"บิ๊กป๊อก" ยัน ครม.ไม่พิจารณาต่อสัญญาเอกชนรถไฟฟ้าสายสีเขียว โยน "ผู้ว่าฯ กทม.คนใหม่" พร้อมรอ "ป.ป.ช." ชี้ ขณะที่ "ก้าวไกล" สอบวินัย "ส.ก.ลูกพรรค" ส่งข้อความละเมิด-โชว์หื่น "โรม" ยอมรับคนเข้ามาพรรคเยอะ มองไม่เห็นปัญหา
ที่รัฐสภา วันที่ 26 พ.ค.2565 ในการประชุมสภาผู้แทนราษฎร ช่วงการพิจารณากระทู้สดของนายประเดิมชัย บุญช่วยเหลือ ส.ส.กทม.พรรคเพื่อไทย (พท.) ถาม พล.อ.อนุพงษ์ เผ่าจินดา รัฐมนตรีว่าการกระทรวงมหาดไทย ถึงการต่อสัญญาสัมปทานรถไฟฟ้าสายสีเขียวว่า ผู้ที่เกี่ยวข้องได้ตัดสินใจต่อสัญญาไปแล้วก่อนหน้านี้ ซึ่งจะทำให้เกิดเงินสะพัดกว่า 4 แสนล้านบาท ซึ่งไม่แน่ใจว่าจะเป็นการกินเลือดกินเนื้อคน กทม. หรือไม่ โดย พล.อ.อนุพงษ์ได้เสนอเรื่องให้ครม.ต่ออายุสัมปทานไปอีก 30 ปี จากปีพ.ศ.2572 ไปถึง พ.ศ.2602 โดยการกำหนดเงื่อนไขของ กทม. เช่น ค่าโดยสาร 65 บาทตลอดสาย พล.อ.อนุพงษ์รู้เห็นเรื่องนี้หรือไม่ ขณะที่คน กทม.อยู่ในสภาวะค่าครองชีพสูง เป็นการผลักภาระให้ประชาชนทั้งสิ้น แต่เสนาบดีที่ชื่อ พล.อ.อนุพงษ์พยายามนำเรื่องการต่อสัญญาเข้า ครม. จึงอยากทราบว่า พล.อ.อนุพงษ์ยังจะยืนยันที่จะต่อสัญญากับผู้ประกอบการรายเดิม หรือจะมีวิธีการรักษาผลประโยชน์ของประชาชน
นายประเดิมชัยกล่าวว่า พล.อ.อนุพงษ์มีความพยายามที่ปฏิเสธความรับผิดชอบ ทั้งที่ มท.เป็นเจ้าของสัญญาสัมปทานที่ได้มอบหมายให้ กทม.ดูแล ดังนั้นจะปฏิเสธความรับผิดชอบไม่ได้ การนำ 3 สัญญามาพัวพัน มาเป็นเงื่อนปม เหมือนการเขียนบทละครให้มีการแก้ไขปัญหา และจนถึงวันนี้ยังหาข้อสรุปไม่ได้ ทั้งยังจะต่อสัญญาออกไปอีก 13 ปี จึงจะทำให้หมดในปี พ.ศ.2585 ตนถามว่า กทม.มีสิทธิอะไรไปต่อสัญญา ถือว่าเป็นการเอื้อประโยชน์ให้เอกชนหรือไม่ ทาง มท.จะดำเนินการอย่างไร กรณีที่ กทม.ทำเกินอำนาจหน้าที่ เมื่อข้อมูลเป็นเช่นนี้ท้ายที่สุด มท.มีข้อสรุปอย่างไร ได้ตั้งคณะกรรมการมาตรวจสอบหรือไม่ หรือมอบหมายให้ กทม.รับผิดชอบการบริหารโครงการ และเสนอเรื่องมาให้ พล.อ.อนุพงษ์ เพื่อนำเข้าสู่ ครม.
จากนั้น พล.อ.อนุพงษ์กล่าวว่า กรณีรถไฟฟ้าสายสีเขียวสายหลักมีบีทีเอสดำเนินการก่อสร้างมาตั้งแต่ต้น ต่อมา ทาง มท.มอบให้ กทม.เป็นหน่วยงานดูแล และได้สร้างส่วนต่อขยายหนึ่ง (หมอชิต-อ่อนนุช) ที่ไม่มีโรงรถและสัญญาณ จึงจ้างบีทีเอสเดินรถ ต่อมารัฐบาลได้ให้โอนการก่อสร้างส่วนต่อขยายสอง (คูคต-สำโรง) ไปให้ รฟม. ซึ่งใช้เงินของรัฐบาลลงทุน จึงอาจเกิดความยุ่งยาก รัฐบาลจึงโอนโครงการนี้กลับมาที่ กทม. ซึ่งมีหนี้มาด้วย กทม.จึงขอเงินสนับสนุนจากรัฐบาล และจะต้องมีการวางระบบสัญญาณในการเดินรถ โดยจะต้องหาผู้ร่วมทุน และนำเรื่องหนี้เข้าหารือกับ คสช. ซึ่ง คสช.ตั้งคณะกรรมการขึ้นมาเพื่อเจรจากับผู้ประกอบการเดิม หากทำตาม พ.ร.บ.ร่วมทุนฯ จะต้องใช้เวลา 2 ปี ทำให้ กทม.ต้องแบกหนี้ต่างๆ ได้ เมื่อ กทม.มีปัญหา คสช. จึงหาทางแก้ไข และดำเนินการตามขั้นตอนและรัฐธรรมนูญ ตนและมหาดไทยไม่สามารถไปเจรจาได้ เพราะไม่ใช่กรรมการ ดังนั้นตนไม่มีส่วนเกี่ยวข้อง หาก ครม.ให้มาปรับตัวเลข เพราะบอกว่าแพงหรือไม่โปร่งใส ครม.ก็ไม่ต้องเห็นชอบ ทั้งนี้ ครม.ฟังข้อเสนอแนะจาก กทม. 11 ครั้งแล้ว ขณะนี้ยังไม่มีการพิจารณาทั้งสิ้น เรื่องอยู่ที่เลขาธิการคณะรัฐมนตรี
พล.อ.อนุพงษ์กล่าวว่า จากสถานการณ์ช่วงนั้น คสช.จึงขอให้มีเพียงผู้ประกอบการเจ้าเดียว ดังนั้นปมต่างๆ ต้องเกี่ยวกันแน่นอน ทั้งนี้ใน พ.ร.บ.ร่วมทุนฯ กำหนดไว้ชัดเจนว่าจะต้องนำโครงการเก่ามาพิจารณาด้วย ส่วนการกำกับก็ให้องค์กรปกครองส่วนท้องถิ่นดูแลตามอำนาจหน้าที่ ซึ่งตนไม่มีอำนาจไปยุ่งเกี่ยวกับการบริหาร กทม. ตนไม่ทราบว่า ครม.จะมีความเห็นอย่างไร และต้องรอการพิจารณาจากผู้ว่าฯ กทม.คนใหม่ เมื่อหมดสัญญาแล้ว กทม.จะเป็นเจ้าของ และ มท.จะไม่เข้าไปยุ่งในส่วนนั้น ส่วนการจ้างบีทีเอสเดินรถไปก่อนและยังไม่มีข้อยุติว่าจะเก็บค่าโดยสารเท่าไหร่ ดังนั้น ประชาชนยังสามารถใช้บริการได้ ซึ่งจะต้องมีการคำนวณจำนวนขบวนรถ จึงเป็นที่มาของการจ้างเดินรถต่ออีก 13 ปี ส่วนจะถูกกฎหมายหรือไม่ ต้องรอการพิจารณาจาก ป.ป.ช.ว่าเป็นอย่างไร ถ้าผิดก็ต้องดำเนินการ หากผู้ว่าฯ กทม.คนใดทำผิด ตนจะสั่งให้หยุดปฏิบัติหน้าที่ ตอบได้เลยว่าเจตนาคือต้องทำเพื่อบริการประชาชน ตนไม่ได้หนีความรับผิดชอบ
พล.อ.อนุพงษ์กล่าวว่า ย้ำว่าไม่มีการต่อสัญญาอีก 13 ปี แต่เป็นเรื่องที่ กทม.จ้างเดินรถต่อ ผิดถูกอย่างไรต้องให้ป.ป.ช.พิจารณา โดยคณะกรรมการกฤษฎีกาได้ชี้ว่าการดำเนินการนั้นมีผลถูกต้อง แต่คนทำจะมีความผิดอย่างไรเป็นอีกเรื่องหนึ่ง เป็นคนละเรื่องกันอันดับแรกคือยังไม่มีการต่อสัมปทานใดๆ ทั้งสิ้น เป็นเรื่องที่ ครม.กำลังพิจารณาว่าหากยังคาราคาซังอยู่ จะมีมติออกไปได้หรือไม่ตามข้อเจรจา จากนั้นจะถามไปที่ กทม. ที่มีผู้บริหารชุดใหม่ ซึ่งจะมีข้อมูลทุกอย่างกำหนดแนวทางมา ตนไม่สามารถเข้าไปร่วมคิดได้ ถ้าแจ้งว่าทำได้ เราจะนำเรื่องเข้า ครม. ทุกอย่างก็จะจบ จะราคา 65 บาทตลอดสาย หรือจะต่อสัญญาหรือไม่ไม่ต้องสนใจ คือให้อยู่ที่ กทม.จะตัดสินใจอย่างไร
วันเดียวกัน นายศรีสุวรรณ จรรยา เลขาธิการสมาคมองค์การพิทักษ์รัฐธรรมนูญไทย เดินทางมายังสถานีตำรวจนครบาลดอนเมือง (สน.ดอนเมือง) เพื่อแจ้งความกล่าวโทษผู้สมัครรับเลือกตั้งชิงตำแหน่งผู้ว่าฯ กทม. และผู้สมัคร ส.ก.เขตดอนเมือง ซึ่งไม่ยอมเก็บป้ายหาเสียงออกจากพื้นที่สาธารณะตามที่ กกต.กำหนดภายใน 3 วันหลังจากเลือกตั้ง อันเป็นความผิดตาม พ.ร.บ.รักษาความสะอาดฯ ปี 2535
ที่รัฐสภา นายรังสิมันต์ โรม ส.ส.บัญชีรายชื่อ พรรคก้าวไกล (ก.ก.) กล่าวกรณีที่มีผู้ใช้เฟซบุ๊กรายหนึ่งโพสต์ข้อความในลักษณะที่มีผู้เข้ามาร้องเรียน ซึ่งเป็นสาวสอง ถูกสมาชิกสภากรุงเทพมหานคร เขตวัฒนา จากพรรคก้าวไกล ส่งข้อความคุกคามทางเพศ จนถึงขั้นเอามือลูบเป้ากางเกงโชว์ พร้อมเรียกร้องให้นายวิโรจน์ ลักขณาอดิศร อดีตผู้สมัครผู้ว่าฯ กทม. พรรค ก.ก. ตรวจสอบข้อเท็จจริงในเรื่องดังกล่าวว่า พรรคก้าวไกลรับรู้เรื่องที่เกิดขึ้นแล้ว ทางนายวิโรจน์ก็ได้แสดงความเห็นไปในโพสต์ดังกล่าว จึงได้ประสานข้อมูลกับผู้ใช้เฟซบุ๊กที่รับเรื่องร้องเรียน คือนายนาดา ไชยจิตต์ นักสิทธิมนุษยชนด้านความหลากหลายทางเพศ เพื่อรอดูความพร้อมว่าผู้เสียหายจะเข้าให้ข้อมูลกับพรรคก้าวไกลเมื่อไหร่ และเราได้เตรียมคณะกรรมการวินัยพรรค ที่มีนายณัฐวุฒิ บัวประทุม ส.ส.บัญชีรายชื่อเป็นประธานคณะกรรมการฯ พร้อมด้วย ส.ส. และสมาชิกพรรค ร่วมเป็นกรรมการ ลงไปดูรายละเอียดว่าเรื่องนี้เป็นอย่างไร ยืนยันว่าไม่นิ่งนอนใจ การคุกคามทางเพศเป็นเรื่องใหญ่ที่เราจะไม่อดทน
เมื่อถามว่าจะพิจารณาร่วมงานกับส.ก.เขตวัฒนา จากพรรคก้าวไกลคนดังกล่าวหรือไม่ นายรังสิมันต์กล่าวว่า ข้อบังคับพรรคก้าวไกลมีการแก้ไขเพิ่มเติมใหม่ ปัญหาที่อาจจะมีในเชิงข้อกฎหมายคือ เรื่องดังกล่าวเกิดขึ้นก่อนที่จะมีการแก้ไขข้อบังคับพรรค แต่เมื่อพิจารณาดูแล้วสรุปออกมาได้ 2 สถาน 1.สถานเบาสุด คือให้ผู้กระทำผิดงดใช้โลโก้พรรค หรือทำภารกิจที่สื่อถึงพรรคก้าวไกล ตลอดจนตัดการร่วมงานทำกิจกรรมต่างๆ ทั้งหมด และ 2.สถานหนักสุด คือขับออกจากพรรค อย่างไรก็ตาม คงต้องนำข้อเท็จจริงทั้งหมดเข้าสู่คณะกรรมการวินัยของพรรค และพิจารณารายละเอียดต่อไป หากมีความพร้อมทั้งหมดเราจะเร่งดำเนินการให้เร็วที่สุด
เมื่อถามว่าจะส่งผลกระทบกับความเชื่อมั่นของพรรคหรือไม่ เนื่องจากได้ ส.ก.มากเป็นอันดับ 2 นายรังสิมันต์กล่าวว่า เป็นเรื่องน่าเสียใจที่มีเหตุนี้เกิดขึ้น แต่จะเชื่อมั่นหรือไม่ พรรคก้าวไกลพยายามพิสูจน์ให้ประชาชนเห็นผ่านกระบวนการการจัดการของเรา ที่ตื่นตัวและตอบสนองกับเรื่องเหล่านี้ตลอด ยอมรับว่าในกระบวนการคัดเลือกผู้สมัคร ส.ก.ของพรรค ก.ก. ด้วยจำนวนของผู้สมัครบางครั้งเราอาจมองไม่เห็นบางปัญหา ก็พร้อมน้อมรับ ยืนยันว่าไม่ได้ปกปิด เราเพิ่งรู้ปัญหานี้หลังจากการประกาศผล ส.ก. เบื้องต้นได้ประสานกับผู้ถูกกล่าวหาแล้ว แต่ให้ทางคณะกรรมการวินัยฯ ดำเนินการก่อน หากผู้ถูกกล่าวหายอมรับผิด กระบวนการก็จะรวดเร็ว แต่ถ้าเขาปฏิเสธก็จะต้องแสวงหาข้อเท็จจริงต่อไป.
ข่าวที่เกี่ยวข้อง
ฟุ้งปีใหม่โอกาสดีทุกคน มั่นใจ‘แม้ว-หนู’ไร้ปัญหา
นายกฯ อิ๊งค์อวยพรปีใหม่ ให้ทุกคนมีจิตใจเบิกบานยันปี 68
ทักษิณจ่อพบอันวาร์ในไทย
"ทักษิณ" ยันเตรียมพบ "อันวาร์" กำลังรอคอนเฟิร์ม
แฉ10โกงทำประเทศจน เอกชนสมคบกับจนท.รัฐ
องค์กรต่อต้านคอร์รัปชันแฉ 10 กรณีทุจริตแห่งปี 2567 ที่ทำคนไทย “เจ็บ” และ “จน" หลายเรื่องราวยังไม่จบ
สมัครอบจ.คึกคักพท.เกทับปชน.
เปิดรับสมัครนายกและสมาชิก อบจ.วันแรกทั่วไทยสุดคึกคัก
รัฐบาล(พ่อ)เลี้ยง สื่อทำเนียบฯตั้งฉายา‘แพทองโพย’อิ๊งค์มองมุมดีส่งเสริมกัน
สื่อทำเนียบฯ ตั้งฉายาปี 67 “รัฐบาล(พ่อ)เลี้ยง” นายกฯ "แพทองโพย" วาทะแห่งปี
‘แม้ว-หนู’จูบปากตีกอล์ฟ ‘แก้วสรร’ให้ลุ้นกลางปี68
ชื่นมื่น! “ทักษิณ” ควง "อนุทิน” ตีกอล์ฟ สยบรอยร้าวรัฐบาล