สงครามรัสเซีย-ยูเครนพ่นพิษ! “เวิลด์แบงก์” หั่นจีดีพีไทยปี 65 เหลือโต 2.9% จากคาดการณ์เดิม 3.9% ชี้ราคาน้ำมันทะยานกระทบต้นทุน-การบริโภคเอกชนอ่วม ชงปฏิรูปจัดเก็บรายได้ ชมเปาะ “คนละครึ่ง” สุดเวิร์ก กกร.หั่นจีดีพีปี 65 เหลือ 2.5% แนะยกเลิกมาตรการ Test & GO ดึงนักท่องเที่ยวเข้าไทย
เมื่อวันที่ 5 เมษายน นางเบอร์กิต ฮานสล์ ผู้จัดการธนาคารโลกประจำประเทศไทย (เวิลด์แบงก์) เปิดเผยว่า เวิลด์แบงก์ได้ปรับลดประมาณการตัวเลขเศรษฐกิจไทย (จีดีพี) ในปี 2565 ลดลงเหลือ 2.9% ถือว่าปรับลดลงค่อนข้างมากจากคาดการณ์เดิมที่ 3.9% โดยประเด็นสำคัญมาจากความเสี่ยงจากภาคต่างประเทศ โดยเฉพาะสงครามระหว่างรัสเซีย-ยูเครนที่ส่งผลกระทบต่อราคาพลังงาน โดยไทยถือว่าเป็นประเทศที่ได้รับผลกระทบค่อนข้างสูง เนื่องจากมีการนำเข้าพลังงานถึง 4.5% ของจีดีพี
“ผลกระทบดังกล่าวจะส่งผ่านมาทางด้านราคาพลังงาน ที่จะทำให้ต้นทุนสูงขึ้นและกระทบต่อการบริโภคเอกชนด้วย โดยราคาพลังงานที่เพิ่มขึ้นเป็นปัจจัยกดดันต่อการขยายตัวของเศรษฐกิจโลก และทำให้แนวโน้มการส่งออกของไทยได้รับผลกระทบเช่นเดียวกัน ทั้งการบริโภคในประเทศ การลงทุน และการส่งออกที่มีแนวโน้มอ่อนแอลง” นางเบอร์กิตระบุ
สำหรับภาพรวมเศรษฐกิจไทยในปีนี้ที่มีแนวโน้มฟื้นตัวขึ้นนั้น มีปัจจัยบวกมาจากการเปิดประเทศรับนักท่องเที่ยว ซึ่งเวิลด์แบงก์ประเมินว่าในปี 2565 จะมีนักท่องเที่ยวต่างชาติเดินทางเข้าไทยราว 6.2 ล้านคน รวมถึงการผ่อนคลายมาตรการล็อกดาวน์ ทำให้กิจกรรมทางเศรษฐกิจปรับดีขึ้นชัดเจน หนุนการบริโภคในประเทศ ส่วนปัจจัยเสี่ยงที่ต้องติดตาม ได้แก่ สถานการณ์ราคาน้ำมันที่ปรับเพิ่มขึ้นมาก ขณะที่เศรษฐกิจประเทศคู่ค้าสำคัญกับไทยเริ่มอ่อนแอลง ถ้าผลกระทบรุนแรงขึ้นจะส่งผลให้ภาพของจีดีพีไทยลงไปอยู่ที่ 2.6% ซึ่งถือเป็นกรณีขั้นต่ำ
ด้านนโยบายการเงินนั้นประเมินว่า อัตราดอกเบี้ยนโยบายยังคงอยู่ที่ 0.5% แม้ว่าเศรษฐกิจไทยจะมีแนวโน้มการฟื้นตัว แต่ยังเป็นการฟื้นตัวแบบค่อยเป็นค่อยไป โดยยังเห็นการเติบโตของเศรษฐกิจที่ไม่เท่าเทียมกัน เช่น ภาคอุตสาหกรรม ซึ่งฟื้นตัวสูงกว่าช่วงก่อนเกิดโควิด-19 ขณะที่ภาคการท่องเที่ยวยังเติบโตอ่อนแอ นอกจากนี้ ในส่วนของเงินเฟ้อนั้นยังมีแรงกดดันจาก Supply Site หรือทางด้านอุปทานจากราคาพลังงาน โดยประเมินว่าราคาพลังงานที่ปรับสูงขึ้นจะเป็นเพียงปัจจัยชั่วคราวเท่านั้น แต่ยังมีประเด็นที่ต้องติดตามเพราะอาจจะมีผลต่ออัตราเงินเฟ้อพื้นฐาน ซึ่งปัจจุบันมองว่าแรงกดดันต่อค่าจ้างแรงงานมีอยู่จำกัด
นางเบอร์กิตกล่าวด้วยว่า การฟื้นตัวของเศรษฐกิจไทยยังเป็นไปอย่างค่อยเป็นค่อยไป มีความเปราะบาง และยังมีความไม่เท่าเทียมกันในการฟื้นตัวของแต่ละภาคธุรกิจ ดังนั้นมาตรการเยียวยาผลกระทบของภาครัฐยังมีความจำเป็น แต่ควรเป็นมาตรการที่มีความเฉพาะเจาะจงมากขึ้น โดยเฉพาะในกลุ่มที่มีความเปราะบางและได้รับผลกระทบสูง และแม้ว่าภาครัฐจะยังมีพื้นที่ทางการคลังในการดำเนินนโยบายต่างๆ ได้ แต่พื้นที่แคบลง โดยปัจจุบันหนี้สาธารณะของไทยอยู่ที่ราว 60% ของจีดีพี จากเพดานหนี้สาธารณะที่ 70% ของจีดีพี ดังนั้นนอกจากการดำเนินมาตรการด้านการเยียวยาแล้ว ควรจะมีการปฏิรูปด้านการจัดเก็บรายได้ในอนาคตไปพร้อมกันด้วยเพื่อความยั่งยืนทางการคลัง
“นโยบายการคลังที่ดำเนินการอยู่เป็นนโยบายที่ตรงจุด และเหมาะสมที่จะช่วยผู้ที่ได้รับผลกระทบค่อนข้างมาก เช่น โครงการคนละครึ่ง ถือเป็นนโยบายที่เหมาะสม โดยเฉพาะในช่วงที่ราคาน้ำมันสูงขึ้น ทำให้ภาคครัวเรือนที่มีรายได้น้อยซึ่งได้รับผลกระทบมาก มีสัดส่วนการใช้จ่ายด้านอาหารและพลังงานเกือบ 50% ของรายได้ ดังนั้น นโยบายที่ภาครัฐประกาศออกมา ถือว่าเป็นนโยบายลดภาระการใช้จ่ายได้ ส่วนมาตรการปรับโครงสร้างหนี้ควรดำเนินนโยบายดังกล่าวเพิ่มเติม และถือว่ามีความจำเป็นเพราะระดับหนี้ยังสูง โดยเชื่อว่ามาตรการช่วยเหลือต่างๆ ที่ออกมาน่าจะช่วยได้ แต่ในภาพการปรับลดสัดส่วนหนี้ครัวเรือนลงมาถือว่ายังต้องใช้เวลา และจะเป็นปัจจัยกดดันการบริโภคในประเทศระยะยาว” ผู้จัดการเวิลด์แบงก์ระบุ
วันเดียวกัน นายสุพันธุ์ มงคลสุธี ประธานสภาอุตสาหกรรมแห่งประเทศไทย (ส.อ.ท.) ในฐานะประธานประชุมคณะกรรมการร่วมภาคเอกชน 3 สถาบัน (กกร.) เปิดเผยภายหลังการประชุมว่า ที่ประชุมได้พิจารณาปรับกรอบประมาณการจีดีพีปี 2565 เป็นขยายตัว 2.5-4% จากเดิม 2.5-4.5% พร้อมกับปรับเพิ่มอัตราเงินเฟ้อเป็น 3.5-5.5% จากเดิม 2-3% ส่วนการส่งออกยังคงเป้าเดิมที่ 3-5% เนื่องจากเศรษฐกิจไทยยังคงเผชิญกับความเสี่ยงรอบด้าน โดยเฉพาะแรงกดดันจากอัตราเงินเฟ้อทั่วไปที่มีแนวโน้มสูงสุดในรอบ 10 ปี
นายสุพันธุ์กล่าวว่า เศรษฐกิจไทยยังต้องเผชิญกับความเสี่ยงรอบด้าน โดยเฉพาะแรงกดดันจากอัตราเงินเฟ้อที่มีแนวโน้มสูงที่สุดในรอบ 10 ปี จากการคาดการณ์ของธนาคารแห่งประเทศไทยที่ 4.9% ซึ่งเงินเฟ้อที่เร่งตัวขึ้นมากจะเป็นแรงกดดันต่อการฟื้นตัวของอุปสงค์และกำลังซื้อในประเทศ แต่ภาพรวมเศรษฐกิจยังคาดว่าจะเติบโตได้จากความมุ่งมั่นของทั้งภาครัฐและเอกชน ในการที่จะปรับตัวให้สามารถอยูกับโควิด-19 ได้แบบเป็นปกติมากขึ้น ซึ่งเป็นปัจจัยที่ทำให้เศรษฐกิจไทยยังคงฟื้นตัวได้ โดยเฉพาะจากปัจจัยการส่งออก
“กกร.แนะให้รัฐบาลยกเลิกมาตรการ Test & Go เพื่อกระตุ้นการท่องเที่ยว ซึ่งจะสร้างรายได้ให้ประเทศได้ในยามที่เครื่องยนต์ขับเคลื่อนเศรษฐกิจอื่นๆ มีข้อจำกัด และจะทำให้เศรษฐกิจไทยสามารถเติบโตได้เกิน 3% รวมถึงต่ออายุโครงการคนละครึ่งและโครงการเราเที่ยวด้วยกัน เพื่อช่วยสนับสนุนเศรษฐกิจในช่วงไตรมาสที่ 2 และ 3 ของปี 2565” นายสุพันธุ์ระบุ.
ข่าวที่เกี่ยวข้อง
ฉายาสภาเหลี่ยม(จน)ชิน
ถึงคิวสื่อสภา ตั้งฉายา สส. "เหลี่ยม (จน) ชิน" จากการพลิกขั้วรัฐบาลเขี่ย
ตอกฝาโลงกิตติรัตน์ ‘กฤษฎีกา’ชี้ขาดคุณสมบัติ เหตุมีส่วนกำหนดนโยบาย
"กฤษฎีกา" ชี้ชัดสมัย "นายกฯ เศรษฐา" ตั้ง "กิตติรัตน์" เป็นประธานที่ปรึกษาของนายกฯ
‘เท้งเต้ง’ไม่ทน! ชงแก้ข้อบังคับ รมต.ตอบกระทู้
ทนไม่ไหว! “หัวหน้าเท้ง” หารือประธานสภาฯ ขอให้แก้ข้อบังคับการประชุม
แม้วพบอันวาร์กลางทะเล เตือนเสือกทุกเรื่องทำพัง!
ปชน.จี้ถามรัฐบาล “ทักษิณ” มีอำนาจจริงปราบแก๊งคอลเซ็นเตอร์หรือไม่
ให้กำลังใจจนท.ดูแลปีใหม่ เข้มงวด‘ความปลอดภัย’
นายกฯ ให้กำลังใจตำรวจ-กรมทางหลวง ทำงานหนักช่วงปีใหม่
กฤษฎีกาเอกฉันท์โต้งหมดสิทธิ์
กฤษฎีกามติเอกฉันท์ "กิตติรัตน์" ขาดคุณสมบัติ หมดสิทธิ์นั่ง "ประธานบอร์ดแบงก์ชาติ"