โผล่แล้วทีมเด็ดหัว! ‘เพื่อไทย-ก้าวไกล’ เข้าขากว่าเดิมซักฟอก ‘มิก29’ พม่าด้วย

ฝ่ายค้านคึกคัก จัดขุนพลถล่มรัฐบาล ก้าวไกลแบ่ง 4 ทีม คุยลั่นเด็ดหัวได้แน่ โวมีหลักฐานทั้งทุจริต ผิดจริยธรรม เพื่อไทยขอซักฟอก 5 วัน จัด 15 ส.ส.ฝีปากดีซัด 11 รัฐมนตรี ดักคอองครักษ์อย่าตีรวน ประท้วงจนเสียบรรยากาศ              

เมื่อวันที่ 2 กรกฎาคม 2565 นายณัฐวุฒิ บัวประทุม ส.ส.บัญชีรายชื่อ และรองหัวหน้าพรรคก้าวไกล ให้สัมภาษณ์กรณีที่วิปรัฐบาลยืนยันให้เปิดอภิปรายไม่ไว้วางใจ 4 วันว่า ในเบื้องต้นจะมีการนัดประชุมวิปทั้ง 2 ฝ่ายอย่างเป็นทางการ ในวันที่ 6 กรกฎาคม ซึ่งน่าจะได้ข้อสรุปที่ชัดเจนถึงระยะเวลาในการอภิปราย และเริ่มตั้งแต่วันที่เท่าใด สำหรับจุดยืนของพรรคร่วมฝ่ายค้าน ไม่ได้อยู่ที่จำนวนวัน แต่ขึ้นอยู่กับจำนวนชั่วโมงที่คิดว่าเหมาะสมกับจำนวนรัฐมนตรี และประเด็นที่จะอภิปรายมีกรอบอยู่ที่ 40 ชั่วโมง

ผู้สื่อข่าวถามว่า ในการอภิปรายไม่ไว้วางใจครั้งนี้ไม่จำเป็นต้องมีองครักษ์ เพราะถือว่าเป็นการอภิปรายครั้งสุดท้ายของพรรคร่วมฝ่ายค้าน รองหัวหน้าพรรคก้าวไกลตอบว่า รัฐบาลก็คงพูดแบบนี้ทุกครั้ง แต่ประโยคนี้มีความย้อนแย้งกันเอง

"ก็ไม่ทราบว่านำชื่อมาจากหนังจีนเรื่องอะไร มีทั้งทีมเจ้ายุทธ์ ทีมปราบมาร แต่เท่าที่ทราบ รัฐมนตรีแต่ละคนไม่ได้เรียกร้องให้มีองครักษ์ เนื่องจากจะตอบคำถามด้วยตนเอง ผมคิดว่าทั้งรัฐมนตรีที่มาจากพรรค หรือว่า ส.ส.ของรัฐบาลควรจะหารือกันก่อนว่ารัฐมนตรีต้องการคนที่จะมาปกป้องหรือไม่ หรือเป็นที่ ส.ส.เองที่จะมาเล่นใหญ่แสดงบทบาทปกป้องรัฐมนตรีจนเกินงาม ไม่ใช่เป็นประเด็นที่พรรคร่วมฝ่ายค้านจะต้องมีความกังวล"

นายณัฐวุฒิยังเผยว่า ขณะนี้ข้อมูลยังมีเข้ามาเรื่อยๆ และยังมีประเด็นใหม่เพิ่มขึ้นมา เช่น มีการรุกล้ำน่านฟ้าจากประเทศเพื่อนบ้านและท่าทีของประเทศไทยที่ตอบสนองในเรื่องนี้ เป็นไปในท่าทีที่เป็นมิตรมากกว่าที่จะปกป้องประชาชนของตนเอง รอบนี้เราต้องการเด็ดหัวนั่งร้าน ในกรณีของการบริหารราชการและการควบคุมกำกับดูแลที่ผิดพลาดของราชการในส่วนของนายกฯ รองนายกฯ และรัฐมนตรีกระทรวงมหาดไทยเป็นหลัก

เขากล่าวว่า สำหรับรัฐมนตรีคนอื่นมีข้อมูลเรื่องของการทุจริต การเอื้อประโยชน์ให้แก่พวกพ้องทั้งในอดีตและในปัจจุบัน และประเด็นการผิดจริยธรรมอย่างร้ายแรง ซึ่งอยากให้จับตามองดีๆ  เพราะอาจจะเป็นประเด็นที่ไม่มีใครเคยทราบมาก่อน ตัวของ ส.ส.ของฝ่ายรัฐบาลเองก็อาจจะยังไม่เคยทราบ ซึ่งประเด็นเหล่านี้ก็อาจจะนำไปสู่การน็อกได้ ในกรณีที่มีหลักฐานคาหนังคาเขาอย่างชัดเจน พรรคร่วมฝ่ายค้านยอมรับว่า เสียงน้อยลงอย่างมีนัยสำคัญ แต่เมื่อเป็นครั้งสุดท้ายความมั่นใจในการน็อกไม่ได้มาจากเพื่อนร่วมฝ่ายค้านด้วยกันอย่างเดียว จึงหวังว่า ส.ส.ฝ่ายรัฐบาลจะเข้ามาช่วยด้วย คิดว่าถ้าน็อกได้ก็จะน็อกไปที่ตัวนายกฯ ไปเลยหรือรัฐมนตรีรายบุคคลมากกว่า อาจจะไม่สามารถน็อกรัฐมนตรีทั้งหมดได้

"ถึงกระนั้นก็คงสร้างบาดแผลที่จะนำไปสู่การร้องเรียนต่อคณะกรรมการป้องกันและปราบปรามการทุจริตแห่งชาติ (ป.ป.ช.) เพิ่มเติม หรือจะส่งผลต่อการเลือกตั้งในครั้งถัดไปที่เราก็ไม่รู้ว่าจะเกิดขึ้นเมื่อไหร่"

รองหัวหน้าพรรคก้าวไกลยังกล่าวว่า พรรคจะเตรียมตัวบุคคลมากขึ้น โดยแบ่งทีมคร่าวๆ 4 ทีม โดยทีมที่ 1 จะเป็นทีมที่ดูธีม นโยบาย และประเด็นที่จะใช้อภิปรายทั้งหมด ซึ่งมีนายพิธา ลิ้มเจริญรัตน์ ส.ส.บัญชีรายชื่อและหัวหน้าพรรค, นายชัยธวัช ตุลาธน เลขาธิการพรรค และ น.ส.ศิริกัญญา ตันสกุล ส.ส.บัญชีรายชื่อ และรองหัวหน้าพรรค เป็นทีมหลัก แต่ปีนี้ที่เพิ่มเข้ามาคือนายพริษฐ์ วัชรสินธุ

เพื่อไทยจัด 15 ขุนพล

ทีมที่ 2 คือกลุ่มประสานงานเรื่องของเวลา ในการวางว่าใครจะลงอภิปราย โดยจะดูในภาพรวมของฝ่ายค้านทั้งหมด มีนายพิจารณ์ เชาวพัฒนวงศ์ ส.ส.บัญชีรายชื่อ และรองหัวหน้าพรรค, นายสุรเชษฐ์ ประวีณวงศ์วุฒิ ส.ส.บัญชีรายชื่อ เป็นทีมประสานงาน

ทีมที่ 3 คือทีมที่จะเตรียมประเด็นในการอภิปรายของฝั่งรัฐบาลที่อาจจะพาดพิงมาที่ฝ่ายค้าน หรือการดำเนินการที่จะผิดข้อบังคับของฝั่งรัฐบาล มีตน นายธีรัจชัย พันธุมาศ และ พล.ต.ต.สุพิศาล ภักดีนฤนาถ ส.ส.บัญชีรายชื่อ ดูแล และทีมที่ 4 คือทีมสื่อสาร ตอบโต้ในประเด็นต่างๆ ระหว่างที่มีการอภิปราย รวมถึงหลังการอภิปรายด้วย ก็จะมีทีมโฆษกของพรรค ก.ก. โดยได้เพิ่มนายกรุณพล เทียนสุวรรณ เข้ามาเป็นหลัก

"พรรคมีความมั่นใจกว่าทุกๆ ครั้งที่ผ่านมา และคงไม่เกิดกรณีที่ ส.ส.ไม่ได้อภิปรายอีก เราเชื่อว่าประสบการณ์ใน 3-4 ปีรอบนี้จะเป็นรอบที่ดีที่สุด และมีความเป็นเอกภาพกับพรรคร่วมฝ่ายค้านมากที่สุด" นายณัฐวุฒิกล่าว

ด้านนายสมคิด เชื้อคง ส.ส.อุบลราชธานี พรรคเพื่อไทย และรองประธานวิปฝ่ายค้าน กล่าวว่า วิปฝ่ายค้านยืนยันจะขอเวลาอภิปราย 5 วัน และลงมติในวันที่ 6 เนื่องจากการอภิปรายครั้งนี้อภิปรายรัฐมนตรีถึง 11 คน มากสุดตั้งแต่มีการอภิปรายมา มีรายละเอียดข้อมูลจำนวนมาก หากได้วันน้อยกว่านี้ คิดว่าคงไม่เพียงพอต่อการทำหน้าที่ตรวจสอบของฝ่ายค้าน

เขายืนยันว่า พรรคร่วมฝ่ายค้านมีความพร้อมในการอภิปรายชี้ให้ประชาชนเห็นข้อบกพร่องในการทำงานของรัฐบาลอย่างแน่นอน ในขณะที่พรรคเพื่อไทยอยู่ระหว่างการจัดตัวผู้อภิปรายเบื้องต้นจะอยู่ที่ประมาณ 15 คน โดย นพ.ชลน่าน ศรีแก้ว หัวหน้าพรรค จะทำหน้าที่เป็นผู้อ่านญัตติและอภิปรายเปิด นายสุทิน คลังแสง รองหัวหน้าพรรค จะเป็นผู้สรุปการอภิปราย ส่วนรายละเอียดเป็นอย่างไรยังไม่สามารถเปิดเผยได้ ขอให้ประชาชนรอฟัง จะได้เห็นข้อบกพร่องของรัฐบาลอย่างชัดเจนแน่นอน

"ขอให้รัฐบาลอย่าตีรวนและเตรียมคำตอบมาให้พร้อม ทีมองครักษ์ทั้งหลายของรัฐบาลอย่าประท้วงจนเสียบรรยากาศการอภิปราย ขอทำใจให้สงบฟังเหตุฟังผลของฝ่ายค้าน และรอให้ผู้ถูกอภิปรายชี้แจงจะดีที่สุด ไม่ใช่ตะบี้ตะบัน ประท้วงจนไม่สนใจข้อบังคับการประชุม"

นายสมคิด ในฐานะโฆษกคณะกรรมาธิการพิจารณากฎหมายลูกว่าด้วยการเลือกตั้ง ส.ส.และพรรคการเมือง ให้สัมภาษณ์ว่า รัฐสภาจะพิจารณากฎหมายลูกทั้ง 2 ฉบับ ในวาระ 2-3 วันที่ 5-6 ก.ค. คาดว่าจะแล้วเสร็จภายในเย็นวันที่ 6 ก.ค. คิดว่าการพิจารณาไม่น่ามีปัญหาอะไร

ไม่กระทบกฎหมายลูก

เมื่อถามว่า บางฝ่ายอยากให้การคำนวณ ส.ส.บัญชีรายชื่อหารด้วย 500 ทั้งที่ กมธ.เสียงข้างมากมีมติให้หารด้วย 100 นายสมคิดกล่าวว่า มติเสียงข้างมากเป็นไปตามหลักการของกฎหมายที่รัฐสภามอบให้กรรมาธิการไปพิจารณากฎหมายลูกทั้ง 4 ฉบับที่รัฐสภารับหลักการต่างคำนวณด้วยการหาร 100 กมธ.เสียงข้างมากจะเสนอต่อรัฐสภาตามแนวทางนี้ ส่วนรัฐสภาจะเห็นอย่างไรอยู่ที่สมาชิก แต่ถ้าจะมาหารด้วย 500 ไม่น่าเป็นไปได้ เนื่องจากขัดหลักการที่รัฐสภารับร่างไปพิจารณา ไม่เคยมีกฎหมายใดที่จะผ่านด้วยการขัดหลักการตอนที่ผ่านวาระ 1 จึงคิดว่าเรื่องนี้ไม่น่าเป็นไปได้ เพราะสมาชิกรัฐสภาล้วนแต่เป็นผู้มีวุฒิภาวะ มีความรู้ด้านกฎหมายอยู่แล้ว คงไม่กล้าเอาชื่อเสียงตัวเองมาทำกฎหมายที่บิดเบี้ยวเหมือนที่หลายฝ่ายหวังไว้

ขณะที่นายสุทิน คลังแสง ส.ส.มหาสารคาม รองหัวหน้าพรรคเพื่อไทย  ในฐานะประธานคณะกรรมการประสานงานพรรคร่วมฝ่ายค้าน (วิปฝ่ายค้าน) ให้สัมภาษณ์กรณีการพิจารณาร่างพระราชบัญญัติ (พ.ร.บ.) ตำรวจแห่งชาติที่เกิดการสะดุด  จะกระทบต่อการพิจารณาร่างพ.ร.บ.ประกอบรัฐธรรมนูญว่าด้วยการเลือกตั้งทั้ง 2 ฉบับหรือไม่ ว่าไม่มีปัญหาอะไร เนื่องจากวันที่ 5-6 ก.ค. จะมีการประชุมร่วมรัฐสภา โดยมีวาระคือการพิจารณาร่าง พ.ร.บ.ประกอบรัฐธรรมนูญฯ อยู่แล้ว ซึ่งวันที่ 5 ก.ค. เราก็จะพิจารณาร่าง พ.ร.บ.ตำรวจฯ ให้เสร็จก่อน จากนั้นก็จะพิจารณาร่าง พ.ร.บ.ประกอบรัฐธรรมนูญฯ ต่อ

“หากคาดการณ์ดูแล้วก็คงจะไม่กระทบต่อกฎหมายลูก และกฎหมายลูกคงใช้เวลาไม่มาก คงจะเสร็จทันภายในวันที่ 6 ก.ค. อย่างไรก็ตาม ร่าง พ.ร.บ.ตำรวจฯ ควรจะเสร็จภายในครึ่งวัน ทั้งนี้ หากร่าง พ.ร.บ.ตำรวจฯ จะกระทบกับกฎหมายลูก อย่างน้อยก็ได้พิจารณา 1 ฉบับ คือกฎหมายเลือกตั้ง ซึ่งหากจำเป็นจริงๆ ก็ต่อกฎหมายพรรคการเมืองในสัปดาห์ถัดไป” นายสุทินกล่าว

เมื่อถามว่า แนวโน้มการพิจารณาร่างพ.ร.บ.ประกอบรัฐธรรมนูญฯ จะเป็นอย่างไร นายสุทินกล่าวว่า คงจะเป็นการถกกันในประเด็นการคำนวณ ส.ส.บัญชีรายชื่อหารด้วย 100 และ 500 ที่จะใช้เวลานาน ซึ่งขณะนี้ยังมีเสียงก้ำกึ่งอยู่ แต่ค่อนข้างเยอะ ก็จะเป็นการหารด้วย 100 เพราะอธิบายง่ายกว่า สอดคล้องกับรัฐธรรมนูญมากกว่า และมีเหตุผลสนับสนุนได้เยอะกว่า

ซักว่า มองว่าจะสามารถพลิกกลับไปใช้ 500 ได้หรือไม่ หากมีบางพรรคกังวลว่าการหารด้วย 100 จะเอื้อให้พรรค พท.ชนะแบบแลนด์สไลด์ ประธานวิปรัฐบาลตอบว่าหากเขาเอาเหตุผลความได้เปรียบเสียเปรียบในการเลือกตั้ง ก็มีสิทธิ แต่หากเขาเอาเหตุผลหลักกฎหมาย มองระยะไกล มองระบบการเมือง ก็จะมีโอกาสพลิกยาก อยู่ที่การพิจารณาหรือการตัดสินใจจะเอาเหตุผลใดเป็นฐานคิด ซึ่งหากคนในสภาจะไปคิดแต่เรื่องได้เปรียบเสียเปรียบอย่างเดียว จะไปอธิบายกับคนในสังคมอย่างไร.

 

เพิ่มเพื่อน

ข่าวที่เกี่ยวข้อง