ซูเปอร์โพลเผย ผู้เลือกหน้าใหม่เกือบร้อยละ 60 ยังไม่ตัดสินใจเลือกใครเป็นผู้ว่าฯ กทม. "สกลธี" มาแรง ส่วน "ชัชชาติ-ดร.เอ้" เริ่มแผ่วปลาย "อัศวิน" ยันคลองช่องนนทรีใช้งบไปแค่ 80 ล้านบาท ถ้าใช้เงิน 5-6 พันล้านได้แค่นี้ ต้องเอาไปตัดคอแล้วมั้ง ท้า "เอาผมนี่แหละไปตัดคอ"
เมื่อวันที่ 23 เมษายน 2565 ผศ.ดร.นพดล กรรณิกา ผู้อำนวยการสำนักวิจัยซูเปอร์โพล (SUPER POLL) เสนอผลสำรวจเรื่อง กลุ่มคนเลือกตั้งหน้าใหม่ (New Voters) กับกลุ่มคนเคยเลือก ในความต้องการเปลี่ยนแปลง กทม.ให้ดีขึ้น กรณีศึกษาประชาชนทุกสาขาอาชีพผู้มีสิทธิเลือกตั้งในเขตกรุงเทพมหานคร โดยดำเนินโครงการทั้งการวิจัยเชิงปริมาณ (Quantitative Research) และการวิจัยเชิงคุณภาพ (Qualitative Research) จำนวน 1,506 ตัวอย่าง ระหว่างวันที่ 21- 22 เมษายน 2565 ที่ผ่านมา พบว่า ร้อยละ 23.0 เป็นกลุ่มคนเลือกตั้งหน้าใหม่ หรือนิวโหวตเตอร์ ในขณะที่ร้อยละ 77.0 เป็นกลุ่มคนที่เคยเลือกตั้งผู้ว่าฯ กทม.มาแล้ว
ที่น่าพิจารณาคือ สิ่งที่ต้องการเห็นผู้สมัครทำให้ กทม.เปลี่ยนแปลงดีขึ้น จึงตั้งใจจะไปใช้สิทธิ พบว่า ส่วนใหญ่หรือร้อยละ 80.2 ระบุต้องการเห็นผู้สมัครทำถนนให้เรียบ ไม่เป็นหลุมเป็นบ่อ น้ำไม่ท่วมขัง รองลงมาคือส่วนใหญ่หรือร้อยละ 80.1 ระบุความสะดวกและปลอดภัยในการเดินทาง ทำให้คน กทม.เดินทางได้สะดวก รวดเร็ว รถไม่ติด และทุกคนมีความปลอดภัยทางถนน, ร้อยละ 79.2 ระบุทำทางเท้าให้น่าเดิน ไม่เป็นหลุมเป็นบ่อ ปลอดภัยบนทางเท้า, ร้อยละ 78.9 ระบุการศึกษา, ร้อยละ 78.9 เช่นกันระบุ บริหารจัดการขยะและน้ำท่วมขังในชุมชน, ร้อยละ 78.9 ระบุสุขอนามัย ร้านค้าต่างๆ, ร้อยละ 77.9 ระบุส่งเสริมพัฒนา อาชีพ การมีงานทำมั่นคง, ร้อยละ 75.2 ระบุเพิ่มต้นไม้ พื้นที่สีเขียว, ร้อยละ 75.1 ระบุทำลำคลองต่างๆ ให้สะอาดใช้ประโยชน์ได้มากขึ้น, ร้อยละ 74.6 ระบุ ทำกรุงเทพฯ ให้เป็นศูนย์กลางความเจริญ นานาชาติในทุกสิ่ง ตามลำดับ
ที่น่าสนใจคือ ความตั้งใจจะเลือกผู้ว่า กทม. ของคนสองกลุ่ม ได้แก่ กลุ่มคนเลือกตั้งหน้าใหม่ หรือนิวโหวตเตอร์ กับ กลุ่มคนเคยเลือก พบความแตกต่างอย่างมีนัยสำคัญทางสถิติคือ กลุ่มคนเลือกตั้งหน้าใหม่ ส่วนใหญ่หรือเกือบร้อยละ 60 คือร้อยละ 58.7 ยังไม่ตัดสินใจ เพราะรอใกล้วันเลือกตั้ง (โค้งสุดท้าย) และกำลังสนใจเรื่องปัญหาปากท้องและเรื่องอื่นๆ มากกว่า ตอนนี้ติดตามข่าวสารและข้อมูลอยู่ ในขณะที่กลุ่มคนเคยเลือก จำนวนมากเช่นกันหรือเกินกว่า 1 ใน 3 คือร้อยละ 37.4 ยังไม่ตัดสินใจ
เมื่อนำผลสำรวจของคนสองกลุ่มมาเปรียบเทียบกัน พบว่าร้อยละ 19.9 ของกลุ่มคนเลือกตั้งหน้าใหม่ มากกว่ากลุ่มคนเคยเลือกที่มีอยู่ร้อยละ 17.0 จะเลือก นายชัชชาติ สิทธิพันธุ์ ในขณะที่นายสุชัชวีร์ สุวรรณสวัสดิ์ ตามมาอันดับสอง มีกลุ่มคนเคยเลือกร้อยละ 12.8 มากกว่า กลุ่มคนเลือกตั้งหน้าใหม่ที่จะเลือกนายสุชัชวีร์อยู่ร้อยละ 8.4
'สกลธี' มาแรง
ที่น่าสนใจในผู้สมัคร 2 คนคือ คนแรกเป็นอดีตผู้ว่าฯ กทม. คือ พล.ต.อ.อัศวิน ขวัญเมือง และนายสกลธี ภัททิยกุล โดยพบว่า นายสกลธี ภัททิยกุล ได้กลุ่มคนเคยเลือกผู้ว่าฯ กทม.สูงเกือบเท่านายสุชัชวีร์ คือร้อยละ 12.7 มากกว่ากลุ่มคนเลือกตั้งหน้าใหม่ร้อยละ 4.3 ในขณะที่ พล.ต.อ.อัศวิน ขวัญเมือง ได้จากกลุ่มคนเคยเลือกผู้ว่าฯ กทม. อยู่ต่ำกว่าร้อยละ 10 คือร้อยละ 8.5 ในขณะที่ได้กลุ่มคนเลือกตั้งหน้าใหม่ ร้อยละ 4.9
นอกจากนี้ ผู้สมัครที่น่าจับตามองอีกท่านหนึ่งคือ นายวิโรจน์ ลักขณาอดิศร ที่ได้รับการสนับสนุนจากคนเคยเลือกตั้งผู้ว่าฯ กทม. อยู่ที่ร้อยละ 6.6 สูงกว่าผลสำรวจครั้งก่อน และได้รับจากกลุ่มคนเลือกตั้งหน้าใหม่ที่มีอยู่ร้อยละ 2.3 ในขณะที่ผู้สมัครท่านอื่นๆ เช่น น.ส.รสนา โตสิตระกูล และ น.ต.ศิธา ทิวารี เป็นต้น ได้กลุ่มคนเคยเลือกตั้งผู้ว่าฯ กทม. ร้อยละ 5.0 และจากกลุ่มคนเลือกตั้งหน้าใหม่ร้อยละ 1.5 ตามลำดับ
ที่น่าพิจารณาคือ แนวโน้มกลุ่มคนตั้งใจจะเลือกผู้ว่าฯ กทม.ครั้งแรก หลังลงสมัครอย่างเป็นทางการ จนถึงครั้งที่สาม ที่ประชาชนมองปัญหาเดิมๆ ของ กทม. และข่าวการเมืองช่วงสงกรานต์ เช่น ข่าวแบ่งเค้กตำแหน่งรองผู้ว่าฯ กทม.กับแกนนำพรรคการเมือง ข่าวแกนนำพรรคการเมืองสัมพันธ์กับคนแดนไกล รวมกับ นโยบายการหาเสียงแบบเดิมๆ ไม่มีอะไรใหม่ ประชาชนผิดหวังซ้ำซากยาวนานต่อ ผู้ว่าฯ กทม.ในอดีต เป็นต้น อาจจะส่งผลทำให้ผลสำรวจพบว่า กลุ่มคนยังไม่ตัดสินใจเพิ่มขึ้นจากร้อยละ 28.7 ในครั้งที่สอง มาอยู่ที่ร้อยละ 42.3 ในครั้งที่สาม เพราะยังไม่รู้จะเลือกใครดี ยังมีข้อมูลไม่มากพอ เบื่อการเมืองเดิมๆ ไม่มีอะไรใหม่ และบางส่วนจะตัดสินใจช่วงใกล้เลือกตั้งหรือโค้งสุดท้าย
ในขณะที่ผลสำรวจครั้งนี้มีลุ้นมีเสียว เพราะคนตั้งใจจะเลือกนายชัชชาติ สิทธิพันธุ์ ลดลงจากร้อยละ 24.5 ในครั้งที่สอง มาอยู่ที่ร้อยละ 17.7 ในครั้งล่าสุด นายสุชัชวีร์ สุวรรณสวัสดิ์ ก็ลดลง อาจเป็นผลจากปริญญ์เอฟเฟกต์ จากร้อยละ 13.9 มาอยู่ที่ร้อยละ 11.8 แต่ที่มีลุ้นคือนายสกลธี ภัททิยกุล เพิ่มขึ้นจากร้อยละ 10.1 มาอยู่ที่ร้อยละ 10.8
ที่น่าพิจารณาคือ พล.ต.อ.อัศวิน ขวัญเมือง ที่ลดลงจากร้อยละ 9.8 มาอยู่ที่ร้อยละ 7.7 เพราะคนกรุงเทพมหานครเห็นว่าเคยผู้ว่าราชการกรุงเทพมหานครมาหลายปีแล้ว ปัญหา กทม.ยังคงเหมือนเดิม แต่ที่น่าจับตามองคือ นายวิโรจน์ ลักขณาอดิศร ที่ยังรักษาแนวโน้มการเพิ่มขึ้นของกลุ่มคนตั้งใจจะเลือกที่เพิ่มขึ้น จากร้อยละ 2.5 ในครั้งแรก มาอยู่ที่ร้อยละ 5.5 ในครั้งสอง และร้อยละ 5.6 ในครั้งล่าสุด ขณะที่ผู้สมัครอื่นๆ มีแนวโน้มลดลงไปอยู่ในกลุ่มคนไม่ตัดสินใจเป็นจำนวนมาก จึงขึ้นอยู่กับการแสดงวิสัยทัศน์ของผู้สมัครแต่ละคนที่จะสามารถตอบโจทย์ตรงใจของประชาชนคน กทม.ได้มากน้อยเพียงไร
เอาผมนี่แหละไปตัดคอ
ผอ.ซูเปอร์โพลกล่าวว่า ผลโพลนี้ชี้ให้เห็นว่า กลุ่มคนเลือกตั้งหน้าใหม่ หรือนิวโหวตเตอร์ (New Voters) กับกลุ่มคนเคยเลือกผู้ว่าฯ กทม. มีความตั้งใจจะเลือกผู้สมัครแตกต่างกันอย่างมีนัยสำคัญทางสถิติ กล่าวคือ นายสกลธีมีลุ้นคู่ไปกับนายวิโรจน์ ที่มีคะแนนเพิ่มสูงขึ้น ขณะที่คนอื่นๆ มีลดลงและคงที่ เพราะกลุ่มคน กทม.ในผลโพลนี้กลับไปรวมตัวกันที่ฐานเดิมคือยังไม่ตัดสินใจ
ผอ.ซูเปอร์โพลกล่าวต่อว่า เมื่อวิเคราะห์เหตุปัจจัยใดที่มีผลต่อการเปลี่ยนใจของผู้มีสิทธิเลือกตั้งหน้าใหม่ หรือนิวโหวตเตอร์ กับกลุ่มคนเคยเลือกผู้ว่าฯ กทม. พบว่า “ภาพจำ” ของคน กทม. มีผลทั้งปัญหาเดิมๆ ซ้ำซาก เช่น คุณภาพชีวิตของคน กทม. ที่ยังย่ำแย่เหมือนเดิม ปัญหาจราจร การเดินทางของคน กทม. ความไม่ปลอดภัยบนท้องถนน และบนทางเท้า ปัญหาการศึกษา เป็นต้น
“นอกจากนี้ ช่วงเทศกาลสงกรานต์ที่ผ่านมา ยังมีข่าวการเมืองสำคัญๆ บางอย่าง ได้แก่ ข่าวแบ่งเค้กตำแหน่ง รองผู้ว่าฯ กทม. ให้กับนักการเมืองของพรรคการเมืองที่ถูกมองว่าหนุนหลังเชื่อมโยงกับผู้สมัคร ข่าวแกนนำพรรคการเมืองเคลื่อนไหวเกี่ยวโยงกับคนแดนไกล ที่อาจจะนำไปสู่ ภาพจำ แห่งความขัดแย้งในหมู่ประชาชนแบบเดิมๆ และอื่นๆ จึงน่าจะเป็นข้อสมมติฐานสำคัญที่ชี้ให้เห็นได้ว่าทำไมผู้มีสิทธิเลือกตั้งหน้าใหม่และหน้าเก่าจึงกลับไปอยู่ในฐานที่มั่นเดิมคือยังไม่ตัดสินใจ และทำไมผู้สมัครบางคนมีคะแนนเพิ่มขึ้นแต่บางคนลดลง” ผอ.ซูเปอร์โพลกล่าว
ด้าน พล.ต.อ.อัศวิน ขวัญเมือง ผู้สมัครผู้ว่าฯ กทม. หมายเลข 6 พร้อมผู้สมัคร ส.ก.เขตบางกอกใหญ่ หมายเลข 7 พ.ต.ท.วิศิษฎ์ สุวรรณ์ ลงพื้นที่ตลาดศักดิ์เจริญ ซอยจรัญสนิทวงศ์ 3 พล.ต.อ.อัศวิน กล่าวกรณีที่มีการพาดพิงถึงเรื่องการปรับภูมิทัศน์คลองช่องนนทรีว่า การใช้งบประมาณจริงๆ ของคลองช่องนนทรี การออกแบบก็เป็นองค์กรที่เป็นน่าเชื่อถือระดับประเทศเป็นคนออกแบบไว้ ที่บอกว่าหลายพันล้าน ไม่เป็นความจริง ทำไปเพียง 80 ล้าน วาทกรรมในการพูด มันพูดได้ แต่ให้ไปดูข้อเท็จจริงด้วยว่าใช้เงินไปเท่าไหร่ เราไม่ต้องอธิบายมากให้ไปดูเอาเอง ถ้าใช้เงินห้าหกพันล้านได้แค่นี้ต้องเอาไปตัดคอแล้วมั้ง เอาผมนี่แหละไปตัดคอ
นายวิโรจน์ ลักขณาอดิศร ผู้สมัครผู้ว่าราชการกรุงเทพมหานคร เบอร์ 1 พรรคก้าวไกล ลงพื้นที่ตลาดศิริเกษม เขตบางแค กล่าวว่า "ความเจ็บปวดของคนกรุงเทพฯ มีอยู่ทุกหนทุกแห่ง ไม่ใช่ว่าเราไม่สามารถโอบอุ้มผู้คนไม่ได้ แต่เราไม่ได้ทำ ผมไม่อยากปล่อยให้คนในกรุงเทพฯ ดิ้นรนแบบนี้อีกต่อไป เราจำเป็นต้องจัดสรรทรัพยากร เพื่อช่วยโอบอุ้มให้ชีวิตคนกรุงเทพฯ ดีขึ้น ซึ่งในตลาดศิริเกษมนี้ ผมเห็นผู้คนที่ออกมาจับจ่ายซื้อข้าวของด้วยแววตาที่โศกเศร้ากับสภาพเศรษฐกิจในปัจจุบัน ผมขอเป็นแสงสว่างที่ปลายอุโมงค์ ในการทำให้คุณภาพชีวิตคนกรุงเทพฯ ดีขึ้น.
ข่าวที่เกี่ยวข้อง
ตอกยํ้าดีลฮ่องกง ลิ่วล้อแจงแทนนาย ‘พรรคส้ม’ ยากเป็นรัฐบาล
ตอกย้ำดีลฮ่องกงเหลว! "ณัฐวุฒิ" ขยายความ "ทักษิณ" คุย "ธนาธร" แค่เล่าชะตากรรม ไม่มีการพาดพิง ม.112 กับก้าวไกล เผยตั้งแต่โหวต "พิธา"
'พิธา' คุยพรรคประชาชนแข่งเลือกตั้งมีแต่ชนะกับพัฒนา ไม่มีคำว่าแพ้
ที่จ.อุดรธานี แกนนำ สส. และผู้ช่วยหาเสียงพรรคประชาชน ร่วมเวทีปราศรัยหาเสียงเลือกตั้งนายก องค์การบริหารส่วนจังหวัด (อบจ.) อุดรธานี ที่จะมีการเลือกตั้งในวันที่ 24 พ.ย. 2567 ซึ่งพรรคประชาชนได้ส่ง คณิศร ขุริรัง เป็นผู้สมัครรับเลือกตั้งเป็นนายก
'ณัฐวุฒิ' ป้อง 'ทักษิณ' สวน 'ธนาธร' ปม 112
นายณัฐวุฒิ ใสยเกื้อ ที่ปรึกษาของนายกรัฐมนตรี โพสต์เฟซบุ๊กว่า ผมเป็นคนกำกับเวทีปราศรัยที่อุดร ในฐานะผู้ช่วยหาเสียง ยืนอยู่ใกล้ๆ
'ทักษิณ' คุยเลือกตั้งครั้งหน้า 'เพื่อไทย' กวาด สส. ไม่ต่ำกว่า 200 ที่นั่ง
"ทักษิณ" ประกาศถ้าเจอพ่อค้าเสพติดช่วยบอกว่าทักษิณกลับมาแล้ว ยัน รัฐบาลนี้อยู่ครบเทอม ชวนคนเสื้อแดงสีตกใส่กลับมา โว คราวหน้า ไม่มีแพ้ ไม่ต่ำกว่า 200 เสียง พร้อม เสนอตัวเอง ใช้สมองช่วยประเทศฟื้นจากความลำบาก
'ธนกร' จี้ กกต. คุมเข้มเลือกตั้งนายก อบจ. ปูด 'เมืองคอน' เริ่มซื้อเสียง
'ธนกร' จี้ กกต. คุมเข้มหาเสียงเลือกตั้ง อบจ. หลายจังหวัด แนะทำงานเชิงรุก จับตา 'เมืองคอน' สู้ดุเดือด ชาวบ้านแจ้งเรียกเก็บบัตรประชาชนหลายพื้นที่ ขอตรวจสอบเข้มโปร่งใส
ปชช.หวั่นไหว 'การเมือง-พิษเศรษฐกิจ' กระทบเงินในกระเป๋า
ซูเปอร์โพล ชี้การเมืองและเศรษฐกิจ ส่งผลกระทบต่อความหวั่นไหวของประชาชน โดยเฉพาะเงินในกระเป๋ามาอันดับหนึ่ง