ปชช.หวังงบ66 ใช้อย่างโปร่งใส ก.ก.เล็งเกาะติด

ซูเปอร์โพลเผยประชาชนหวังรัฐใช้งบ 66 โปร่งใส ไม่โกงและตกเป็นเครื่องมือทางการเมือง นักวิชาการเสนอโยกงบซื้ออาวุธ เปลี่ยนลงทุนระบบชลประทาน ก้าวไกลลั่นตรวจสอบเข้มใน กมธ. พร้อมนำเสนอสังคมทุกสัปดาห์

นายนพดล กรรณิกา ผู้อำนวยการสำนักวิจัยซูเปอร์โพล (SUPER POLL) เสนอผลสำรวจเรื่อง งบประมาณปี 66 กับ ความคาดหวังฟื้นประเทศ กรณีศึกษาประชาชนทุกสาขาอาชีพทั่วประเทศ โดยดำเนินโครงการทั้งการวิจัยเชิงปริมาณ (Quantitative Research) และการวิจัยเชิงคุณภาพ (Qualitative Research) จำนวน 1,126 ตัวอย่าง ระหว่างวันที่ 3-4 มิถุนายน พ.ศ.2565 ที่ผ่านมา พบว่าส่วนใหญ่หรือร้อยละ 92.3 ต้องการให้ข้าราชการที่มีหน้าที่ใช้งบประมาณไม่ทุจริต  โปร่งใส ขยันทำงานเพื่อประชาชน ไม่เป็นเครื่องมือทางการเมือง หรือนำเงินเข้ากระเป๋าตนเองจนทำให้ประชาชนเดือดร้อน นอกจากนี้ ส่วนใหญ่หรือร้อยละ 90.6 ต้องการให้นำเงินงบประมาณไปใช้ ประหยัด โปร่งใส คุ้มค่า เกิดประโยชน์สูงสุดต่อประชาชนและประเทศชาติอย่างแท้จริง

อย่างไรก็ตาม ส่วนใหญ่หรือร้อยละ 87.9 ไม่ต้องการให้นำเรื่องงบประมาณของประเทศมาเป็นเกมกดดันหรือต่อรองประโยชน์ทางการเมือง, ร้อยละ 86.5 เห็นด้วยกับการเมืองระบอบประชาธิปไตยที่ใช้กลไกรัฐสภาในการทำงานเพื่อประชาชน ดีกว่าการนำมวลชนลงถนน,  ร้อยละ 85.4 ระบุมียังมีนักการเมืองแบบเก่า อภิปรายไม่สร้างสรรค์ จับสาระไม่ได้ ตั้งใจเสียดสีและบิดเบือน สร้างความเข้าใจผิดในสังคม และร้อยละ 80.1 ระบุ ภาพรวมการอภิปรายงบประมาณปี 2566 ดีขึ้น เป็นไปอย่างสร้างสรรค์ มีข้อสังเกตและเสนอแนะทางนโยบายที่เป็นประโยชน์กับประชาชน

ที่น่าพิจารณาคือ ส่วนใหญ่หรือร้อยละ 80.6 มีความหวังว่าหลังผ่านงบประมาณ ปี 66 จะทำให้มีเงินเข้าระบบมาพัฒนา ฟื้นฟูเศรษฐกิจหลังผ่านวิกฤตโควิด-19 และเปิดประเทศ ในขณะที่ร้อยละ 19.4 ไม่มีความหวัง อย่างไรก็ตาม ส่วนใหญ่หรือร้อยละ 69.4 ยังเชื่อมั่นว่ารัฐบาลจะนำเงินไปใช้พัฒนาประเทศให้มีประสิทธิภาพ ในขณะที่ร้อยละ 30.6 ไม่เชื่อมั่น

รศ.ดร.อนุสรณ์ ธรรมใจ กรรมการวิทยาลัยนานาชาติปรีดี พนมยงค์  มหาวิทยาลัยธรรมศาสตร์ และอดีตกรรมการนโยบายและกำกับการบริหารหนี้สาธารณะ กระทรวงการคลัง กล่าวถึงงบประมาณปี พ.ศ.2566 ว่าโดยภาพรวมแล้วรัฐสภาควรพิจารณาตัดงบประจำลงมาให้อยู่ในระดับหรือต่ำกว่า 70% และ เพิ่มงบลงทุนให้อยู่ที่ 26-30% ของวงเงินงบประมาณ นอกจากนี้ควรกำกับควบคุมการก่อหนี้สาธารณะไม่ให้ทำงบประมาณขาดดุลเกิน 3% ของจีดีพี ในปี พ.ศ.2566 (รัฐบาลประมาณการขาดดุลงบประมาณอยู่ที่ 3.88% ของจีดีพี ก่อหนี้สาธารณะเพื่อชดเชยการขาดดุลประมาณ 6.95 แสนล้านบาท) หากการขาดดุลและกู้ชดเชยเกิน 3% ของจีดีพีอาจก่อให้เกิดปัญหาวินัยและฐานะการคลังในระยะยาวได้ ขณะนี้หนี้สาธารณะคงค้างของประเทศอยู่ที่ 9.95 ล้านล้านบาท คิดเป็นประมาณ 60.6% ของจีดีพี นอกจากนี้เสนอให้โยกงบประมาณโยกเม็ดเงินจากการจัดซื้ออาวุธยุทโธปกรณ์มาใช้ในการลงทุนระบบชลประทานและการบริหารจัดการน้ำเพิ่มเติม

นายรังสิมันต์ โรม ส.ส.บัญชีรายชื่อ โฆษกพรรคก้าวไกล (ก.ก.) แถลงข่าวว่า การจัดทำงบประมาณปี 66 ของสภาครั้งนี้น่าผิดหวังเป็นอย่างมาก และเมื่องบประมาณเข้าสู่วาระ 2 พรรคก้าวไกลจะใช้โอกาสนี้ในการทำภารกิจอย่างเต็มที่เพราะประชาชนฝากความหวังไว้ โดยพรรคได้ตั้งตัวแทน 6 คนเข้าไปร่วมเป็นกรรมาธิการ (กมธ.) เพื่อทำให้งบประมาณของประชาชนถูกใช้อย่างมีประโยชน์ให้มากที่สุด ขอให้ประชาชนช่วยกันติดตามในทุกสัปดาห์ของการจัดทำงบประมาณ เพราะเราจะนำข้อมูลที่มีการพูดคุยกันในกรรมาธิการมานำเสนอให้ประชาชนรู้ว่าเงินภาษีประชาชนถูกใช้อย่างไร มีประโยชน์อย่างไร และกรรมาธิการชุดนี้ได้ตัดลดงบประมาณที่ไม่จำเป็นไปแล้วเท่าไหร่ พรรคก้าวไกลจะทำงานอย่างเต็มที่.

เพิ่มเพื่อน

ข่าวที่เกี่ยวข้อง