ไทยพบผู้ติดเชื้อใหม่ 2,354 ราย เสียชีวิตอีก 16 คน “บิ๊กตู่” ห่วงกลุ่ม 608 และผู้ไม่ฉีดวัคซีน ย้ำควรถลกแขนไปให้หมอจิ้ม “สมช.” แย้ม 8 ก.ค.เตรียมหารือเรื่องปรับเป็นโรคประจำถิ่น หลังมีสายพันธุ์ใหม่เข้ามาป่วน “สปสช.” แจงด่วน ยันไม่มีลอยแพผู้ป่วยแน่ ยังได้สิทธิเหมือนเดิมแม้ปรับสถานะโรค
เมื่อวันที่ 1 ก.ค. ศูนย์บริหารสถานการณ์การแพร่ระบาดของโรคติดเชื้อไวรัสโคโรนา 2019 (โควิด-19) หรือ ศบค. รายงานสถานการณ์การแพร่ระบาดในไทยว่า พบผู้ติดเชื้อรายใหม่ 2,354 ราย เป็นการติดเชื้อในประเทศ 2,350 ราย จากระบบเฝ้าระวังและระบบบริการและเป็นผู้เดินทางมาจากต่างประเทศ 4 ราย หายป่วยเพิ่มขึ้น 2,154 ราย อยู่ระหว่างรักษา 24,115 ราย อาการหนัก 690 ราย ใส่ท่อช่วยหายใจ 288 ราย เสียชีวิตเพิ่มขึ้น 16 ราย เป็นชาย 7 ราย หญิง 9 ราย เป็นผู้เสียชีวิตที่มีอายุ 60 ปีขึ้นไป 15 ราย มีโรคเรื้อรัง 1 ราย มียอดผู้ติดเชื้อสะสมยืนยันตั้งแต่ปี 2563 จำนวน 4,525,269 ราย มียอดหายป่วยสะสมตั้งแต่ปี 2563 จำนวน 4,470,490 ราย ยอดผู้เสียชีวิตสะสมตั้งแต่ปี 2563 จำนวน 30,64 ราย
นายธนกร วังบุญคงชนะ โฆษกประจำสำนักนายกรัฐมนตรี กล่าวว่า พล.อ.ประยุทธ์ จันทร์โอชา นายกรัฐมนตรีและรัฐมนตรีว่าการกระทรวงกลาโหม ห่วงใยประชาชนกลุ่มเสี่ยง 608 และผู้ที่ยังไม่ได้รับการฉีดวัคซีนเข็มกระตุ้น ซึ่งรายงานกระทรวงสาธารณสุข (สธ.) พบว่าเป็นกลุ่มเสี่ยงสำคัญที่ติดเชื้อโควิด-19 สายพันธุ์โอมิครอน BA.4 และ BA.5 เสียชีวิต ดังนั้นเพื่อลดการรุนแรงและเสียชีวิตจากการติดเชื้อ จึงขอให้ประชาชนทุกคนที่ยังไม่ได้รับการฉีดวัคซีนเข็มกระตุ้น ให้รีบเข้ารับการฉีดวัคซีนเข็มกระตุ้นอย่างน้อย 3 เข็มขึ้นไปให้มากขึ้นโดยเร็ว โดยเฉพาะในกลุ่ม 608
พล.อ.สุพจน์ มาลานิยม เลขาธิการสภาความมั่นคงแห่งชาติ (สมช.) ในฐานะผู้อำนวยการศูนย์ปฏิบัติการศูนย์บริหารสถานการณ์โควิด-19 (ศปก.ศบค.) กล่าวถึงการประชุม ศบค.ชุดใหญ่ วันที่ 8 ก.ค.ว่า จะพิจารณาแผนการเดินหน้าให้โควิดเป็น Endemic หรือการเป็นโรคประจำถิ่นตามที่ สธ.และ ศบค.ตั้งเป้าไว้ว่าจะเกิดขึ้นวันที่ 1 ก.ค. แต่เนื่องจากมาตรการที่เราผ่อนคลาย รวมถึงการแพร่ระบาดทำให้ต้องปรับแผน โดยมีการพูดคุยกันมาสองสัปดาห์ ขณะนี้ สธ.อยู่ระหว่างปรับแผนให้ชัดเจน แล้วจะเสนอให้ ศบค.พิจารณาเห็นชอบ ส่วนเรื่องอื่นๆ ที่จะประชุมคือ การประเมินสถานการณ์การผ่อนคลายที่ผ่านมา การประเมินตัวเลขผู้ติดเชื้อหลังมีเชื้อตัวใหม่เข้ามา ซึ่ง สธ.ยืนยันว่ายังมีขีดความสามารถในการรองรับอัตราการครองเตียงอยู่ในเกณฑ์ที่น้อยมาก ภาพรวมทั้งประเทศอยู่ที่ 9% เราตั้งเกณฑ์ไว้ที่ 25% ถ้าเกินก็ต้องยกระดับโดย สธ.มีการรองรับไว้ รวมทั้งจะประชาสัมพันธ์ให้ประชาชนรับทราบอย่างต่อเนื่อง
วันเดียวกัน นพ.จเด็จ ธรรมธัชอารี เลขาธิการสำนักงานหลักประกันสุขภาพแห่งชาติ (สปสช.) ชี้แจงแนวปฏิบัติการดูแลผู้ป่วยติดเชื้อโรคโควิด-19 หลังวันที่ 1 ก.ค. เพื่อรองรับนโยบายรัฐบาลในการปรับโควิด-19 เข้าสู่โรคประจำถิ่นว่า สปสช.อยู่ระหว่างเตรียมความพร้อมตามนโยบายรัฐบาลเพื่อรองรับการเดินหน้าสู่โรคประจำถิ่นเช่นกัน โดยจะเข้าสู่การพิจารณาของบอร์ด สปสช. ในวันที่ 4 ก.ค.นี้ ส่วนที่เข้าใจว่าตั้งแต่วันที่ 1 ก.ค. สปสช.จะลอยแพผู้ป่วยโควิด-19 ขอชี้แจงและยืนยันว่าไม่มีการลอยแพแต่อย่างใด ผู้ป่วยยังคงได้รับการรักษาฟรีไม่เสียค่าใช้จ่ายเหมือนเดิม
“หลังจากนี้ หากประชาชนมีอาการเข้าข่ายว่าจะติดโควิด-19 สามารถขอรับชุดตรวจ ATK ที่ร้านขายยาใกล้บ้านที่เข้าร่วมโครงการผ่านแอปพลิเคชันเป๋าตัง หรือใช้บัตรประชาชนไปรับเพื่อตรวจยืนยันได้ทันที หากขึ้น 2 ขีด คือผลเป็นบวกว่าติดเชื้อโควิด-19 กลุ่มที่มีอาการไม่มากหรือกลุ่มสีเขียว เข้ารักษาที่แผนกผู้ป่วยนอกที่หน่วยบริการประจำตามสิทธิหรือหน่วยบริการปฐมภูมิในพื้นที่ตามนโยบาย 30 บาทรักษาทุกที่ ซึ่งจะได้รับการดูแลรักษาตามแนวทางเจอแจกจบของ สธ. หรือโทรศัพท์ประสานร้านขายยาตามรายชื่อที่อยู่ในเว็บไซต์ สปสช. เพื่อรับยาตามโครงการเจอแจกจบ ที่ร้านขายยาได้เช่นกัน”
นายจเด็จกล่าวว่า กรณีกลุ่มเสี่ยงหรือกลุ่ม 608 หรือมีอาการรุนแรง จะถูกพิจารณาให้พบแพทย์ เพื่อเข้ารับการรักษา หากแพทย์ให้การรักษาแบบใดตามดุลพินิจ สิทธิรักษาพยาบาลของแต่ละท่านก็จะดูแลครอบคลุมหมด ส่วนอาการเจ็บป่วยฉุกเฉินตามเกณฑ์สีเหลือง-แดง ก็ใช้สิทธิยูเซปพลัสเข้ารักษา รพ.ที่อยู่ใกล้ที่สุดได้โดยไม่เสียค่าใช้จ่าย ทั้งนี้ ในส่วนของสายด่วน สปสช.1330 หลังจากวันที่ 1 ก.ค. ผู้ติดเชื้อโควิด-19 ไม่จำเป็นต้องโทร.แจ้งแล้ว แต่หากสงสัยว่าจะต้องทำอย่างไร ให้โทร.สอบถามขั้นตอนได้ หรือหากมีอาการแย่ลง จะต้องทำอย่างไรต่อ หรือต้องการประสานหาเตียงเข้ารักษาใน รพ. ก็โทร.ได้เช่นกัน
"เมื่อโควิด-19 เป็นโรคประจำถิ่นแล้ว ไม่ใช่ว่ารัฐจะไม่ดูแล รัฐก็ยังดูแลอยู่ภายใต้งบประมาณจากกองทุนต่างๆ ยืนยันว่าไม่ได้ลอยแพผู้ป่วย ผู้ป่วยโควิด-19 ยังคงได้รับการรักษาไม่เสียค่าใช้จ่ายเหมือนเดิม" นพ.จเด็จกล่าว
ด้าน พญ.กฤติยา ศรีประเสริฐ ผู้เชี่ยวชาญพิเศษ สายงานบริหารกองทุน สปสช. กล่าวว่า ในวันที่ 4 ก.ค. บอร์ด สปสช.จะประชุมหารือเพิ่มค่าใช้จ่ายหมวดโควิด-19 เดิมที่ได้รับงบประมาณที่ได้จาก พ.ร.ก.กู้เงิน จะนำมาอยู่ในงบบัตรทอง ซึ่งตามหลักการจะเปลี่ยนจากการใช้งบประมาณจาก พ.ร.ก.กู้เงิน มาเป็นงบระบบกองทุนหลักประกันสุขภาพในแต่ละระบบแทน
"โรคโควิด-19 แม้จะไม่ใช่โรคระบาดร้ายแรง แต่ก็ยังเป็นโรคที่สามารถฉุกเฉินได้ เมื่อประชาชนป่วยเป็นโรคโควิด-19 เกิดหายใจไม่สะดวก มีอาการเข้าข่ายยูเซป เจ็บป่วยฉุกเฉินวิกฤตถึงแก่ชีวิต หรืออยู่ในกลุ่มอาการสีแดง ก็สามารถเข้ารักษาได้ ซึ่งส่วนนี้ก็เป็นส่วนที่ระบบสำรองเอาไว้ แต่ถ้าผู้ป่วยอยู่ในกลุ่มอาการสีเขียว-สีเหลือง ก็เข้ารักษาตามระบบหลักประกันสุขภาพถ้วนหน้าที่มีอยู่” พญ.กฤติยา กล่าว.
ข่าวที่เกี่ยวข้อง
กังขาเก็บ‘MOU44’ไว้หาประโยชน์
"สนธิญา" บุกทำเนียบฯ จี้ "นายกฯ-ครม." ยกเลิก MOU 44
สนอง‘พ่อนายกฯ’ คลังแจกเงินหมื่น คนอายุ60ปีขึ้นไป
รมว.คลังรับลูก "ทักษิณ" แจกเงินหมื่นคนอายุ 60 ปีขึ้นไป เผยใช้งบไม่มาก
รฟท.จี้กรมที่ดินทบทวนมติ มท.โบ้ยต้องไปยื่นศาลแพ่ง
"อนุทิน" ลั่นปัญหาเขากระโดงจบในกรม อย่าโยง รมว.มหาดไทย
ตร.รอคำสั่งศาล จ่อตั้งรองผบ.ตร. สอบวินัยบิ๊กโจ๊ก
“บิ๊กต่าย” ขอไม่ก้าวล่วงคำวินิจฉัยศาลปกครองสูงสุด แจงไม่ว่าคำวินิจฉัยจะเป็นอย่างไรพร้อมปฏิบัติตาม
‘แม้ว’โทษม.112 ชงแก้การบังคับใช้
"ทักษิณ" เผยธาตุแท้ อ้างพรรคร่วมรัฐบาลลงสัตยาบันไม่แตะ ม.112 แต่ ม.112
จวกทักษิณลวงโลก! ลืมสัจจะวาจาไม่ยุ่งการเมืองจะกลับมาเลี้ยงหลาน
ฮึกเหิม! "สทร." บอกเห็นมวลชนมาเยอะหัวใจพองโต ซัดพวกอิจฉาหาครอบงำ