ปั่นบิ๊กตู่ไปก่อนส.ค. พท.ตีปี๊บเสี้ยมพรรคเล็ก ชู‘อุ๊งอิ๊ง’คั่วเก้าอี้นายกฯ

ฝ่ายค้านคิกออฟเวทีทะลวงไส้รัฐบาลบิ๊กตู่จัดหนักถล่มไม่ยั้ง เชื่ออยู่ไม่เกิน ส.ค. อาจไปเพราะปมวาระ 8 ปี "ชลน่าน" หนุน "อุ๊งอิ๊ง-ลูกนายใหญ่" ติดโผแคนดิเดตนายกฯ เพื่อไทย พรรคเล็กพุงปลิ้น เดินสายกินโต๊ะจีนฟรี ตอบรับดินเนอร์ราชพฤกษ์นายกฯ แต่มีโวยไม่ใช่พวกข้างถนน ลั่นแจงศึกซักฟอกไม่ได้ก็ไม่ช่วยอุ้ม  

เมื่อวันที่ 13 มี.ค. ที่โรงแรมอมารี วอเตอร์เกท ประตูน้ำ พรรคร่วมฝ่ายค้าน จัดโครงการผู้นำฝ่ายค้านในสภาผู้แทนราษฎรพบประชาชน ประจำปีงบประมาณ 2565 ภายใต้ชื่อ ฝ่ายค้านรับฟังปัญหาทั่วไทย เพื่อประชาชน โดยมีหัวหน้าพรรค แกนนำ รวมถึง ส.ส.พรรคร่วมฝ่ายค้าน เข้าร่วมงานอย่างคับคั่ง

นพ.ชลน่าน ศรีแก้ว ผู้นำฝ่ายค้านในสภาผู้แทนราษฎร และหัวหน้าพรรคเพื่อไทย กล่าวเปิดงานตอนหนึ่งว่า จะให้ประชาชนทวงคืนอำนาจนายกรัฐมนตรีที่จะครบวาระ 8 ปี วันที่ 23 ส.ค.2565 นายกฯ จะอยู่เกิน 8 ปีไม่ได้ หมดเวลานายกฯ ก่อนประเทศจะหมดเวลา แม้เพื่อไทยไปซ้ายบ้าง ก้าวไกลไปขวา ประชาชาติไปตรงกลาง แต่หลายเรื่องก็กำหนดทิศทางเป็นเรื่องเดียวกัน ไม่แตกแยก ฝ่ายค้านเป็นอิสระ อยากให้ทุกพรรคทำหน้าที่ให้ดีที่สุดเพื่อประชาชน จากนั้นมีการเสวนาในหัวข้อ "หมดเวลานายกฯ ก่อนประเทศหมดเวลา" โดยนายชูศักดิ์ ศิรินิล ประธานที่ปรึกษาด้านกฎหมาย พรรคเพื่อไทยกล่าวว่า เราบอกว่านายกฯ หมดเวลาแล้ว แต่นายกฯ บอกว่ายังมีเวลาถึงปี 2566 ความเห็นส่วนตัว ไม่ควรให้เวลานายกฯ คนนี้ตั้งแต่แรก เพราะได้ทำรัฐประหาร สมคบคิดกับพรรคการเมือง กลุ่มการเมือง ยึดอำนาจเอารัฐบาลประชาธิปไตยออกไป เป็นรัฐบาล 3 ป. พล.อ.ประยุทธ์ เข้ามาโดยรัฐประหาร ความถูกต้องชอบธรรมไม่มี หากเป็นศาลรัฐธรรมนูญ จะตัดสิน พล.อ.ประยุทธ์หมดเวลาแล้ว ไปได้แล้ว แต่ถ้าเพื่อความสง่างาม ก่อนถึงเดือนสิงหาคม ควรลาออกก่อนดีกว่า

นายพิจารณ์ เชาวพัฒนวงศ์ ส.ส.บัญชีรายชื่อ และรองหัวหน้าพรรคก้าวไกล กล่าวว่า ขอให้ พล.อ.ประยุทธ์ลาออกก่อนสิงหาคม ก่อนที่จะมีการยื่นให้ศาลรัฐธรรมนูญตีความวาระการดำรงตำแหน่งนายกฯ ประเทศบอบช้ำมากพอแล้ว ระเบิดเวลาที่มีชนวนมากมายที่คอยจุดระเบิดนี้ หนึ่งในนั้นคือวาระการดำรงตำแหน่ง 8 ปี หากศาลรัฐธรรมนูญวินิจฉัยให้ พล.อ.ประยุทธ์อยู่ถึงปี 2570 ท่านกำลังจุดชนวนระเบิดเวลา ขอฝากให้ประชาชนออกมาแสดงพลังให้เห็นว่าถึงเวลาแล้ว หมดเวลาแล้วของ พล.อ.ประยุทธ์

พ.ต.อ.ทวี สอดส่อง เลขาธิการพรรคประชาชาติ กล่าวว่า นายกฯ จะหมดเวลา 25 ส.ค.2565 ท่านอาจจะฝืน อาจมีการตีความให้อยู่ได้

ต่อมา นพ.ชลน่านตอบคำถามประชาชนที่ถามว่าการอภิปรายไม่ไว้วางรัฐมนตรีเป็นรายบุคคลตามรัฐธรรมนูญมาตรา 151 จะล้มรัฐบาลได้หรือไม่ ว่า 30 เสียงของพรรคการเมืองขนาดเล็กและพรรคเศรษฐกิจ จะมาเติมให้พรรคร่วมฝ่ายค้าน ซึ่งเป็นไปได้สูงมาก เห็นได้จากงานเลี้ยงรับประทานอาหารทั้ง 2 งาน มันบ่งชี้ให้เห็นอย่างชัดเจนว่าจะมี 30 เสียงมาอยู่กับเรา จึงเชื่อว่าการอภิปรายไม่ไว้วางใจสามารถล้มรัฐบาลได้

หัวหน้าพรรคเพื่อไทยกล่าวอีกว่า สถานการณ์ขณะนี้ที่นัดรับประทานอาหารกัน เพื่อจะประกาศว่ามีความแน่นแฟ้น แต่สิ่งที่ขาดไปคือกลุ่มพรรคเล็กที่ไม่ได้ถูกเชิญไปร่วมรับประทานอาหารด้วย ดังนั้นจึงต้องแสดงออกถึงความพร้อมในการนัดรับประทานอาหาร เพื่อพูดคุยทิศทางการทำงาน

"เชื่อว่าพรรคเล็กนัดทานข้าว ทรงพลังกว่าพรรคใหญ่นัดทานอาหารกันอีก ตอนนี้ 30 เสียงคือตัวแปร จะไปไหนก็ได้ ถ้าใครจัดการ 30 เสียงได้คือ ผู้ชนะในเกมนี้" หัวหน้าพรรคเพื่อไทยระบุ

นพ.ชลน่านกล่าวว่า เรามีความพร้อมสำหรับการเลือกตั้งครั้งหน้า ส่วนแคนดิเดตที่มองว่า น.ส.แพทองธาร ชินวัตร  จะเป็นหนึ่งในแคนดิเดตนายกรัฐมนตรีของพรรคเพื่อไทยนั้น คงอยู่ที่พี่น้องประชาชนว่าอย่างไร ถ้าตอบรับ มีเสียงสนับสนุน ก็เป็นไปได้ทั้งหมด อยู่ที่พี่น้องประชาชน

นายจุรินทร์ ลักษณวิศิษฏ์ หัวหน้าพรรคประชาธิปัตย์ ให้สัมภาษณ์ถึงกรณีพล.อ.ประยุทธ์ จันทร์โอชา นายกรัฐมนตรีนัดพรรคเล็กร่วมรับประทานอาหารค่ำ ในวันที่ 17 มีนาคม เวลา 18.00 น. ที่สโมสรราชพฤกษ์ ถนนวิภาวดีรังสิต ว่าถือเป็นเรื่องที่ดี เพราะพรรคการเมืองที่ร่วมรัฐบาลไม่ว่าจะเป็นพรรคการเมืองขนาดเล็กขนาดกลาง ล้วนแล้วแต่มีความสำคัญต่อเสถียรภาพของรัฐบาล

ขณะที่ท่าทีพรรคเล็กต่อกรณีดังกล่าว นายสุรทิน พิจารณ์ ส.ส.บัญชีรายชื่อ และหัวหน้าพรรคประชาธิปไตยใหม่ที่ใกล้ชิดกับ ร.อ.ธรรมนัส พรหมเผ่า แกนนำพรรคเศรษฐกิจไทย กล่าวถึงกรณีไม่ได้รับเทียบเชิญจาก พล.อ.ประยุทธ์ให้เข้าร่วมรับประทานอาหารในวันที่ 17 มี.ค. ว่าขณะนี้ยังไม่มีคนฝ่ายรัฐบาลติดต่อให้ไปร่วมรับประทานวงพรคเล็กดังกล่าว แต่ถึงจะติดต่อมาก็ไม่ไป เพราะติดลงพื้นที่พบประชาชน การที่นายกฯ นัดพรรคเล็กกินข้าวไม่ใช่การแก้เกม แต่เป็นการแก้เกี้ยวมากกว่า เหมือนเด็กเล่นขายของ เชื่อว่า พล.อ.ประยุทธ์ไม่ได้คิดเอง แต่คนแวดล้อมคิดให้ การกินข้าวกับพรรคเล็กคงไม่เกิดประโยขน์ ถ้าคุยแล้วยังไม่ใส่ใจกันเหมือนเดิม

ผู้สื่อข่าวถามว่า พรรคเล็กบางคนระบุว่าหากนายกฯ คิดจะอยู่ครบเทอม ต้องเห็นหัวพรรคเล็กบ้าง ถือเป็นการขู่หรือไม่ นายสุรทินตอบว่า เป็นเรื่องอารมณ์แต่ละคน ต่างคนต่างคิด ไม่เหมือนกัน แต่นายกฯ ควรมาถามกันบ้างก็ยังดี พรรคเล็กก็เป็น ส.ส. ไม่ใช่พรรคข้างถนน การอยู่เป็นรัฐบาลต้องอาศัยมือ ไม่ใช่อาศัยคำพูด เราก็มีมือของเรา อยู่ที่จะยกให้หรือไม่ ถ้าไม่ยกให้ก็ต้องทำใจ

นายดำรงค์ พิเดช หัวหน้าพรรครักษ์ผืนป่าประเทศไทย กล่าวเช่นกันว่า นายสุชาติ ชมกลิ่น รมว.แรงงาน ได้ประสานมาที่ตนให้เข้าร่วมรับประทานอาหารในวันที่ 17 มี.ค.นี้แล้ว ซึ่งตนก็จะไปร่วมเพื่อรับฟังว่าจะมีการพูดคุยอะไรกันบ้าง

ส่วนนายคฑาเทพ เตชะเดชเรืองกุล ส.ส.บัญชีรายชื่อ หัวหน้าพรรคเพื่อชาติไทย กล่าวเช่นกันว่า ได้รับเชิญด้วยวาจา จากนายสุชาติ รมว.แรงงาน ซึ่งได้ตอบตกลง จะไปร่วมรับประทานอาหารกับนายกฯ โดยระหว่างทานข้าว จะเสนอแนะ นายกรัฐมนตรีในการแก้ไขปัญหาความเดือดร้อนของประชาชน 3 เรื่องคือ เรื่องเศรษฐกิจ, พืชผลทางการเกษตรและความเป็นธรรมในสังคม เพราะเท่าที่ลงพบปะประชาชนที่ผ่านมา ทั่วประเทศ ประชาชนเดือดร้อนประสบปัญหาทั้ง 3 เรื่องถ้วนหน้า และอยากให้รัฐบาลเร่งแก้ปัญหาดังกล่าว

ส่วนกรณีนายพิเชษฐ์ สถิรชวาล ส.ส.พรรคพลังประชารัฐ จะเชิญกินข้าวเที่ยงกับกลุ่ม 16 ปาดหน้านายกฯ นั้น นายคฑาเทพก็มีการพูดคุยกัน แต่ยังไม่ตกผลึก ยังมีเวลาอีกหลายวัน และกลุ่ม 16 ยังเกาะกลุ่มกันเหนียวแน่น มีการดื่มกาแฟพบปะพูดคุยกันปกติดี ไม่มีอะไร ส่วนที่ไปกินข้าวกับ ร.อ.ธรรมนัส พรหมเผ่า พรรคเศรษฐกิจไทยเมื่อวันก่อน นายคฑาเทพกล่าวว่า ไปตามมารยาท ไปไม่นาน ต้องรีบกลับ เพราะมีภารกิจเร่งด่วน และไม่ได้ร่วมแถลงข่าวด้วย

เมื่อถามถึงการยื่นอภิปรายไม่ไว้วางใจรัฐบาลของฝ่ายค้าน นายคฑาเทพกล่าวว่า ยังไม่ทราบว่าวันไหน แต่คงอยู่ในช่วงเดือนเมษายน 2565 ขึ้นอยู่กับฝ่ายค้าน ว่าจะยื่นอภิปรายไม่ไว้วางใจรัฐบาลวันไหน ทางพรรคเพื่อชาติไทยมีทางเลือก 2 ทางคือ ถ้ารัฐบาลตอบคำถามได้ จะต้องสนับสนุนรัฐบาลทำงานจนครบวาระ ถ้ารัฐบาลตอบคำถาม ไม่ได้ ไม่เคลียร์ คงต้องยกมือสวนแน่นอน เพราะยึดผลประโยชน์ของประชาชนเป็นหลัก

วันเดียวกันนี้ นายยุทธพงศ์ จรัสเสถียร ส.ส.มหาสารคาม พรรคเพื่อไทย กล่าวถึงกรณีการจัดหาบริษัทมาบริหารจัดการน้ำประปาในพื้นที่ภาคตะวันออกว่า จากการบริหารจัดการน้ำในพื้นที่ภาคตะวันออก ซึ่งมีทั้งหมด 3 โครงการคือ โครงการระยะที่ 1 หนองค้อ แหลมฉบัง และโครงการดอกกราย มาบตาพุด สัตหีบ ระยะเวลา 30 ปี โครงการระยะที่ 2 โครงการท่อส่งน้ำหนองปลาไหล-หนองค้อ และโครงการที่ 3 คือโครงการท่อส่งน้ำหนองค้อ-แหลมฉบัง ซึ่งทั้งหมดบริหารงานโดยบริษัทอีสท์วอเตอร์ ซึ่งเป็นบริษัทที่เกิดขึ้นจากมติครม.เมื่อปี 2535 มีการประปาส่วนภูมิภาคถือหุ้น 40% การนิคมอุตสาหกรรมแห่งประเทศไทยถือ 5% ดังนั้นถือเป็นบริษัทลูกของการประปาส่วนภูมิภาค และถือเป็นของรัฐ อย่างไรก็ตามทั้ง 3 โครงการนี้จะสิ้นสุดสัญญา 30 ปี ในวันที่ 31 ธ.ค.2566 นี้ และขณะนี้จะมีการพิจารณาทำเป็นสัญญาเดียว แต่มีปัญหาเรื่องการจัดหาบริษัทมาบริหารจัดการ โดยมีการเปิดยื่นซอง 2 ครั้ง ครั้งแรกบริษัทอีสท์วอเตอร์ชนะการประชุม แต่มีการยกเลิก ให้มีการยื่นซองใหม่ ทำให้บริษัทอีสท์วอเตอร์ยื่นฟ้องศาลปกครอง และอยู่ระหว่างการพิจารณาคดี อย่างไรก็ตาม เชิญบริษัทเอกชนเข้ามาร่วมใหม่ 3 บริษัทพร้อมปรับทีโออาร์ใหม่ คือ 1.ยกเลิกลักษณะต้องห้ามของผู้เสนอฯ จากเดิมระบุว่าต้องไม่เป็นผู้ที่ถูกหน่วยงานของรัฐบอกเลิกสัญญาก็เอาออกไป 2.ปรับลดทุนจดทะเบียนผู้ยื่นฯ จาก 500 ล้านบาท เป็น 300 ล้านบาท 3.ปรับลดหนังสือรับรองวงเงินสินเชื่อจาก 800 ล้านบาทเหลือ 300 ล้านบาท 4.เปลี่ยนข้อกำหนดผู้ยื่นฯ จากเดิมต้องเป็นนิติบุคคลผู้มีอาชีพและประสบการณ์ในการประกอบธุรกิจและหรือบริหารจัดการระบบท่อส่งน้ำ ก็เปลี่ยนมาเป็นต้องเป็นนิติบุคคลที่ดำเนินการสาธารณูปโภคเกี่ยวกับการจัดการน้ำ ทำให้บริษัท วงษ์สยามฯ เป็นผู้ชนะให้ผลประโยชน์กับรัฐมากที่สุด 25,693 ล้านบาท ขณะที่อีสท์วอเตอร์ ให้ทั้งหมด 24,213 วงษ์สยามให้ 25,693 ล้านบาท

นายยุทธพงศ์กล่าวอีกว่า เมื่อดูความสามารถในการจ่ายพบว่า บริษัท วงษ์สยามฯ ทรัพย์สินมากกว่าหนี้สิน 1,247 ล้านบาท แปลว่าขายบริษัท ขายทุกอย่างมีทั้งหมดแค่นี้ เพราะฉะนั้นขายทั้งหมดแล้วยังไม่มีเงินมาจ่ายจำนวน 1,450 ล้านบาทเลย เทียบกับบริษัทอีสท์วอเตอร์แล้วมีมากกว่า ดังนั้นจึงแปลกใจ เพราะเร่งรีบทำในเดือน ก.ย. ทั้งที่อธิบดีกรมธนารักษ์กำลังจะเกษียณอายุราชการ ต้องถามว่า ทำไมถึงรีบร้อน เร่งรัด ทั้งที่สัญญาจะหมดปี 2566 แล้ว 3 ป. คือ พล.อ.อนุพงษ์ เผ่าจินดา รมว.มหาดไทย ซึ่งดูแลการประปาส่วนภูมิภาค ซึ่งบริษัทอีสท์วอเตอร์เหมือนบริษัทลูก พล.อ.ประวิตร วงษ์สุวรรณ รองนายกฯ เป็นประธาน กรรมการทรัพยากรน้ำแห่งชาติ พล.อ.ประยุทธ์ จัจทร์โอชา นายกรัฐมนตรีและรมว.กลาโหม ซึ่งเป็นประธาน EEC และ 1 ช. คือ ดร.สันติ ซึ่งเป็นเลขาธิการพรรคพลังประชารัฐ ทั้งหมดนี้กำลังทำอะไรกันอยู่ ที่ปล่อยให้อีสท์วอเตอร์ซึ่งเป็นเหมือนบริษัทลูกของการประปาส่วนภูมิภาคจะล้ม

"เพื่อไทยฐานะพรรคหลักฝ่ายค้านจะเป็นหัวหอกเปิดอภิปราย 3 ป. กับ 1 ช. พร้อมกัน แล้วอย่ามาบอกว่าเพื่อไทยไม่มีข้อมูลที่เอามาเปิด ที่แฉนั้น แค่น้ำจิ้ม อภิปรายไม่ไว้วางใจมีข้อมูลมากกว่านี้ มีความสลับซับซ้อนมากกว่า 3 ป. 1 ช. เตรียมตัวได้เลย" นายยุทธพงศ์กล่าว.

เพิ่มเพื่อน

ข่าวที่เกี่ยวข้อง