรรมนูญหรือไม่ เพราะรัฐธรรมนูญกำหนดไว้ชัดเจนว่าให้มีบัตรสองใบและให้มีการคำนวณ ส.ส.ในแต่ละแบบแยกจากกัน

ฉะนั้น เมื่อรัฐธรรมนูญเขียนไว้เช่นนี้ ปรากฏว่ามีการแปรญัตติไปให้ 500 เป็นการคิด ส.ส.พึงมี ซึ่งรัฐธรรมนูญไม่ได้ให้คิด ส.ส.พึงมีแล้ว และไม่จำเป็นต้องยึดโยงกันแล้ว แต่คิดบัตรใครบัตรมัน เมื่อประชาชนไปเลือก ส.ส.เขตเลือกตั้ง เขตไหนได้คะแนนสูงก็ได้ไป ส่วนบัญชีรายชื่อคะแนนได้เท่าไรก็มาคิดบัญชีรายชื่อ ไม่ต้องไปยึดโยงจำนวน ส.ส.พึงมีที่ขัดเจตนารมณ์รัฐธรรมนูญที่มีการแก้ไข

เมื่อถามว่า แล้วพรรค พท.จะลุยแก้เกมอย่างไรต่อ  หรือรอวาระ 3 ก่อน นายประเสริฐกล่าวว่า ทันทีที่รัฐธรรมนูญผ่านความเห็นชอบในวาระ 3 ของรัฐสภา เราจะทำคำร้องไปยังศาลรัฐธรรมนูญและองค์กรอิสระที่เกี่ยวข้องคือ คณะกรรมการการเลือกตั้ง (กกต.) เพื่อบันทึกและนำเสนอความเห็นประกอบไปด้วยว่า สิ่งที่รัฐสภาโหวตไปแล้ว เป็นการกระทำการที่ขัดต่อรัฐธรรมนูญหรือไม่ เพื่อที่จะได้หายจากการเป็นที่กังขาของสังคมและประชาชนที่สงสัย  เพราะ ส.ส.บัญชีรายชื่อมีแค่ 100 คน ทำไมต้องเอา  500 หาร

ถามว่า กรณีการจะตั้งพรรคครอบครัวเพื่อไทยจะนำหารือที่ประชุมพรรคเลยหรือไม่ นายประเสริฐตอบว่าไม่ได้เข้า เพราะเรื่องนี้เป็นการพูดคุยกันเล่นๆ ระหว่างกลุ่ม ส.ส.

นายชัยธวัช ตุลาธน เลขาธิการพรรคก้าวไกล (ก.ก.)  ให้สัมภาษณ์ว่า เป็นที่ทราบกันดีอยู่แล้วว่าเหตุผลที่แท้จริงที่ พล.อ.ประยุทธ์ต้องการเปลี่ยนระบบเลือกตั้ง เป็นไปเพื่อประโยชน์ของตัวเองในการสืบทอดอำนาจต่อไป การเปลี่ยนจากระบบคู่ขนานที่หาร 100 มาเป็นระบบสัดส่วนผสมที่หาร 500 จะมีปัญหาในการคำนวณอย่างแน่นอน  เพราะเป็นการหาร 500 แบบครึ่งบกครึ่งน้ำ ดังนั้นจึงชัดเจนว่าเป็นการทำทุกวิถีทางให้ตัวเองได้เป็นนายกฯ ต่อ  นอกจากนี้การหาร 500 น่าจะขัดต่อรัฐธรรมนูญ และเป็นการวางกับดักทางเมืองไว้หรือไม่ ซึ่งเป็นเรื่องที่พรรคร่วมฝ่ายค้านกังวล

ถามถึงข้อสังเกตว่า การหาร 500 จะทำให้พรรค  ก.ก.ได้เปรียบ เลขาธิการพรรคก้าวไกลตอบว่า ตอนนี้หลายฝ่ายชอบอ้างว่าพรรคก้าวไกลได้ประโยชน์จากระบบเลือกตั้งนี้ เพราะเราเคยเสนอระบบการเลือกตั้งแบบสัดส่วนผสม แต่น่าจะต้องเลิกพูดได้แล้ว เพราะสิ่งที่เราเสนอแพ้ไปแล้ว เราจึงเสนอกฎหมายลูกล้อไปกับรัฐธรรมนูญฉบับแก้ไข และยึดที่รัฐธรรมนูญเป็นหลัก ไม่ใช่การยึดผลประโยชน์ของใครเป็นตัวตั้ง

“สุดท้ายระบบการเลือกตั้งนี้จะกลายเป็นลูกผสมที่ไม่ดีกับใครเลย สำหรับทิศทางและเป้าหมายการเลือกตั้งครั้งหน้าและต่อๆ ไปของพรรคก้าวไกล คือการขยาย ส.ส.เขต ให้มากที่สุด และให้มากกว่า ส.ส.บัญชีรายชื่อ ดังนั้นจึงไม่ใช่ผลประโยชน์ของเรา เพราะเราต้องการเป็นพรรคหลักที่จัดตั้งรัฐบาลในอนาคต เราจึงมองไปที่ ส.ส.เขต และพรรคก้าวไกลไม่ได้มีเป้าหมายเพื่อจะเป็นพรรคบัญชีรายชื่อ  ส่วนการสร้างระบบการเลือกตั้งที่ดี คือการตั้งสมาชิกสภาร่างรัฐธรรมนูญ (ส.ส.ร.) ขึ้นมาร่างรัฐธรรมนูญ”

ผวาล้มกระดาน

เมื่อถามว่า แล้วพรรคก้าวไกลมองว่าระบบเลือกตั้งนี้เป็นประโยชน์ต่อตัวเองหรือไม่ นายชัยธวัชกล่าวว่า เรื่องระบบเลือกตั้งต้องมีหลักคิดว่า ระบบเลือกตั้งแบบใดจะดี และสอดคล้องกับการเมืองของแต่ละที่ แต่ระบบที่ครึ่งๆ กลางๆ นี้ หากนำมาใช้แล้วมีปัญหาจะไม่เป็นประโยชน์กับใครเลย ยังไม่นับว่าระหว่างทางชะตากรรมของร่างพระราชบัญญัติ (พ.ร.บ) ประกอบรัฐธรรมนูญว่าด้วยการเลือกตั้ง  ส.ส. พ.ศ. … ฉบับนี้จะเป็นอย่างไร จะทำให้เกิดสุญญากาศทางการเมือง หรือทำให้การเลือกตั้งล่าช้าหรือไม่ ทั้งยังทำให้การยุบสภามีปัญหา

“เราจึงกังวลว่าการถกเถียงเรื่องระบบเลือกตั้ง สุดท้ายจะเป็นหมากให้เดินไปสู่อย่างอื่นหรือไม่ เช่นการล้มกระดาน เพราะเป็นความเสี่ยงอยู่เหมือนกัน และมีเจตนาที่จะยืดเยื้อการพิจารณาร่าง พ.ร.บ.ออกไปหลังอภิปรายไม่ไว้วางใจ โดยการใช้ช่วงเวลา 2 สัปดาห์ระหว่างนี้มากำหนดเกมกันใหม่ว่าจะเดินกันอย่างไรในฝ่ายของรัฐบาล”  นายชัยธวัชกล่าว

ซักว่า ฝ่ายใดได้ประโยชน์จากสถานการณ์ความขัดแย้งระหว่างพรรคการเมือง นายชัยธวัชตอบว่า แน่นอนว่าฝ่ายที่ได้ประโยชน์คือ คสช. หรือกลุ่มแกนนำที่สืบทอดอำนาจจากการรัฐประหาร ดังนั้นฝ่ายประชาธิปไตยต้องตั้งหลัก ว่าจะรวมพลังอย่างไรให้ดีที่สุดเพื่อเปลี่ยนขั้วรัฐบาลให้ได้ในอนาคต ส่วนร่าง พ.ร.บ.นี้ก็ยังไม่จบ และยังไม่ถึงบทสรุปของมัน เป็นแค่ด่านแรกเท่านั้น

ด้านนายชนะศักดิ์ อัตถาวงศ์ ที่ปรึกษารัฐมนตรีประจำสำนักนายกรัฐมนตรี กล่าวว่า พรรคเพื่อไทยควรยอมรับในกติกาของสภา เสียงข้างมาก และต้องให้เกียรติเสียงของ  ส.ส.ที่โหวตเห็นชอบสูตรคำนวณ ส.ส.แบบบัญชีรายชื่อ ด้วยการหาร 500 เช่นเดียวกัน พร้อมยืนยันว่า ไม่มีผู้มีอำนาจที่ไหนมองรัฐธรรมนูญและกฎหมายว่าด้วยการเลือกตั้งเป็นเครื่องมือเอาเปรียบใคร ซึ่งการจัดทำกฎหมายต่างๆ  เป็นไปตามกระบวนการ ทั้งนี้ยืนยันนายกรัฐมนตรีไม่ได้เข้าไปเกี่ยวข้อง เพราะเป็นเรื่องของสภาในการพิจารณา

“ไม่มีใครกลัวการประกาศแลนด์สไลด์ของพรรคเพื่อไทย เพราะการเลือกตั้งทุกพรรคการเมืองก็สู้กันอย่างเต็มที่อยู่แล้ว แต่ผมมองว่าการที่สมาชิกพรรคเพื่อไทยออกมาดิ้นรนเรื่องนี้ นำมากล่าวหาโจมตีคนอื่นอย่างต่อเนื่อง เพราะกลัวว่าจะไม่ได้เข้ามาเป็นรัฐบาล และไม่สามารถหาทางช่วยเหลือทักษิณและยิ่งลักษณ์ ชินวัตร ให้กลับมายังเมืองไทยได้ แต่หากคิดว่าพรรคเพื่อไทยเป็นที่นิยม มีคะแนนเสียงที่ดีมาเป็นอันดับหนึ่ง ก็ขออย่าได้กลัวการเลือกตั้งที่จะถึงไม่ว่ากติกาจะเป็นอย่างไร ไม่ทราบว่าพวกสมุนลิ่วล้อในคอกจะทำเป็นตกอกตกใจไปทำไม ในเมื่อเจ้าของคอกยังออกมาพูดว่า ไม่ว่าออกมาสูตรไหน 500 หรือ 100 หาร ก็ไม่กลัวและมั่นใจว่าฝ่ายพวกเขาจะกลับมาชนะแน่นอน ในเมื่อหัวหน้าคอกยังเฉยๆ ไม่ทุกข์ไม่ร้อนใจอะไร แล้วทำไมพวกสมุนจึงทำตัวเหมือนกระต่ายตื่นตูม ทำตัวเป็นวัวสันหลังหวะมากกว่านายใหญ่เจ้าของคอกไปได้ ล้ำเส้นออฟไซด์เจ้านายมากเกินไปหรือเปล่า" นายชนะศักดิ์กล่าว

ย้ายไปพรรค 'ธรรมนัส'

นายพีระวิทย์ เรื่องลือดลภาค ส.ส.บัญชีรายชื่อ หัวหน้าพรรคไทรักธรรม ให้สัมภาษณ์ว่า การใช้สูตร 500  หารนั้นไม่ง่าย และอย่างไรก็เป็นไปไม่ได้ ซึ่งหากเป็นใบเดียวก็โอเคเพราะคำนวณได้ง่าย แต่นี่เป็นบัตรสองใบ และรัฐธรรมนูญก็เขียนเอาไว้แล้วว่าหนึ่งสิทธิ์หนึ่งเสียง ซึ่งก็ชัดเจนว่าเลือก ส.ส.สองประเภท ก็สิทธิ์ละหนึ่งเสียง บัญชีรายชื่อหนึ่งเสียง เขตก็อีกหนึ่งเสียง โดยเขตเมื่อได้คะแนนสูงก็ชนะเลย แต่บัญชีรายชื่อมี 100 คน ไม่ได้มี 500  ตนจึงเลือกที่จะโหวตหารด้วย 100 ทั้งนี้เรื่องนี้เป็นเรื่องที่จะสมมติไม่ได้ ต้องเอาเรื่องจริงมาคุยกัน

เมื่อถามว่า มองว่าสูตรการคำนวณ ส.ส.บัญชีรายชื่อโดยใช้ 500 หาร พรรคเล็กจะมีหวังจริงหรือไม่ เพราะส.ส.บัญชีรายชื่อมีแค่ 100 ที่นั่งเท่านั้น นายพีระวิทย์ กล่าวว่า “มันก็ยาก ไม่ว่าจะ 100 หรือ 500 พรรคเล็กก็ยังมีความหวังน้อยและมีโอกาสน้อยที่จะได้ ส.ส.พรรคละหนึ่งคน สู้เอาเวลาไปขยัน หรืออย่างผมก็ปลีกตัวมาลงส.ส.เขตเลย 30,000-40,000 คะแนนได้ แบบนี้ชัวร์กว่า”

ถามต่อว่า หมายความว่าเลือกตั้งครั้งหน้าเลือกที่จะลง ส.ส.เขตแต่อยู่พรรคเดิมใช่หรือไม่ นายพีระวิทย์กล่าวว่า ย้ายพรรค แต่ยังไม่ทราบว่าจะไปพรรคไหน แต่คาดว่าน่าจะไปกับ ร.อ.ธรรมนัส พรหมเผ่า ส.ส.พะเยา หัวหน้าพรรคเศรษฐกิจไทย (ศท.)

นายสุวัจน์ ลิปตพัลลภ ประธานพรรคชาติพัฒนา อดีตรองนายกรัฐมนตรี กล่าวว่า ขณะนี้ก็มีข้อคิดเห็นที่เห็นแตกต่างกันว่าอะไรดีกว่าอะไร 100 หารดีกว่า หรือ 500  หารดีกว่า แต่ที่สุดแล้วในเรื่องที่เกี่ยวข้องกับรัฐธรรมนูญและกฎหมายก็คงต้องยึดหลักของความถูกต้องของกฎหมายเป็นหลัก ฉะนั้นตนคิดว่าคำชี้ขาดหรือคำวินิจฉัยหรือการพิจารณาต่างๆ ของศาลรัฐธรรมนูญ ก็คงจะมีบรรทัดฐานที่เหมาะสมที่จะทำให้ทุกฝ่ายยอมรับกันว่าควรที่จะเป็นอย่างไร หรือมติของรัฐสภานั้นได้รับการยอมรับว่ามีความถูกต้องประการใด ฉะนั้นเพื่อความชัดเจนต่างๆ ถึงแม้ว่าบางคนมองว่าควรจะหาร 100 บางคนอาจจะมองว่าควรจะหาร 500 แต่ว่าเมื่อเป็นมติไปแล้วตอนนี้ตนคิดว่าสิ่งที่ดีที่สุดก็คือฟังศาล 

“ผมว่าเหมือนนักกีฬา เมื่อกติกาเปลี่ยนเราพร้อมจะเล่นหรือเปล่า การเมืองเป็นงานอาสา ถ้าเราพร้อมจะเล่น  เราอยากได้ชัยชนะ เราก็ต้องวางแผนการเล่น ก็ต้องปรับยุทธศาสตร์ต่างๆ ให้สอดคล้องกับกฎกติกา แต่สำคัญที่สุดกฎกติกาก็ต้องเป็นธรรมกับทุกฝ่าย เพื่อให้ทุกฝ่ายมีความรู้สึกว่าอยากเข้าสู่สนามเลือกตั้งแล้ว เมื่อตัดสินแล้วแพ้ชนะ  พี่น้องประชาชนตัดสินมาแล้วทุกคนยอมรับ เพื่อให้การเมืองมีเสถียรภาพ ไม่เกิดเดดล็อกทางการเมือง นี่เป็นสิ่งที่สำคัญที่สุด ฉะนั้นวันนี้ผมคิดว่าการรักษาบรรยากาศดีๆ  ความร่วมมือทางการเมือง ความรู้สึกว่าทุกอย่างเป็นธรรรม แล้วเข้าสู่สนามเลือกตั้งด้วยกัน ด้วยความรู้สึกอยากเข้าไปแก้ไขปัญหาให้พี่น้องประชาชน แล้วเลือกตั้งมาแล้วยอมรับผล แล้วมีความร่วมมือกัน สภาและรัฐบาลทำงานได้ ฝ่ายค้านตรวจสอบได้ สิ่งนั้นจะเป็นสิ่งที่ดีที่สุด แล้วพี่น้องประชาชนจะสบายใจว่าการเมืองจะเป็นที่หวัง ที่พึ่ง และเป็นทางออกให้ประเทศได้" นายสุวัจน์กล่าว

พรรคกล้าชอบหาร 500

นายอรรถวิชช์ สุวรรณภักดี เลขาธิการพรรคกล้า  กล่าวว่า ขอบคุณ ส.ส.และ ส.ว.ที่โหวตเห็นชอบให้ใช้วิธีการคำนวณจำนวน ส.ส.ด้วยวิธีการหารด้วย 500 ซึ่งพรรคกล้านั้นจัดตั้งขึ้นมาเพื่อให้สอดรับกับการหารด้วย  500 ตั้งแต่ต้น เนื่องจากมองว่าการหารด้วย 500 จะทำให้คนรุ่นใหม่ทางการเมืองมีโอกาสเข้าสู่การเมืองได้ ทำให้มีพรรคเฉพาะกิจเฉพาะด้านเกิดขึ้น ทั้งพรรคด้านเศรษฐกิจ ด้านกีฬา ด้านสิ่งแวดล้อม และเชื่อว่าในอนาคตจะเป็นรัฐบาลผสมที่มีความหลากหลาย ซึ่งเป็นสิ่งที่น่าสนใจ เพราะเมื่อเข้าไปทำการเมืองจริง จะทำให้ฝ่ายนิติบัญญัติและฝ่ายบริหารมีการตรวจสอบกันได้จริง ประชาธิปไตยจะมีการพัฒนา แต่หากกลับไปใช้สูตรเดิมที่ผ่านมาก็ทราบดีว่ามีบทเรียนอะไรเกิดขึ้น ก็จะกลายเป็น  ส.ส.ทำการเมืองคล้ายกับนักการเมืองท้องถิ่น ยืนยันว่าพรรคกล้าพร้อมกับกติกาที่จะออกมา และคิดว่าแนวทางนี้น่าจะไปได้ดี ทำให้พรรคสามารถจะเป็นเวทีให้คนรุ่นใหม่ได้ ซึ่งภายหลังจากที่มีการประกาศสูตรหาร 500 ก็มีคนสมัครเข้าพรรคเพื่อแสดงเจตจำนงลงสมัคร ส.ส.ในเขตพื้นที่ต่างๆ จำนวนมาก

“สูตรหาร 100 เคยเกิดขึ้นแล้ว กลายเป็น ส.ส.ต้องลงไปทำการเมืองคล้ายกับนักการเมืองท้องถิ่น ไม่ใช่การเมืองที่สู้ในระดับชาติ ที่มากกว่านั้นคิดว่าสูตรหาร 500  ไปได้ มันทำให้การเมืองเปลี่ยน เราเคยลองมาแล้วทั้งสูตรหาร 100 ทั้งบัตรเลือกตั้งใบเดียวแบบหาร 500 แต่ครั้งนี้เป็นบัตรสองใบหาร 500 ผมว่ามันคือวิวัฒนาการทางการเมือง”

ส่วนกรณีที่หลายคนกังวลเรื่องจะทำให้เกิดพรรคเล็กจำนวนมากแบบที่เคยเกิดขึ้นหรือไม่นั้น นายอรรถวิชช์ เชื่อว่าไม่น่าจะเกิดขึ้น เนื่องจากใน พ.ร.ป.ว่าด้วยการเลือกตั้งกำหนดไว้ชัดเจนถึงวิธีของการคำนวณ อ่านและเข้าใจกติกาง่ายกว่า จะไม่เกิดการเขย่งเหมือนในอดีตที่ผ่านมา เพราะมีแนวโน้มว่าเมื่อคำนวณคะแนนเสียงแล้ว จำนวน ส.ส.บัญชีรายชื่อจะเกินกว่าที่กำหนด ดังนั้นจำนวนคะแนนเสียงต่อ ส.ส. 1 คน อาจต้องใช้มากกว่า 7  หมื่นหรือ 8 หมื่นเสียง ไม่เหมือนอย่างที่หลายฝ่ายคาดการณ์ไว้

นายอรรถวิชช์ยังกล่าวถึงกรณีจะมีการแตกแบงก์พันของพรรคการเมืองบางพรรคว่า เรื่องนี้จะต้องทำด้วยความระมัดระวัง เพราะหากเป็นกรรมการบริหารอยู่พรรคหนึ่ง  แล้วไปจัดตั้งพรรคการเมืองอีกพรรค จะเป็นสิ่งที่ผิดกฎหมาย แต่ทั้งนี้ความจริงไม่จำเป็นต้องไปแตกแบงก์พัน  เป็นพรรคแบบไหนก็ต่อสู้แบบนั้น มีโอกาสชนะได้ ไม่จำเป็นที่จะต้องใช้เทคนิค แต่ขอว่าสู้กับอะไรก็ขอให้มีความชัดเจนของเป้าหมาย ว่าต้องการต่อสู้กับใคร

เลขาธิการพรรคกล้าย้ำว่า แม้จะมีการยื่นศาลรัฐธรรมนูญตีความ แต่ไม่ว่าท้ายที่สุดจะออกมาเป็นสูตรหารด้วย 100 หรือ 500 พรรคกล้าก็พร้อมที่จะสู้เสมอ และย้ำว่าพรรคกล้าและพรรคการเมืองที่จัดตั้งขึ้นมาใหม่ ล้วนตั้งขึ้นมาด้วยสูตรการหาร 500 และเชื่อว่าจะไม่ทำให้เกิดสุญญากาศทางการเมือง เนื่องจากตนและทีมกฎหมายของพรรคอ่านกฎหมายทุกมาตรา และมั่นใจว่าแม้จะยื่นศาลรัฐธรรมนูญ ผลการวินิจฉัยก็ไม่ขัดรัฐธรรมนูญ.

 

เพิ่มเพื่อน

ข่าวที่เกี่ยวข้อง