1พ.ค.เปิดประเทศเต็มรูป ชี้โควิดไทยอยู่ช่วงขาลง!

“บิ๊กตู่” ประชุม ศบค.ชุดใหญ่ คลายล็อกรับเปิดประเทศเต็มรูปแบบ 1 พ.ค. ยกเลิก "เทสต์แอนด์โก" ตรวจแค่ ATK ก็เที่ยวได้เลย หวังฟื้น ศก.ท่องเที่ยว พร้อมปรับโซนสีใหม่เหลือแค่เหลือง-ฟ้า นั่งดื่มในร้านได้ถึงเที่ยงคืน สั่งเร่งฉีดวัคซีนในเด็ก-บุคลากรครู รับเปิดเทอมแบบออนไซต์ 17 พ.ค. “โฆษก ศบค.” ชี้ปรับโควิดเป็นโรคประจำถิ่น ตัวเลขผู้ติดเชื้อต้องต่ำกว่า 0.1% 2 สัปดาห์ติดกัน ตอนนี้ยังอยู่ที่ 0.31% “หมออุดม” รับผิดคาดหลังสงกรานต์โควิดยอดไม่พุ่ง เชื่อถึงช่วงขาลงแล้ว

ที่ทำเนียบรัฐบาล วันที่ 22 เม.ย. พล.อ.ประยุทธ์ จันทร์โอชา นายกรัฐมนตรีและ รมว.กลาโหม ในฐานะผู้อำนวยการศูนย์บริหารสถานการณ์โรคโควิด-19 หรือ ศบค. เป็นประธานการประชุมคณะกรรมการบริหารสถานการณ์การแพร่ระบาดของโรคติดเชื้อไวรัสโคโรนา 2019 (โควิด-19) ครั้งที่ 7/2565 ร่วมกับหน่วยงานที่เกี่ยวข้อง

พล.อ.ประยุทธ์กล่าวช่วงต้นการประชุมว่า จากการติดตามและประเมินสถานการณ์ในช่วงเทศกาลสงกรานต์ที่ผ่านมาพบผู้ติดเชื้อมีแนวโน้มลดลง ในขณะที่ผู้เสียชีวิตมีจำนวนเพิ่มขึ้น จึงให้ทบทวนและตรวจสอบว่ามาจากสาเหตุอะไร ก่อนได้รับคำชี้แจงว่าส่วนใหญ่เป็นผู้สูงอายุ มีโรคประจำตัว หรือฉีดวัคซีนไม่ครบ จึงขอให้เร่งรัดฉีดให้ครบตามที่สาธารณสุขกำหนด ให้ทุกพื้นที่เร่งดำเนินการ และขอให้ติดตามการแพร่ระบาดในระยะ 2-4 สัปดาห์ หลังช่วงเทศกาลสงกรานต์อย่างใกล้ชิด รวมทั้งต้องเตรียมมาตรการสำหรับฟื้นฟูเศรษฐกิจของไทย โดยเฉพาะมาตรการผ่อนคลายการเดินทางเข้าประเทศ และการสวมหน้ากากอนามัยที่แสดงให้เห็นว่าช่วยลดการแพร่ระบาดของการติดเชื้อได้มาก

จากนั้น พล.อ.ประยุทธ์ได้แถลงผลการประชุม ศบค.ชุดใหญ่ว่า สิ่งที่ทุกคนคาดหวังคือการผ่อนคลายมาตรการในการเข้าประเทศ ซึ่งเราก็ปรับแล้ว โดยเราได้มีการยกเลิกเทสต์แอนด์โก เปลี่ยนเป็นการตรวจ ATK ซึ่งทำให้สะดวกรวดเร็วขึ้นในเรื่องของการท่องเที่ยว ช่วงที่ผ่านมาก็ดีขึ้น หลายประเทศเขาก็มีการผ่อนคลาย มีการปรับมาตรการมากพอสมควร วันนี้ในฐานะที่เราเป็นประเทศที่ต้องพึ่งพาการท่องเที่ยว เพื่อให้เศรษฐกิจเดินหน้าไปได้ ซึ่งมาตรการที่เราปลดล็อกในวันนี้เราพูดในหลายประเด็นด้วยกัน ทั้งทางบก ทางเรือ ทางอากาศ มาตรการในการตรวจ มาตรการในการดูแล มาตรการในการรองรับผู้โดยสาร รวมถึงประเด็นในการเปิดโรงเรียนที่ใกล้จะถึงในวันที่ 17 พ.ค.ก็ต้องเตรียมมาตรการเปิดโรงเรียนในรูปแบบออนไซด์ ซึ่งก็ต้องมีข้อกำหนด

“สิ่งสำคัญคือการขอความร่วมมือด้วยความเข้าใจเรื่องการฉีดวัคซีนเพิ่มเติม และวัคซีนที่ฉีดให้กับเด็กก็กำลังเร่งจัดหาและเร่งดำเนินการฉีดอยู่ ซึ่งวัคซีนที่ฉีดให้กับเด็กโดยต้องอายุ 5 ปีขึ้นไป ซึ่งยังไม่มีวัคซีนที่ให้เด็กต่ำกว่าอายุ 5 ปี ก็เป็นเรื่องที่ผู้ปกครองต้องระมัดระวัง เพราะส่วนใหญ่เด็กจะติดเชื้อโควิด-19 จากผู้ปกครอง ก็จำเป็นต้องขอความร่วมมือ เพราะเป็นเรื่องของคนส่วนใหญ่ รัฐบาลก็พยายามทำอย่างเต็มที่” พล.อ.ประยุทธ์กล่าว

นายกฯ กล่าวว่า สำหรับเรื่องการท่องเที่ยวเราก็จะไปดูว่าจะทำอย่างไร จะเพิ่มการท่องเที่ยวในลักษณะ Two Countries One Destination ในพื้นที่ปลอดภัยในแต่ละประเทศได้หรือเปล่า จะสามารถบินตรงมาได้หรือไม่ ปลอดภัยหรือเปล่า ซึ่งขณะนี้เราได้ปรับพื้นที่เหลือแค่สีส้ม สีเหลือง สีเขียว และสีฟ้า ก็ต้องขอขอบคุณฝ่ายสาธารณสุขและหน่วยงานที่เกี่ยวข้องที่มาหารือร่วมกัน และยกปัญหาที่เกิดขึ้นเวลานี้ประชุมจัดแจ้งร่วมกัน โดยความเห็นชอบฝ่ายสาธารณสุขและแพทย์ยอมรับ

1 พ.ค.เปิด ปท.เต็มรูปแบบ

ถามว่า ในวันที่ 1 ก.ค. พร้อมที่จะประกาศให้โควิดเป็นโรคประจำถิ่นใช่หรือไม่ นายกฯ กล่าวว่า ยังไม่ได้พูดถึงเรื่องนี้ พูดแค่ว่าเราจะมีมาตรการในการปลดล็อกทั่วประเทศอย่างไร สำหรับนักท่องเที่ยวที่เข้ามาอยู่เป็นเวลานานจะต้องทำอย่างไรบ้าง หรืออยู่แค่ 1-2 วัน จะทำอย่างไร แต่เราก็ไปในทิศทางดังกล่าวอยู่แล้ว การจะประกาศให้เป็นโรคประจำถิ่นอย่างไรเดี๋ยวค่อยว่ากันอีกที ซึ่งวันนี้เราก็ฟังความคิดเห็นจากต่างประเทศเขาด้วย

                    ซักว่า วันที่ 1 พ.ค. จะเต็มรูปแบบของการเปิดประเทศใช่หรือไม่ นายกฯ กล่าวว่า ก็ใช่สิ วันที่ 1 พ.ค.นี้ ก็เราปรับมาจากเดิมเดือน มิ.ย.

ต่อมา นพ.ทวีศิลป์ วิษณุโยธิน โฆษก ศบค. แถลงผลประชุม ศบค.ชุดใหญ่ว่า มีการรายงานสถานการณ์การแพร่ระบาดในประเทศไทยประจำวัน พบผู้ติดเชื้อรายใหม่ 21,808 ราย เป็นการติดเชื้อในประเทศ 21,672 ราย จากระบบเฝ้าระวังและระบบบริการ 21,561 ราย ค้นหาเชิงรุก 111 ราย เรือนจำ 45 ราย เป็นผู้เดินทางมาจากต่างประเทศ 91 ราย หายป่วยเพิ่ม 19,826 ราย อยู่ระหว่างรักษา 190,780 ราย อาการหนัก 1,985 ราย ใส่ท่อช่วยหายใจ 913 ราย เสียชีวิตเพิ่ม 128 ราย เป็นชาย 79 ราย หญิง 49 ราย เป็นผู้เสียชีวิตที่มีอายุ 60 ปีขึ้นไป 100 ราย มีโรคเรื้อรัง 26 ราย โดยมียอดผู้ติดเชื้อสะสม 4,128,038 ราย ยอดหายป่วยสะสม 3,909,738 ราย ยอดผู้เสียชีวิตสะสม 27,520 ราย 

 “ในส่วนการจะประกาศให้โควิด-19 เป็นโรคประจำถิ่นได้ สถานการณ์ของประเทศต้องสอดคล้องกัน แต่ปัจจุบันไทยยังมีสถานการณ์ที่หลากหลาย แบ่งได้เป็น 3 กลุ่ม โดยจังหวัดที่สถานการณ์ยังเป็นขาขึ้นอยู่มี 21 จังหวัด สถานการณ์ทรงตัว 44 จังหวัด และสถานการณ์ที่เป็นขาลงแล้ว 12 จังหวัด และหากจะประกาศเป็นโรคประจำถิ่นได้ ตัวเลขผู้ติดเชื้อทั่วประเทศต้องต่ำกว่า 0.1% เป็นรายสัปดาห์ และ 2 สัปดาห์ติดกัน แต่ขณะนี้ยังอยู่ที่ 0.31% ถือว่ายังสูงกว่า 0.1% อยู่” นพ.ทวีศิลป์กล่าว            

โฆษก ศบค.กล่าวว่า ที่ประชุมยังเห็นชอบปรับพื้นที่สถานการณ์ โดยไม่มีพื้นที่ควบคุมสูงสุดและเข้มงวด (สีแดงเข้ม) พื้นที่ควบคุมสูงสุด (สีแดง) และพื้นที่ควบคุม (สีส้ม) พร้อมกับปรับพื้นที่เฝ้าระวังสูง (สีเหลือง) จาก 47 จังหวัด เป็น 65 จังหวัด ปรับพื้นที่นำร่องท่องเที่ยว (สีฟ้า) จาก 10 จังหวัด เป็น 12 จังหวัด โดยเพิ่ม จ.ระยองและสงขลา ทั้งนี้ พื้นที่สีเหลืองและสีฟ้า ปรับมาตรการการบริโภคเครื่องดื่มแอลกอฮอล์ในร้านอาหารหรือสถานที่ลักษณะเดียวกัน โดยจำกัดเวลาบริโภคในร้าน จากไม่เกิน 23.00 น. มาเป็น 24.00 น. และยังคงจำกัดประเภทร้านอาหารที่บริโภคเครื่องดื่มที่มีแอลกอฮอล์ได้ จะต้องเป็นร้านที่ผ่าน SHA+ สถานบริการผับ บาร์ คาราโอเกะ ยังคงให้เปิดบริการในรูปแบบร้านอาหารตามมาตรการที่กำหนดอยู่

“ที่ประชุมยังเห็นชอบปรับแนวทางการจัดการในส่วนของผู้สัมผัสเสี่ยงสูง จากเดิมให้กักตัวอยู่ที่บ้าน 7 วัน และสามารถเดินทางออกนอกบ้านโดยสังเกตอาการอีก 3 วัน ปรับเป็นให้กักตัว 5 วัน และสังเกตอาการ 5 วัน” โฆษก ศบค.กล่าว 

นพ.ทวีศิลป์กล่าวว่า สำหรับการเตรียมความพร้อมด้านสาธารณสุขสำหรับการเปิดภาคเรียนเดือน พ.ค.65 ผอ.ศบค.เน้นย้ำให้มีการเปิดเรียนออนไซต์แบบปลอดภัย โดยขอให้สร้างความรอบรู้ให้กับผู้ปกครอง นักเรียน และบุคลากร เพิ่มมาตรการในการเข้ารับวัคซีน ทั้งผู้ปกครอง นักเรียน และบุคลากร

เชื่อโควิดอยู่ช่วงขาลงแล้ว

นอกจากนี้ ที่ประชุมเห็นชอบปรับมาตรการการเดินทางเข้าประเทศ โดยไม่ต้องมีการเทสต์แอนด์โก แต่จะปรับวิธีการเข้าประเทศเป็น 2 รูปแบบ คือ สำหรับผู้ได้รับวัคซีนตามเกณฑ์จะต้องลงทะเบียนผ่านระบบไทยแลนด์พาสเพื่อแสดงหลักฐานการฉีดวัคซีน ต้องมีวงเงินประกัน จำนวน 1 หมื่นดอลลาร์ เมื่อเดินทางมาถึงไทยไม่ต้องตรวจหาเชื้อโควิด-19 เพียงแต่แนะนำให้ตรวจ ATK ด้วยตัวเองระหว่างพำนัก ส่วนกรณีไม่ได้รับวัคซีนหรือได้รับไม่ครบเกณฑ์ สามารถยื่นหลักฐานตรวจ RT-PCR ไม่เกิน 72 ชั่วโมงก่อนเดินทางถึงประเทศไทย ทั้งนี้ จะเริ่มใช้มาตรการดังกล่าวในวันที่ 1 พ.ค.65

ด้าน นพ.อุดม คชินทร ที่ปรึกษา ศบค. กล่าวถึงสถานการณ์โควิดว่า ตัวเลขผู้ติดเชื้อรายใหม่จากการตรวจ RT-PCR อยู่ที่ 2.1 หมื่นราย หากรวมกับการตรวจเชื้อแบบ ATK จะอยู่ที่ 4-5 หมื่นราย โดยเราเคยคาดการณ์ว่าจะเพิ่มขึ้นมากกว่านี้หลายเท่า แต่ปรากฏว่าไม่ขึ้น อีกทั้งเรามีคนไข้อยู่ในโรงพยาบาลทั่วประเทศเพียง 1.9 แสนราย แสดงว่าอาการของคนไข้ไม่ได้หนัก คนไข้ที่ต้องใช้เตียงผู้ป่วยระดับสีเหลืองและระดับสีแดงรวมกันใช้ไปเพียง 25% ของเตียงทั้งหมด ถือว่าน้อยมาก โดยรวมจึงอยากสรุปว่า คนไข้ติดเชื้อรายใหม่ไม่ได้มากขึ้น และลดลงด้วย ขณะนี้ผ่านมาแล้ว 1 สัปดาห์หลังจากเทศกาลสงกรานต์ จึงคิดว่าแนวโน้มอยู่ในช่วงขาลง ดีกว่าที่เราคาดการณ์ไว้ 

ที่กระทรวงสาธารณสุข (สธ.) นพ.โอภาส การย์กวินพงศ์ อธิบดีกรมควบคุมโรค กล่าวถึงจำนวนผู้ฉีดวัคซีนว่า ตัวเลขคนไทยที่ยังไม่ได้รับวัคซีนโควิดแม้เข็มเดียวมีจำนวน 9-10 ล้านคน โดยคิดจากฐานประชากร 69 ล้านคน ตัดเด็กอายุต่ำกว่า 5 ปีที่ยังฉีดวัคซีนไม่ได้ 3-4 ล้านคน จะเหลือประชากรที่จำเป็นต้องฉีดวัคซีนประมาณ 65 ล้านคน ซึ่งขณะนี้ฉีดได้ประมาณ 55-56 ล้านคน ส่วนคนที่ควรต้องฉีดแล้วยังไม่ฉีด เหลือประมาณ 9-10 ล้านคน ในจำนวนนี้แบ่งเป็น 1.คนที่ไม่ยอมฉีดแม้ไปเคาะถึงประตูบ้าน ต้องขอวิงวอนอีกครั้งว่าอย่าไปกลัววัคซีน ตอนนี้มีวัคซีนหลายชนิด การฉีดวัคซีนมีประโยชน์กว่าไม่ฉีด 2.ผู้ป่วยมีโรคประจำตัวอาการไม่คงที่ ซึ่งมีจำนวนพอสมควร 3.ส่วนกลุ่มติดเตียง ที่ยังไม่ได้ฉีดวัคซีน ตอนนี้มีวัคซีน COVOVAX ซึ่งเป็นชนิดโปรตีนซับยูนิต โดยให้แพทย์เป็นผู้พิจารณา

ถามว่ากลุ่มเสี่ยง 608 มีการฉีดวัคซีนเพิ่มขึ้นมากน้อยอย่างไร นพ.โอภาสกล่าวว่า ตัวเลขผู้สูงอายุ 60 ปีขึ้นไป ที่ฉีดวัคซีนเข็ม 3 ที่เห็นประมาณ 39.7 เปอร์เซ็นต์ เนื่องจากบางคนยังไม่ถึงเวลาฉีด เพราะฉีดเร็วเกินไปไม่มีประโยชน์.

เพิ่มเพื่อน

ข่าวที่เกี่ยวข้อง

ฟ้องต้นตอหมอคางดำ

สภาทนายความฯ เตรียมฟ้องแพ่งบิ๊กเอกชน-หน่วยงานรัฐ ต้นตอ "เอเลี่ยนสปีชีส์"

‘เนวิน’รวมใจชาวบุรีรัมย์ จัดมิวสิคัลเทิดพระเกียรติ

“เนวิน” รวมใจชาวบุรีรัมย์ จัดเทิดพระเกียรติ 72 พรรษา แสดง แสง สี เสียง มิวสิคัล “ลมหายใจของแผ่นดิน” โดยบุรีรัมย์ออร์เคสตรา แสดงความจงรักภักดี 28-30 ก.ค.2567 สนามช้างอารีนา บุรีรัมย์