‘บิ๊กตู่’กร้าวรับไม่ได้ ผบ.ทบ.ห้ามลามปามสถาบัน ดีอีเอสยื่นศาลเชือดลาซาด้า

"บิ๊กตู่" รับไม่ได้โฆษณาลาซาด้าไม่เหมาะสม บอกให้กฎหมายดำเนินการ "ผบ.ทบ." ยันกองทัพออกโรงปกป้องสถาบันเป็นหน้าที่ ไม่มีปฏิวัติ ซัดเบี่ยงเบนร่างกายได้แต่อย่าเบี่ยงเบนจิตใจ  "ชัยวุฒิ" จ่อขยายผลปิด 42 แพลตฟอร์มหมิ่นสถาบัน "ตร." ขอ ปชช.ไตร่ตรองซื้อสินค้าจากบริษัทโปรโมตไม่เหมาะสม "ศ.ป.ป.ส." จี้สอบเส้นทางการเงินนาราเครปกะเทย "วิโรจน์" เหน็บใช้อำนาจแบนลาซาด้าจะขายขี้หน้าในเวทีโลก

มีความเคลื่อนไหวภายหลังจากเหล่าทัพ ทั้งกองทัพบก กองทัพอากาศ และกองทัพเรือ ออกมาบอยคอตลาซาด้า (Lazada)​ จากการที่แพลตฟอร์มขายสินค้าออนไลน์ลาซาด้าได้มีการนำเสนอโฆษณาด้านการตลาดในลักษณะที่ก้าวล่วงสถาบัน บ่อนทำลาย และกระทบต่อความรู้สึกของคนไทยอย่างร้ายแรงนั้น

เมื่อวันที่ 10 พ.ค. พล.อ.ประยุทธ์ จันทร์โอชา นายกรัฐมนตรีและ รมว.กลาโหม ตอบคำถามถึงข้อห่วงใยกรณีแพลตฟอร์มขายสินค้าออนไลน์ลาซาด้าลงโฆษณาที่มีลักษณะไม่เหมาะสมว่า เป็นเรื่องของการกระทำที่ถูกต้องหรือไม่ล่ะ   เรารับได้ไหมล่ะ สื่อรับได้ไหม โดยผู้สื่อข่าวกล่าวตอบกลับว่า รับไม่ได้ นายกฯกล่าวว่า รับไม่ได้ ตนก็รับไม่ได้ ก็ให้กฎหมายเขาว่าไป

ขณะที่ พล.อ.ณรงค์พันธ์ จิตต์แก้วแท้ ผู้บัญชาการทหารบก (ผบ.ทบ.) กล่าวถึงจุดยืนกองทัพในการปกป้องสถาบันว่า       กองทัพมีจุดยืนในการปกป้อง เป็นหน้าที่ตามรัฐธรรมนูญทุกคนต้องเทิดทูนและปกป้อง ยึดมั่นในสถาบันหลักของชาติ ศาสนา พระมหากษัตริย์ ถือเป็นเรื่องปกติ

พล.อ.ณรงค์พันธ์กล่าวว่า กรณีของลาซาด้านั้น ตนมองว่าเรื่องสิทธิ เสรีภาพ ตนเคยพูดแล้วเมื่อ 2 ปีก่อนว่าสิทธิเสรีภาพส่วนบุคคลเป็นเรื่องที่ทุกคนมีสิทธิและเสรีภาพ และไม่ควรก้าวล่วงละเมิดสิทธิเสรีภาพคนอื่น เหมือนเราที่ไม่อยากให้ใครก้าวล่วงสิทธิเสรีภาพส่วนบุคคลของเรา เมื่อก้าวล่วงแล้วต้องรับผิดชอบต่อสิ่งที่ตนเองกระทำ 

 “เอาตัวเราเป็นหลักว่าเราชอบหรือไม่ชอบ กับคนที่ยุ่ง ก้าวล่วงและลามปามเรา หรือกล่าวหาเรา หรือดูหมิ่น เหยียดหยาม โดยเฉพาะคนที่มีลักษณะพิการ ตามหลักสิทธิมนุษยชน นี่คือสิทธิเสรีภาพตามหลักกฎหมายสากลทั่วโลก" พล.อ.ณรงค์พันธ์กล่าว 

ถามว่าจากนี้เป็นต้นไปจะมีความเคลื่อนไหวหมิ่นสถาบัน กองทัพจะช่วยตรงนี้อย่างไรบ้าง ผบ.ทบ.กล่าวว่า เป็นเรื่องของทางกฎหมาย เพราะเรามีกฎหมายและหน่วยงานที่รับผิดชอบอยู่แล้ว หน่วยงานใดมีหน้าที่ด้านไหนที่จะช่วยกันปกป้องรักษาสถาบันหลักก็ดำเนินการตามกฎหมาย และว่าไปตามกฎหมาย

"สิ่งที่เราแสดงออกมา เราไม่ได้ปราม แต่เป็นการทำหน้าที่ บทบาทของกองทัพที่จะต้องเทิดทูน ปกป้อง รักษาสถาบันหลักไว้ เราทุกคนมีหน้าที่ที่จะต้องทำตามหน้าที่บทบาทของตนเอง ทุกคน ทุกองค์กร ประเทศไทยต้องความรัก ความสามัคคี ไม่แตกแยก ผมฝากไว้คำสุดท้ายก็คือว่า สามารถเบี่ยงทางร่างกาย แต่อย่าเบี่ยงเบนจิตใจ พยายามทำจิตใจให้สูงเข้าไว้" ผบ.ทบ.กล่าว 

เมื่อถามว่า หากในอนาคตเกิดความวุ่นวาย กองทัพจะมีจุดยืนอย่างไร โดยเฉพาะการปฏิวัติรัฐประหาร พล.อ.ณรงค์พันธ์กล่าวสั้นว่า ไม่มีหรอก ยืนยันจุดยืน อุดมการณ์เพื่อชาติ ศาสนา และพระมหากษัตริย์  

มีรายงานว่า กองทัพบกได้มีหนังสือคำสั่งด่วนที่สุด ลงนามโดย พล.อ.สันติพงศ์ ธรรมปิยะ เสนาธิการทหารบก ส่งถึงหน่วยงานภายใต้สังกัดกองบัญชาการกองทัพบกทั่วประเทศ ระบุว่า 1.ตามที่ได้ปรากฏการผลิตและเผยแพร่สื่อโฆษณาด้านการตลาด (Content) ด้วยเนื้อหาที่ไม่เหมาะสม ในลักษณะที่เป็นการบ่อนทำลาย ซึ่งกระทบกระเทือนต่อจิตใจของคนไทย และลดทอนคุณค่าของความเป็นมนุษย์ ของแพลตฟอร์มการขายสินค้าออนไลน์ บริษัท ลาซาด้า จำกัด (LAZADA) ผบ.ทบ/ผบ.ศปก.ทบ. ได้กรุณาสั่งการในการประชุมติดตามสถานการณ์ประจำวันของ ศปก.ทบ. เมื่อวันที่ 9 พ.ค.65​ โดยไม่อนุญาตให้มีการส่งสินค้าจากแพลตฟอร์มของบริษัทดังกล่าว ในพื้นที่ บก.ทบ. และหน่วยทหารของ ทบ. รวมทั้งห้ามทุกหน่วยทหารหรือกิจการใดๆ ของ ทบ. ใช้บริการสั่งสินค้าจากแพลตฟอร์มของบริษัทดังกล่าว ตั้งแต่บัดนี้ป็นต้นไป

จ่อสั่งปิด 42 ยูอาร์แอล

ทั้งนี้ หากมีการตรวจพบการกระทำผิดต่อกรณีดังกล่าว จะถือว่าเป็นความบกพร่องของ ผบ.หน่วย 2.ขอให้ นขต.ทบ. และหน่วยรอง รวมทั้งกิจการต่างๆ ของ ทบ. ยืดถือปฏิบัติตามข้อ 1​ อย่างเคร่งครัด

ด้านนายชัยวุฒิ ธนาคมานุสรณ์ รมว.ดิจิทัลเพื่อเศรษฐกิจและสังคม (ดีอีเอส) กล่าวถึงเรื่องลาซาด้าว่า ขณะนี้ดีอีเอสกำลังรวบรวมพยานหลักฐานและทำงานร่วมกับกองบังคับการปราบปรามการกระทำความผิดเกี่ยวกับอาชญากรรมทางเทคโนโลยี (ปอท.) ซึ่งได้ดำเนินคดีไปแล้ว นอกจากนี้ ยังมีคำสั่งไปที่ศาลเพื่อขอให้ปิดกั้นการเข้าถึงแพลตฟอร์ม รวมถึงการแชร์ผ่านยูทูบ ทวิตเตอร์​และเฟซบุ๊ก เบื้องต้นพบทั้งหมด 42 ยูอาร์แอล

"ปกติหากแพลตฟอร์มเหล่านี้ได้รับการแจ้งจากดีอีเอส จะมีการปิดตัวเองอยู่แล้ว เพราะหากไม่ปิดจะมีความผิด คือเป็นผู้ร่วมกระทำความผิดตาม พ.ร.บ.ว่าด้วยการกระทำความผิดเกี่ยวกับคอมพิวเตอร์และกฎหมายอื่น ซึ่งน่าจะต้องปิดทั้งหมด เพราะมีความผิดชัดเจน" นายชัยวุฒิกล่าว

ถามว่าจะมีมาตรการป้องกันไม่ให้เกิดกรณีแบบนี้อีกอย่างไร รมว.ดีอีเอสกล่าวว่า สิ่งที่สำคัญที่สุด เอเยนซีโฆษณา อินฟลูเอนเซอร์ และผู้ที่อยู่ในวงการประชาสัมพันธ์ต้องมีจรรยาบรรณ ​และมีสมาคมวิชาชีพดูแล เพื่อหารือกันว่าการทำโฆษณาต้องถูกกฎหมาย ไม่ผิดศีลธรรม ไม่บูลลี่ หรือทำให้สังคมเกิดความรู้สึกไม่ดี จึงต้องมีการกำกับดูแลระหว่างกัน หากให้หน่วยงานหรือรัฐบาลไปสั่งคงไม่เหมาะสม เพราะเป็นสิทธิเสรีภาพในการแสดงความคิดเห็นตามรัฐธรรมนูญ แต่อยากให้เคารพกฎหมายและเป็นไปตามบริบทที่สังคมไทยรับได้ อะไรที่สังคมไทยรับไม่ได้ก็อย่าไปทำ หากไปทำอะไรที่ขัดความรู้สึกคนไทย สุดท้ายธุรกิจทำโฆษณาก็จะเสียหายเอง 

ถามว่ากังวลหรือไม่ว่าจะกระทบความสัมพันธ์ เพราะลาซาด้าเป็นแพตฟอร์มจากประเทศจีน รมว.ดีอีเอสกล่าวว่า ก็ต้องคิดถึงคนไทยเหมือนกัน จะคิดว่าอยากทำอะไรก็ได้มันไม่ถูก เป็นคนจีนก็ต้องเคารพกฎหมายไทยและความรู้สึกของไทย 

ต่อมา นายเวทางค์ พ่วงทรัพย์ รองปลัดดีอีเอส ในฐานะโฆษกดีอีเอส แถลงผลการประชุมคณะกรรมการกลั่นกรองข้อมูลคอมพิวเตอร์ตามพระราชบัญญัติว่าด้วยการกระทำความผิดเกี่ยวกับคอมพิวเตอร์ พ.ศ.2550 และที่แก้ไขเพิ่มเติม ครั้งที่ 7/2565 ว่า ได้มีการพิจารณาข้อมูลกรณีคลิปโฆษณาไม่เหมาะสม และภาพนิ่งที่เกี่ยวข้องในการโปรโมตแคมเปญ 5.5 ของแพลตฟอร์มอีคอมเมิร์ซ ลาซาด้า เนื่องจากเนื้อหาการนำเสนอโฆษณาดังกล่าวที่มีการเผยแพร่ผ่านโซเชียลและออนไลน์ เป็นข้อมูลคอมพิวเตอร์ที่อาจเข้าข่ายมีลักษณะขัดต่อความสงบเรียบร้อย หรือศีลธรรมอันดีของประชาชน เพราะมีเนื้อหาที่ทำให้สังคมหรือประชาชนทั่วไปเข้าใจพาดพิงไปถึงบุคคลสำคัญ และเป็นการล้อเลียนความไม่สมบูรณ์ของร่างกายมนุษย์ เป็นการลดทอนคุณค่าความเป็นมนุษย์ อันเป็นการกระทำที่ขัดต่อความสงบเรียบร้อยหรือศีลธรรมอันดีของประชาชน

"ที่ประชุมมีมติเห็นชอบให้เสนอรัฐมนตรี มอบหมายให้พนักงานเจ้าหน้าที่ยื่นคำร้องพร้อมแสดงพยานหลักฐานต่อศาลที่มีเขตอำนาจ ขอให้มีคำสั่งระงับการทำให้แพร่หลายหรือลบซึ่งข้อมูลคอมพิวเตอร์นั้นออกจากระบบคอมพิวเตอร์ และเมื่อรัฐมนตรีให้ความเห็นชอบแล้ว พนักงานเจ้าหน้าที่จะดำเนินการยื่นคำร้องต่อศาลต่อไป ซึ่งการดำเนินการในวันนี้เป็นการดำเนินการเพิ่มเติม เพื่อปิดกั้นเนื้อหาที่ไม่เหมาะสมดังกล่าว" โฆษกดีอีเอสกล่าว

ที่สำนักงานตำรวจแห่งชาติ พ.ต.อ.กฤษณะ พัฒนเจริญ รองโฆษกสำนักงานตำรวจแห่งชาติ เผยแพร่ข่าวประชาสัมพันธ์ และขอความร่วมมือพิจารณาไตร่ตรองการเลือกใช้สินค้าหรือบริการจากการโฆษณาหรือนำเสนอสินค้าในทุกรูปแบบที่ใช้อาการป่วย ความพิการ หรือ ความบกพร่องของบุคคล มาเป็นส่วนประกอบในการนำเสนอเพื่อชักชวนให้ซื้อสินค้า เนื่องจากกระทบต่อความรู้สึกของสังคมและเป็นการกระทำที่ไม่เหมาะสม

"กรณีดังกล่าวถือเป็นเรื่องที่สังคมไม่ควรยอมรับหรือปล่อยผ่าน โดยปกติแล้วเรื่องลักษณะแบบนี้จะไม่เกิดขึ้นในอารยประเทศ รวมถึงขอความร่วมมือผู้ประกอบการ เจ้าของผลิตภัณฑ์ เจ้าของบริษัทโฆษณา เจ้าของสื่อในรูปแบบต่างๆ รวมถึงสื่อสังคมออนไลน์ ช่วยคัดกรองโฆษณาหรือรูปแบบการนำเสนอที่ใช้การล้อเลียนความป่วย ความพิการหรือความบกพร่องส่วนบุคคลก่อนจะนำเสนอเพื่อชักชวนให้ซื้อขายสินค้า" พ.ต.อ.กฤษณะกล่าว

ตร.เร่งรวบรวมหลักฐาน

รองโฆษก ตร.กล่าวถึงความคืบหน้าคดีที่นายศรีสุวรรณ จรรยา เลขาธิการสมาคมองค์การพิทักษ์รัฐธรรมนูญไทย แจ้งความกล่าวโทษนารา เครปกะเทย และพวกฐานดูหมิ่นสถาบันพระมหากษัตริย์ เนื่องจากมีการนำภาพและข้อมูลจากแพลตฟอร์มซื้อขายสินค้าออนไลน์ของ LAZADA และเพจเฟซบุ๊กที่ชื่อ “นารา เครปกะเทย” ลักษณะการโฆษณาหรือนำเสนอที่มีลักษณะล้อเลียน ส่อเสียด ถึงอาการป่วย ความพิการหรือความบกพร่องของบุคคลว่า ขณะนี้อยู่ระหว่างการสืบสวนสอบสวนและรวบรวมพยานหลักฐานที่เกี่ยวข้องของพนักงานสอบสวน บก.ปอท. ซึ่งได้ประสานกระทรวงดิจิทัลฯ ในการปิดกั้นเนื้อหาที่มีการเผยแพร่ดังกล่าวแล้ว

วันเดียวกัน นายอานนท์ กลิ่นแก้ว แกนนำกลุ่มศูนย์รวมประชาชนปกป้องสถาบัน (ศ.ป.ป.ส.) เข้ายื่นหนังสือร้องเรียนถึง พล.ต.ท.จิรภพ ภูริเดช ผบช.ก. ให้ตรวจสอบเส้นทางการเงินและธุรกิจของ นายอนิวัต ประทุมถิ่น หรือนารา เครปกะเทย ภายหลังพบมีการเงินที่รวยผิดปกติจากเดิมเป็นคนไม่มีฐานะ

นายอานนท์กล่าวว่า ศ.ป.ป.ส.ได้ติดตามมาโดยตลอด พบเมื่อก่อนนารา เครปกะเทย มีฐานะยากจน แต่ตอนนี้กลับมีฐานะร่ำรวยและมีกิจการต่างๆ มากมาย คาดว่าอาจเป็นการฟอกเงินและหลีกเลี่ยงภาษี จึงอยากให้มีการตรวจสอบที่แน่ชัดว่าเป็นการทำธุรกิจที่สุจริตหรือไม่ ส่วนสินค้าที่มาจากธุรกิจผลิตภัณฑ์เครื่องสำอาง ก็ขอให้เจ้าหน้าที่ได้ตรวจสอบคุณภาพของสินค้าว่ามีการผ่าน อย.หรือไม่ มีโฆษณาเกินจริงหรือไม่

"ในส่วนแพลตฟอร์มขายสินค้าทางออนไลน์ลาซาด้านั้น ทางกลุ่ม ศ.ป.ป.ส.ยังคงเดินหน้าแบนลาซาด้าอยู่ และหันไปสนับสนุนคู่แข่งอย่างชอปปี้แทน" แกนนำ ศ.ป.ป.ส.กล่าว

ด้าน พล.ต.ต.อนันต์ นานาสมบัติ ผู้บังคับการปราบปรามการกระทำความผิดเกี่ยวกับการคุ้มครองผู้บริโภค (ผบก.ปคบ.) ได้มีคำสั่งให้ทุกหน่วยในสังกัดตรวจสอบการจำหน่ายสินค้าทางออนไลน์ทุกแพลตฟอร์ม โดยเฉพาะลาซาด้าอย่าให้มีการจำหน่ายสินค้าที่ไม่ได้มีคุณภาพ ไม่ได้มาตรฐาน ตามหน้างานที่รับผิดชอบของแต่ละหน่วยงานอย่างเข็มงวด

ผศ.ดร.อานนท์ ศักดิ์วรวิชญ์ อาจารย์ประจำคณะสถิติประยุกต์ สถาบันบัณฑิตพัฒนบริหารศาสตร์ (นิด้า) โพสต์ข้อความระบุว่า "คดีที่ Lazada ไปจ้างทำโฆษณาที่บูลลี่สมเด็จพระพันปีหลวงและเจ้าฟ้าจุฬาภรณฯ นั้น มีคนไปแจ้งความแล้วครับ และทางพนักงานสอบสวนติดต่อผมมาให้ผมไปเป็นพยานในคดีนี้ครับ ผมจะทำหน้าที่อย่างเข้มแข็ง ตรงไปตรงมา ซื่อสัตย์ เพื่อปกป้อง ชาติ ศาสนา พระมหากษัตริย์ ให้เต็มที่ครับ คนทำผิดต้องได้รับกรรม"

อย่างไรก็ดี ในส่วนของนายวิโรจน์ ลักขณาอดิศร ผู้สมัครผู้ว่าฯ กทม. เบอร์ 1 พรรคก้าวไกล เขียนข้อความผ่านทวิตเตอร์ส่วนตัวถึงกรณีดังกล่าว แสดงความไม่เห็นด้วยกับที่ 3 เหล่าทัพ รวมถึง ตร. แสดงจุดยืนและใช้อำนาจรัฐกับลาซาด้า

 “ใครใคร่ค้าช้างค้า ใครใคร่ค้าม้าค้า ใครใคร่ค้าออนไลน์ไม่ให้ค้า การตัดสินใจใช้อำนาจรัฐกับบริษัทเทค ซึ่งกระทบกับผู้ค้าออนไลน์ที่ลำบากอยู่แล้ว เป็นจำนวนมาก และอาจกระทบกับการค้าระหว่างประเทศ รัฐบาลต้องตั้งสติให้ดี ไม่ใช่เอาทั้งกองทัพ และประเทศไปขายขี้หน้าในเวทีโลก” นายวิโรจน์ระบุ

เช่นเดียวกับ นายรังสิมันต์ โรม ส.ส.แบบบัญชีรายชื่อและโฆษกพรรคก้าวไกล ออกมาแสดงความเห็นต่อกรณีที่ศาลจังหวัดสงขลาอ่านคำพิพากษา วันที่ 9 พ.ค.65 กรณีไต่สวนการตายของอับดุลเลาะ อีซอมูซอ โดยสรุปว่าตายเพราะสมองบวม ขาดออกซิเจน และหัวใจหยุดเต้นโดยไม่ทราบสาเหตุ แต่ไม่รู้สาเหตุที่ทำให้เกิดอาการที่นำไปสู่การตาย เนื่องจากเห็นว่าพยานหลักฐานที่มีอยู่ไปไม่ถึงจุดที่จะให้สรุปได้ว่าเป็นการถูกกระทำโดยเจ้าหน้าที่

ช่วงท้ายของการแสดงความคิดเห็นเรื่องดังกล่าว นายรังสิมันต์ระบุว่า เห็นช่วงนี้กองทัพขยันออกมาประกาศจุดยืนกันทุกเหล่าทัพ จึงอยากให้กองทัพช่วยประกาศจุดยืนอีกสักเรื่องว่า จะสนับสนุนและปฏิบัติตาม พ.ร.บ.ยุติการซ้อมทรมานและอุ้มหายฉบับนี้ รวมถึงเปิดให้มีการแสวงหาข้อเท็จจริงกรณีอุ้มหายในอดีตที่ต้องสงสัยว่าเป็นฝีมือทหาร ซึ่งร่าง พ.ร.บ. ฉบับนี้เปิดให้ดำเนินการได้ด้วย ทั้งนี้ไม่ถือเป็นการใช้กฎหมายย้อนหลัง เนื่องจากไม่มีการพิจารณาคดีและพิพากษาโทษ เพื่อสร้างความมั่นคงปลอดภัยและอำนวยความยุติธรรมให้กับประชาชนได้

"ผมเชื่อมั่นหากท่านทำจะส่งผลดีในหลายด้าน ไม่ว่าสถานการณ์สิทธิมนุษยชนในประเทศไทยหรือกระบวนการสันติภาพชายแดนใต้ และผมเชื่อจริงๆโดยบริสุทธิ์ใจว่า จุดยืนในเรื่องนี้จะเป็นประโยชน์ต่อสังคมไทยมากกว่าการประกาศแบนลาซาด้าอย่างแน่นอน โดยเฉพาะการจัดการความขัดแย้งที่ชายแดนใต้นั้น ปฏิเสธไม่ได้เลยว่ากระบวนการยุติธรรมและบทบาทของกองทัพ คือเงื่อนไขสำคัญที่จะทำให้สันติภาพเกิดขึ้นได้จริงในพื้นที่” นายรังสิมันต์กล่าว.

เพิ่มเพื่อน

ข่าวที่เกี่ยวข้อง