ยอดสังเวยโควิดนิวไฮ ยํ้า‘ผู้สูงอายุ’ฉีดวัคซีน

ไทยพบผู้ติดเชื้อใหม่อีก 24,134 ราย สังเวยโควิดทำนิวไฮอีก 115 ราย โดยเฉพาะกลุ่ม 608 หมอโอภาสชี้ผู้ป่วยปอดอักเสบและใส่เครื่องช่วยหายใจแม้ตัวเลขสูง แต่ต่ำกว่าช่วงเดลตาระบาด ยังรองรับได้ แนะลูกหลานกลับบ้านพาผู้สูงอายุไปฉีดวัคซีน เพราะ สธ.ส่งไฟเซอร์-แอสตร้าฯ ถึง รพ.สต.แล้ว

เมื่อวันที่ 14 เมษายน ศูนย์บริหารสถานการณ์การแพร่ระบาดของโรคติดเชื้อไวรัสโคโรนา 2019 (ศบค.)  รายงานสถานการณ์โควิด-19 ในประเทศไทยว่า พบผู้ติดเชื้อรายใหม่ 24,134 ราย ติดเชื้อในประเทศ 23,875  ราย มาจากระบบเฝ้าระวังและระบบบริการ 23,845 ราย  มาจากการค้นหาเชิงรุกในชุมชน 30 ราย มาจากเรือนจำ  134 ราย เป็นผู้เดินทางมาจากต่างประเทศ 125 ราย ทำให้มียอดผู้ติดเชื้อสะสมยืนยันตั้งแต่ปี 2563 จำนวน  3,973,003 ราย ส่วนผู้หายป่วยเพิ่มขึ้น 26,997  ราย ทำให้มียอดหายป่วยสะสมตั้งแต่ปี 2563 จำนวน   3,716,789 ราย อยู่ระหว่างรักษา 229,704 ราย  อาการหนัก 1,993 ราย ใส่เครื่องช่วยหายใจ 846 ราย

ส่วนกรณีเสียชีวิตพบว่ามีเพิ่มขึ้น 115 ราย เป็นชาย  56 ราย หญิง 59 ราย เป็นประชากรกลุ่ม 608 หรือประชากรที่เป็นกลุ่มเสี่ยงสูง 98% โดยแบ่งเป็นกลุ่มที่มีอายุมากกว่า 60 ปี จำนวน 90 ราย หรือ 78% และประชากรผู้ที่มีอายุน้อยกว่า 60 ปี แต่มีโรคเรื้อรังอีกจำนวน  23 ราย หรือ 20% และผู้ที่ไม่มีประวัติโรคเรื้อรัง 2 ราย  หรือ 2% ทำให้มียอดผู้เสียชีวิตสะสมตั้งแต่ปี 2563  จำนวน 26,510 ราย

ทั้งนี้ 10 จังหวัดที่มีผู้ติดเชื้อมากที่สุด ได้แก่ กทม.  3,221 ราย, ชลบุรี 1,034 ราย, ขอนแก่น 909 ราย,  นนทบุรี 746 ราย, นครศรีธรรมราช 731 ราย,  สมุทรปราการ 674 ราย, สมุทรสาคร 535 ราย, ร้อยเอ็ด  523 ราย, ฉะเชิงเทรา 520 ราย และราชบุรี 514 ราย

ส่วนการฉีดวัคซีน ข้อมูลเมื่อวันที่ 13 เม.ย. มีการฉีดวัคซีนเพิ่มขึ้น 155,930 โดส แบ่งเป็นเข็มที่ 1 จำนวน  27,573 ราย สะสมรวม 55,992,734 ราย คิดเป็น  80.5% ของประชากรทั้งหมด เข็มที่ 2 จำนวน  28,989 ราย สะสมรวม 50,664,116 ราย คิดเป็น  72.8% และเข็มที่ 3 จำนวน 99,368 ราย สะสมรวม  24,947,588 ราย คิดเป็น 35.9% รวมทั้งสิ้น  131,604,438 โดส สะสมตั้งแต่วันที่ 28 ก.พ.64

นพ.โอภาส การย์กวินพงศ์ อธิบดีกรมควบคุมโรค กล่าวถึงยอดผู้ป่วยปอดอักเสบและใส่ท่อช่วยหายใจที่มีจำนวนมากขึ้นว่า ช่วงสายพันธุ์เดลตาระบาดมีผู้ป่วยโควิดปอดอักเสบกว่า 5,000 ราย แต่ขณะนี้โอมิครอนอยู่ที่ราวกว่า 2,000 ราย ส่วนผู้ป่วยที่ต้องใส่ท่อช่วยหายใจตอนเดลตาสูงสุดกว่า 1,300 ราย แต่ขณะนี้เฉลี่ยที่กว่า  800 ราย ขึ้นๆ ลงๆ ถือว่ายังรองรับได้

นพ.โอภาสยังกล่าวถึงการติดเชื้อในเด็กเล็กว่า ขณะนี้สถานการณ์ไม่ต่างจากในผู้ใหญ่ แต่ที่แตกต่างคืออัตราเสียชีวิตค่อนข้างต่ำกว่าผู้ใหญ่อายุ 60 ปีขึ้นไป โดยเด็กที่เสียชีวิตส่วนใหญ่จะมีโรคประจำตัว เช่น โรคหัวใจและโรคสมอง  เป็นต้น ดังนั้นการฉีดวัควีนเด็กแบ่งเป็น 2 แบบ คือ 1.ฉีดในโรงเรียน ฉีดเป็นกลุ่มใหญ่ได้รวดเร็ว และ 2.ฉีดที่โรงพยาบาล ซึ่งกำหนดฉีดในเด็กที่มีอาการป่วยต่างๆ ที่มีความเสี่ยงจะเสียชีวิต ส่วนผู้ที่ไม่สะดวกมีธุระในช่วงฉีดที่โรงเรียน ก็ไปที่ รพ. โดยให้ปรึกษากับแพทย์ ซึ่งจริงๆ ไม่ได้เป็นทางเลือกที่วางไว้ แต่เพื่อให้เกิดความยืดหยุ่นและเข้าถึงบริการมากขึ้น ขึ้นกับดุลยพินิจของแพทย์ที่จะฉีดให้

เมื่อถามว่า ช่วงสงกรานต์ให้เด็กวอล์กอินฉีดวัคซีนได้เลยหรือไม่ นพ.โอภาสกล่าวว่า ที่เปิดวอล์กอินคือผู้ใหญ่ที่ยังไม่ได้ฉีดเข็มแรก ส่วนเด็กอยากให้ฉีดที่โรงเรียนจะรวดเร็วและพร้อมกัน ส่วนหากต้องไปต่างประเทศ หรือช่วงนั้นต้องฉีดที่โรงเรียนแล้วไม่อยู่ ก็ให้ไปปรึกษาแพทย์ที่ รพ. เนื่องจากวัคซีนเด็กเล็กเป็นวัคซีนเฉพาะ โดย 1 ขวดฉีดได้ 6  โดส หากมา 1 คนแล้วต้องทิ้งอีก 5 โดส ก็ไม่ค่อยเหมาะนัก ก็ดูเป็นรายๆ ไป เปิดทางเลือกให้ยืดหยุ่นได้ แต่ให้ดูความจำเป็นแต่ละฝ่ายประกอบกัน สำหรับประชาชนทั่วไปช่วงสงกรานต์ที่เดินทางกลับภูมิลำเนา ก็สามารถวอล์กอินทั้งตัวเองหรือผู้สูงอายุไปฉีดวัคซีนที่ รพ.ใกล้บ้านได้ ซึ่งกรมควบคุมโรคส่งวัคซีนไฟเซอร์ฝาสีเทา ซึ่ง 1 ขวดฉีดได้ 6  โดสลงไปถึงโรงพยาบาลส่งเสริมสุขภาพตำบล (รพ.สต.)  แล้ว แต่ควรสอบถาม รพ.สต.ใกล้บ้านก่อนว่าพร้อมให้บริการหรือไม่ เนื่องจากช่วงสงกรานต์ รพ.สต.ก็มีภารกิจหลายอย่างโดยเฉพาะเรื่องอุบัติเหตุ

 “กรมควบคุมโรคได้เริ่มจัดส่งวัคซีนไฟเซอร์ฝาสีเทา 3  ล้านโดส ตั้งแต่วันที่ 11 เม.ย.ไปยังทุกจังหวัดทั่วประเทศ  และแต่ละจังหวัดได้กระจายวัคซีนไปยังทุก รพ.สต.ภายในวันที่ 12 เม.ย. เช่น จังหวัดสระแก้ว, จันทบุรี, ระยอง,  ตราด, สมุทรปราการ, ชลบุรี, ปราจีนบุรี, ฉะเชิงเทรา,  เชียงใหม่, แพร่, ลำพูน, เชียงราย, น่าน และลำปาง เป็นต้น ซึ่งแต่ละ รพ.สต.จะได้รับวัคซีนไฟเซอร์ฝาสีเทาแห่งละ  20 ขวด และวัคซีนแอสตร้าเซนเนก้าอีกแห่งละ 20 ขวด”

นพ.โอภาสกล่าวอีกว่า วันสงกรานต์ถือได้ว่าเป็นวันขึ้นปีใหม่ไทย ลูกหลาน ญาติ พี่น้อง จะถือโอกาสกลับบ้านไปกราบไหว้ผู้ใหญ่ และเป็นวันผู้สูงอายุแห่งชาติด้วย แต่ด้วยสถานการณ์โรคโควิด-19 ที่กำลังระบาดในขณะนี้ พบว่าผู้เสียชีวิตส่วนใหญ่เป็นผู้สูงอายุถึง 78% เป็นผู้ที่ไม่ได้รับการฉีดวัคซีน 53% และได้รับเข็ม 2 เกิน 3 เดือน  33% ซึ่งมีความเสี่ยงที่จะติดเชื้อ มีอาการหนักและเสียชีวิตได้ จึงอยากชวนลูกหลานที่เดินทางกลับภูมิลำเนา ใช้โอกาสนี้พาผู้สูงอายุที่ยังไม่ได้รับการฉีดวัคซีน หรือครบกำหนดการรับวัคซีนเข็มกระตุ้น ให้เข้ารับวัคซีนโควิด-19  ที่สถานพยาบาลในสังกัด สธ.ใกล้บ้านได้ทันที.

เพิ่มเพื่อน

ข่าวที่เกี่ยวข้อง