ศบค.เผยไทยมีผู้ติดเชื้อโควิดรายใหม่ 2.2 พันราย เสียชีวิต 23 คน ขณะที่กรมอนามัยชี้กลุ่ม 608 ที่ไม่ได้รับวัคซีนครบตามเกณฑ์ ผู้ติดเชื้อ ผู้เสี่ยงสูง ควรสวมหน้ากากแม้อนุญาตให้ถอดได้ ขณะที่นายกฯ ย้ำยังต้องปฏิบัติตามมาตรการ 2U เพื่อร่วมเปลี่ยนผ่านสู่ระยะ Post-pandemic
เมื่อวันที่ 18 มิถุนายน 2565 ศูนย์บริหารสถานการณ์การแพร่ระบาดของโรคติดเชื้อไวรัสโคโรนา 2019 (ศบค.) รายงานสถานการณ์โควิด-19 ในประเทศไทยว่า พบผู้ติดเชื้อรายใหม่ 2,272 ราย ติดเชื้อในประเทศ 2,264 ราย มาจากระบบเฝ้าระวังและระบบบริการ 2,264 ราย จากเรือนจำ 2 ราย จากต่างประเทศ 6 ราย หายป่วยเพิ่มขึ้น 1,964 ราย อยู่ระหว่างรักษา 21,315 ราย อาการหนัก 593 ราย ใส่เครื่องช่วยหายใจ 282 ราย
เสียชีวิตเพิ่มขึ้น 23 ราย เป็นชาย 14 ราย หญิง 9 ราย อายุ 60 ปีขึ้นไป 19 ราย มีโรคเรื้อรัง 2 ราย ไม่มีประวัติโรคเรื้อรัง 2 ราย ขณะที่มียอดผู้ติดเชื้อสะสมยืนยันตั้งแต่ปี 2563 จำนวน 4,497,152 ราย มียอดหายป่วยสะสมตั้งแต่ปี 2563 จำนวน 4,445,392 ราย มียอดผู้เสียชีวิตสะสมตั้งแต่ปี 2563 จำนวน 30,445 ราย ขณะที่สถานการณ์โลก มีผู้ติดเชื้อสะสม 543,682,150 ราย ผู้เสียชีวิตสะสม 6,339,468 ราย
นายธนกร วังบุญคงชนะ โฆษกประจำสำนักนายกรัฐมนตรี เปิดเผยว่า พล.อ.ประยุทธ์ จันทร์โอชา นายกรัฐมนตรีและรัฐมนตรีว่าการกระทรวงกลาโหม ย้ำว่าแม้คณะกรรมการบริหารสถานการณ์การแพร่ระบาดของโรคติดเชื้อไวรัสโคโรนา 2019 (ศบค.) ได้ผ่อนคลายมาตรการต่างๆ เพื่อให้มีการประกอบกิจการ กิจกรรมการผ่อนคลายมากขึ้น ทั้งการปรับเป็นพื้นที่สีเขียวทั้งหมดทั่วประเทศ ผ่อนคลายมาตรการสังคม ชุมชนและองค์กร เพื่อร่วมเปลี่ยนผ่านประเทศไทยสู่ระยะ Post-pandemic ต่อไป อย่างไรก็ตาม นายกรัฐมนตรียังต้องขอความร่วมมือประชาชนให้ยังคงยึดปฏิบัติตามมาตรการด้านสาธารณสุข มาตรการ 2U อย่างแข็งขัน ได้แก่ การป้องกันการติดเชื้อแบบครอบจักรวาล (Universal Prevention) ซึ่งเป็นการป้องกันตนเองขั้นสูงสุดตลอดเวลาของทุกคน และเร่งรัดฉีดวัคซีนเข็มกระตุ้น (Universal Vaccination) โดยเฉพาะในกลุ่ม 608 เพื่อลดอาการรุนแรงและเสียชีวิต
นพ.สุวรรณชัย วัฒนายิ่งเจริญชัย อธิบดีกรมอนามัย เปิดเผยว่า จากสถานการณ์แนวโน้มการติดเชื้อโควิด-19 ลดลง ศูนย์บริหารสถานการณ์การแพร่ระบาดของโรคติดเชื้อไวรัสโคโรนา 2019 (ศบค.) จึงมีมติเห็นชอบให้ปรับระดับพื้นที่สถานการณ์ทั่วราชอาณาจักรเป็นพื้นที่เฝ้าระวัง (สีเขียว) 77 จังหวัด และยังเห็นชอบผ่อนคลายให้ถอดหน้ากากได้ นอกอาคารหรือที่โล่งแจ้ง โดยเน้นความสมัครใจของแต่ละบุคคล ซึ่งเริ่มดำเนินการได้หลังประกาศราชกิจจานุเบกษา
แต่สำหรับกลุ่ม 608 ที่ไม่ได้รับวัคซีนครบตามเกณฑ์ ควรสวมหน้ากากเมื่ออยู่ร่วมกับบุคคลอื่น รวมทั้งผู้ติดเชื้อและผู้สัมผัสเสี่ยงสูง ให้สวมหน้ากากตลอดเวลา เมื่อจำเป็นต้องอยู่ร่วมกับบุคคลอื่นเช่นเดียวกัน สำหรับประชาชนทั่วไป หากเป็นสถานที่ภายนอกอาคาร ที่โล่งแจ้ง ถอดหน้ากากได้ แต่ให้สวมหน้ากากเมื่ออยู่ร่วมกับบุคคลอื่นโดยไม่สามารถเว้นระยะห่าง มีความแออัด มีการรวมกลุ่มคนจำนวนมาก หรือมีการระบายอากาศไม่ดี เช่น ขนส่งสาธารณะ ตลาด สนามกีฬา หรือสถานที่แสดงดนตรีที่มีผู้ชม เป็นต้น
แต่เมื่ออยู่ภายในอาคาร ให้สวมหน้ากาก สามารถถอดได้ในกรณีที่อยู่คนเดียว หากอยู่ร่วมกับบุคคลอื่นที่ไม่ได้อาศัยอยู่ที่พำนักเดียวกัน ต้องสามารถเว้นระยะห่างได้ ไม่รวมกลุ่มแออัด ให้อยู่ในที่ระบายอากาศได้ดี และกรณีมีกิจกรรมที่จำเป็นต้องถอดหน้ากาก เช่น รับประทานอาหาร ออกกำลังกาย บริการบริเวณใบหน้า ศิลปะการแสดง เป็นต้น โดยให้ดำเนินการด้วยความระมัดระวัง เมื่อกิจกรรมนั้นเสร็จสิ้น ควรสวมหน้ากากทันที
อธิบดีกรมอนามัยกล่าวว่า สำหรับสถานที่ประกอบกิจการหรือกิจกรรม ได้กำหนดเงื่อนไขดังนี้ 1.ผู้ให้บริการ ขอให้สวมหน้ากากตลอดเวลาขณะให้บริการ โดยได้รับวัคซีนครบตามเกณฑ์และเข็มกระตุ้น ให้ตรวจ ATK เมื่อมีอาการหรือมีความเสี่ยง ส่วนผู้ติดเชื้อ ให้งดมาปฏิบัติงาน และผู้สัมผัสใกล้ชิดเสี่ยงสูงไปทำงานได้ แต่ให้แยกพื้นที่กับผู้อื่น
2.สถานที่ ให้ปฏิบัติตามหลักของสุขาภิบาลและอนามัยสิ่งแวดล้อมอย่างเคร่งครัด โดยจัดให้มีอุปกรณ์และสถานที่ล้างมืออย่างเพียงพอ มีการทำความสะอาด มีการจัดการของเสีย ส้วมและสิ่งปฏิกูลเป็นไปตามมาตรฐาน พื้นที่สัมผัสและอุปกรณ์ที่ใช้ร่วมกันให้ทำความสะอาดอย่างน้อยทุก 2 ชั่วโมง จัดให้มีการระบายอากาศ และกำหนดความจุคนในอาคาร ให้เป็นไปตามที่กฎหมายกำหนด
ทั้งนี้ จากข้อมูลการสำรวจอนามัยโพลของกรมอนามัย เกี่ยวกับมาตรการสวมหน้ากากตลอดเวลาในสถานที่สาธารณะ และสถานประกอบการ พบว่า ประชาชนร้อยละ 93.3 เห็นว่ายังคงต้องสวมหน้ากากต่อไป มีเพียงร้อยละ 6.7 ที่เห็นว่าให้เลิกทำ ดังนั้นเมื่อต้องสวมหน้ากากทุกครั้ง จึงต้องสวมให้ถูกวิธีและให้กระชับกับใบหน้า.
ข่าวที่เกี่ยวข้อง
เร่งเบิกงบลงทุน ขีดเส้นให้ได้80% กระตุ้นเศรษฐกิจ
นายกฯ อิ๊งค์นั่งหัวโต๊ะประชุมหัวหน้าส่วนราชการ บี้เร่งรัดเบิกจ่ายงบลงทุน 9.6 แสนล้าน
‘เวชระเบียน’หลอนทักษิณ โยนรพ.ตำรวจมอบให้ปปช.
นายกฯ พยักหน้ารับปม "ป.ป.ช." ทวงถามเวชระเบียนรักษาตัว
เพิ่มข้อหาแชร์ลูกโซ่18บอส จ่อหมายจับ‘ตั้ม’โกงเจ๊อ้อย
"ดีเอสไอ" แจ้งข้อหาเพิ่ม 18 บอสดิไอคอน คดีแชร์ลูกโซ่-ขายตรง
หึ่ง!เปลี่ยน‘พงษ์ภาณุ’แทน‘โต้ง’
“คปท.-ศปปส.-กองทัพธรรม” ลุกฮือ ยื่นหนังสือค้านคัดเลือกประธานบอร์ดแบงก์ชาติ
กอดMOUเจรจาเขมร ‘อิ๊งค์’หวั่นโดนฟ้องยันเดินหน้าแบ่งเค้ก/กต.แจงมีข้อดีกว่าเสีย
นายกฯ อิ๊งค์ลั่นเป็นคนไทย 100% ประเทศต้องมาก่อน ยืนยันจะรักษาแผ่นดินไทยไว้อย่างเต็มที่
เปิดข้อมูล ‘ไวรัสโควิด’ สร้างได้ในห้องทดลอง มีจดสิทธิบัตรตั้งแต่ปี 2018
การสร้างไวรัสใหม่ชนิดนี้จะสามารถครอบคลุมไวรัสที่จะแพร่และเกิดโรคระบาดในมนุษย์ได้ทั้งสิ้น และสามารถที่จะสร้างวัคซีนให้มนุษย์ก่อนได้