สธ.บี้ฉีดวัคซีนเด็กเล็ก สงกรานต์ยกการ์ดสูง

ไทยติดเชื้อ 2.1 หมื่นราย ATK 1 หมื่นเศษ ดับยังสูง 91 ราย นายกฯ ย้ำประชาชนยกการ์ดสูงช่วงสงกรานต์ ห่วงหลังเทศกาลโควิดพุ่ง ปลัด สธ.กำชับทุกจังหวัดเตรียมพร้อมคุมเข้ม 11-17 เม.ย. พร้อมลดเสี่ยงบุคลากรแพทย์ ห่วงเด็กเล็กจี้พ่อแม่เร่งพาไปฉีดวัคซีน

ที่ทำเนียบรัฐบาล เมื่อวันที่ 5 เมษายน ศูนย์บริหารสถานการณ์การแพร่ระบาดของโรคติดเชื้อไวรัสโคโรนา  2019 (โควิด-19) หรือ ศบค.รายงานสถานการณ์ประจำวันว่า พบผู้ติดเชื้อรายใหม่ 21,088 ราย เป็นการติดเชื้อในประเทศ 20,971 ราย มาจากระบบเฝ้าระวังและระบบบริการ 20,710 ราย มาจากการค้นหาเชิงรุก 261 ราย เป็นการติดเชื้อภายในเรือนจำ 24 ราย  เป็นผู้เดินทางกลับมาจากต่างประเทศ 93 ราย ส่วนผู้ป่วยเข้าข่ายจากการตรวจ ATK อยู่ที่ 10,884 ราย  ทำให้มีผู้ติดเชื้อสะสมตั้งแต่ปี 2563 จำนวน  3,757,575 ราย หายป่วยเพิ่ม 27,519 ราย อยู่ระหว่างรักษาตัวในโรงพยาบาล 250,145 ราย อาการหนัก 1,862 ราย และใส่ท่อช่วยหายใจ 781 ราย เสียชีวิตเพิ่ม 91 ราย เป็นผู้มีอายุมากกว่า 60 ปี 67 ราย  เป็นผู้ป่วยเรื้อรัง 18 ราย ทำให้มีผู้เสียชีวิตสะสมตั้งแต่ปี  2563 จำนวน 25,603 ราย 

สำหรับ 10 จังหวัดที่มีผู้ติดเชื้อโควิดรายใหม่สูงสุด  ได้แก่ กทม. 3,286 ราย ชลบุรี 1,076 ราย นนทบุรี  925 ราย สมุทรปราการ 884 ราย นครศรีธรรมราช  679 ราย สมุทรสาคร 629 ราย นครปฐม 583 ราย  บุรีรัมย์ 518 ราย ระยอง 517 ราย และสงขลา 491  ราย

นายธนกร วังบุญคงชนะ โฆษกประจำสำนักนายกรัฐมนตรี แถลงภายหลังการประชุมคณะรัฐมนตรี (ครม.)  ถึงข้อสั่งการและคำปรารภของ พล.อ.ประยุทธ์ จันทร์โอชา  นายกรัฐมนตรีและ รมว.กลาโหมว่า นายกฯ ย้ำว่าช่วงเทศกาลสงกรานต์ต้องใส่หน้ากากอนามัย ตรวจเอทีเค และฉีดวัคซีน พร้อมฝากเจ้าหน้าที่ดูแลและอำนวยความสะดวกประชาชน โดยขอย้ำเรื่องความปลอดภัยในการเดินทางและสุขภาพ ระมัดระวังการรวมกลุ่ม เฝ้าระวังเตรียมการรับมือ ประชาชนต้องดูแลตัวเองให้ดีที่สุด เพราะคาดว่าหลังเทศกาลสงกรานต์จะมีผู้ติดเชื้อโควิด-19 สูงขึ้น

มีรายงานว่า ในที่ประชุม ครม.นายกฯ เน้นย้ำช่วงเทศกาลสงกรานต์ว่า ให้เตือนประชาชนทุกวันว่าให้ตรวจเอทีเค สวมใส่หน้ากาก ฉีดวัคซีน เพื่อลดความรุนแรงของโควิด-19 ได้ พร้อมกับแสดงความกังวลว่า หลังสงกรานต์จะมีการติดเชื้อเพิ่มมากขึ้น และตอนนี้มีประชาชนร้องเรียนเข้ามาว่าชุดตรวจเอทีเคแพง จึงให้ไปดูว่าจะแก้ไขปัญหาอย่างไร

ที่กระทรวงสาธารณสุข (สธ.) นพ.เกียรติภูมิ วงศ์รจิต  ปลัดกระทรวงสาธารณสุข พร้อมคณะผู้บริหาร ได้ประชุมทางไกลผ่านระบบวิดีโอกับนายแพทย์สาธารณสุขจังหวัด และผู้อำนวยการโรงพยาบาลทั่วประเทศ ในการเตรียมความพร้อมด้านการแพทย์และสาธารณสุขช่วงเทศกาลสงกรานต์ที่จะถึง ซึ่งจะมีการคุมเข้มระหว่างวันที่ 11-17  เม.ย.65 เพื่อรองรับสถานการณ์ฉุกเฉินที่อาจเกิดขึ้น พร้อมกับเตรียมมาตรการป้องกันการแพร่และรับเชื้อโควิด-19  โดยเฉพาะในกลุ่มบุคลากรทางการแพทย์ที่มีความเสี่ยงจากการให้บริการประชาชน ทั้งนี้ให้พิจารณากำหนดค่าตอบแทนสำหรับเจ้าหน้าที่ที่ปฏิบัติงานในช่วงเทศกาลสงกรานต์ไม่เกิน 2 เท่า ตามระเบียบของกระทรวงการคลัง

พญ.สุมนี วัชรสินธุ์ ผู้อำนวยการสำนักสื่อสารความเสี่ยงและพัฒนาพฤติกรรมสุขภาพ กรมควบคุมโรค เปิดเผยถึงสถานการณ์การฉีดวัคซีนป้องกันโรคโควิด-19  ของประเทศไทยว่า ตั้งแต่วันที่ 28 ก.พ.64 ฉีดวัคซีนสะสมแล้ว 130.19 ล้านโดส แบ่งเป็นเข็มที่ 1 จำนวน  55.7 ล้านโดส คิดเป็นร้อยละ 80.1 ของจำนวนประชากร เข็มที่ 2 อีก 50.3 ล้านโดส คิดเป็นร้อยละ  72.5 และเข็มที่ 3 อีก 24.09 ล้านโดส คิดเป็นร้อยละ 34.6 โดย สธ.มีการรณรงค์ให้กลุ่มเสี่ยง 608 มารับเข็มกระตุ้นมากขึ้นก่อนสงกรานต์ อย่างไรก็ตาม ตัวเลขวัคซีนสำหรับกลุ่มเสี่ยง ผู้สูงอายุมากกว่า 60 ปีขึ้นไป ได้รับเข็มที่ 3 ร้อยละ 37.2 โดยจังหวัดที่อัตราฉีดเข็มกระตุ้นในกลุ่มนี้สูงถึงร้อยละ 70 หรือตามเป้าหมาย คือ  น่าน, นนทบุรี, สมุทรปราการ, ภูเก็ต, มหาสารคาม, ลำพูน  และชัยนาท

พญ.สุมนีกล่าวว่า สำหรับวัคซีนอายุ 5-11 ขวบ มีจำนวนกว่า 5 ล้านคน ฉีดเข็มที่ 1 แล้ว ร้อยละ 45.7  เข็มที่ 2 ฉีดแล้ว ร้อยละ 1.3 ซึ่งถือว่ายังน้อย จึงพบว่ามีรายงานติดเชื้อในเด็กอยู่ตลอด ดังนั้นช่วงปิดเทอมนี้ขอให้ผู้ปกครองพาเด็กไปรับวัคซีนให้มากขึ้น ทั้งนี้ปัจจัยเสี่ยงต่อการระบาดในช่วงเทศกาลสงกรานต์ยังเป็นการติดเชื้อในผู้สูงอายุ ทั้งนี้การฉีดวัคซีนเข็มที่ 3 ลดการเสียชีวิตลงได้  31 เท่า เมื่อเทียบกับคนที่ยังไม่ได้รับวัคซีน และการฉีดเพียง 2 เข็มลดการเสียชีวิตลงได้ 5 เท่า

วันเดียวกัน สำนักงานหลักประกันสุขภาพแห่งชาติ  (สปสช.) บริษัท ไปรษณีย์ไทยดิสทริบิวชั่น จำกัด (ปณท.ดบ.) และธนาคารเพื่อการเกษตรและสหกรณ์การเกษตร  (ธ.ก.ส.) ร่วมแถลงความร่วมมือการจัดส่งยาฟาวิฟิราเวียร์ให้ผู้ป่วยโควิด-19 โดย นพ.จเด็จ ธรรมธัชอารี เลขาธิการ  สปสช. กล่าวว่า ด้วยกรณีผู้ติดเชื้อโควิด-19 ที่มีจำนวนมากนี้ ทำให้เกิดปัญหาการเข้าถึงบริการ โดยในระบบ HI  มีผู้ติดเชื้อที่ลงทะเบียนส่วนหนึ่งไม่ได้รับการติดต่อจากหน่วยบริการและรอการดูแลอยู่ในระบบ ที่ติดต่อกลับมายังสายด่วน สปสช.1330 และช่องทางระบบออนไลน์ สปสช.จึงได้จัดระบบติดต่อกลับผู้ป่วยกลุ่มนี้และทำการคัดกรองอาการ หากพบว่าผู้ติดเชื้อเริ่มมีอาการจำเป็นต้องได้รับยาฟาวิพิราเวียร์ สปสช.จะจัดส่งให้ทันที โดยประสานความร่วมมือการจัดส่งยากับบริษัท ไปรษณีย์ไทยฯ และสนับสนุนงบประมาณการจัดส่งโดย ธ.ก.ส.

เพิ่มเพื่อน

ข่าวที่เกี่ยวข้อง