กกร.คงเป้าจีดีพี ปีนี้ยังโต2.5-4% พึ่งท้องเที่ยวฟื้น

กกร.คงเป้าจีดีพีปีนี้โต 2.5-4%  หวังภาคการท่องเที่ยว-ส่งออกยังหนุน หลังเปิดประเทศเต็มรูปแบบ เร่งรัฐประกาศโควิดโรคประจำถิ่น หนุนประชาชนออกมาทำกิจกรรมสังคม

เมื่อวันที่ 1 มิถุนายน นายสนั่น อังอุบลกุล ประธานสภาหอการค้าแห่งประเทศไทย และหอการค้าไทย เปิดเผยภายหลังการประชุมคณะกรรมการร่วม 3 สถาบัน (กกร.) ประกอบด้วย สภาหอการค้าแห่งประเทศไทย, สภาอุตสาหกรรมแห่งประเทศไทย (ส.อ.ท.) และสมาคมธนาคารไทย ประจำเดือน มิ.ย.ว่า เศรษฐกิจไทยช่วงครึ่งปีหลังยังต้องเผชิญกับความเสี่ยงรอบด้าน ทั้งจากปัญหาความขัดแย้งรัสเซีย-ยูเครนที่ยืดเยื้อ ราคาพลังงานที่ยังปรับตัวสูงขึ้น ส่งผลให้อัตราเงินเฟ้อสูงขึ้นทั่วโลก

แต่ กกร.ยังคงประมาณการขยายตัวผลิตภัณฑ์มวลรวมภายในประเทศ (จีดีพี) ขยายตัวในกรอบ 2.5-4% การส่งออกขยายตัว 3-5% อัตราเงินเฟ้อขยายตัว 3.5-5% เนื่องจากการท่องเที่ยวและการส่งออกของไทยยังขยายตัว ซึ่งเป็นแรงส่งเศรษฐกิจในช่วงที่เหลือของปีนี้ โดยเฉพาะภาคการท่องเที่ยว ที่คาดว่าจะฟื้นตัว หลังจากการเปิดประเทศเต็มรูปแบบ คาดว่าจะมีนักท่องเที่ยวเดินทางเข้ามาได้ตามเป้าหมายที่วางไว้ 6-8 ล้านคน

ทั้งนี้ ภาคเอกชนจึงต้องการให้รัฐบาลเร่งประกาศให้โรคโควิด-19 เป็นโรคประจำถิ่นให้เร็วที่สุด จากเดิมที่รัฐบาล จะประกาศวันที่ 1 ก.ค.65 เนื่องจากเป็นผลทางจิตวิทยา หากประกาศเร็วที่สุด ประชาชนจะกล้าออกจากบ้านมาจับจ่ายใช้สอย โดยเฉพาะกลุ่มมีรายระดับกลาง และระดับสูงอีกจำนวนมากที่ยังกล้าๆ  กลัวๆ ไม่กล้าออกจากบ้าน ซึ่งเป็นกลุ่มที่มีกำลังซื้อจับจ่ายใช้สอยได้อย่างมาก รวมทั้งการรับมือโรคโควิด-19 ของไทยทำได้ดี และความรุนแรงโรคไม่ค่อยมี เหมือนเป็นโรคไข้หวัดทั่วไปที่ใช้เวลารักษาไม่นาน

อย่างไรก็ตาม อยากให้รัฐบาลดึงดูดนักท่องเที่ยวที่มีศักยภาพสูง เช่น ซาอุดีอาระเบีย ที่มีรายได้สูงจากราคาน้ำมันที่ปรับสูงขึ้นเดินทางเข้ามาเที่ยวในประเทศไทย ประเมินว่ามีค่าใช้จ่ายต่อหัว 1 แสนบาทต่อทริปต่อคน จากนักท่องเที่ยวปกติมีค่าใช้จ่าย 50,000 บาทต่อทริปต่อคน คาดว่าจะทำให้มีนักท่องเที่ยวเข้ามาไทยถึง 10 ล้านคนก็ได้ ขณะที่นักท่องเที่ยวไทยมีสัญญาณที่ดี เริ่มฟื้นตัวได้แล้วประมาณ 80% สูงกว่าที่คาดการณ์ไว้ 70% ส่วนหนึ่งมาจากการขยายสิทธิ์โครงการเราเที่ยวด้วยกัน

 “ราคาน้ำมันดีเซลที่ปรับขึ้น 33 บาทต่อลิตร ยังอยู่ในระดับที่รับได้ เพราะที่หารือกันไว้จะต้องไม่เกิน 35 บาทต่อลิตร หากเทียบเคียงกับประเทศในกลุ่มอาเซียนเราก็ยังดีกว่า และต้องเข้าใจทุกฝ่าย อย่างฝ่ายรัฐบาลก็พยายามหามาตรการต่างๆ มาช่วยเหลือ ที่สำคัญที่สุดเราต้องช่วยกันประหยัดให้มากที่สุด เพื่อฟันฝ่าวิกฤตนี้ไปให้ได้” นายสนั่นระบุ

 ขณะที่การพิจารณาร่าง พ.ร.บ.งบประมาณรายจ่ายประจำปี 2567 เชื่อว่าจะผ่านการพิจารณาของที่ประชุมสภาผู้แทนราษฎร ส่วนที่ตั้งงบลงทุนที่น้อย เชื่อว่าไม่น่าจะกระทบ หากโครงการใดที่ชะลอได้ก็ชะลอไปก่อน เมื่อถึงโอกาสก็เดินหน้าต่อได้ เพราะขณะนี้ประเทศไทย เป็นที่สนใจของต่างชาติที่จะเข้ามาลงทุน เช่น บริษัทด้านเทคโนโลยีของสหรัฐ สนใจที่จะเข้ามาตั้งฐานเป็นสำนักงานการให้บริการด้านเทคโนโลยีในภูมิภาคนี้.

เพิ่มเพื่อน

ข่าวที่เกี่ยวข้อง

‘ยิ่งลักษณ์’ กลับคุก ‘บิ๊กเสื้อแดง’ รู้มา! ว่าไปตามราชทัณฑ์ไม่ใช้สิทธิพิเศษ

“เลขาฯ แสวง” ยันเดินหน้าคดี “ทักษิณ-เพื่อไทย” ล้มล้างการปกครองต่อ เพราะใช้กฎหมายคนละฉบับกับศาล รธน. "จตุพร" ลั่นยังไม่จบ! ต้องดูสถานการณ์เป็นตอนๆ ไป