‘แก๊ส-ค่าไฟ’จ่อขยับ พลังงานรับสุดอั้น/น้ำมันสำรองใช้ได้แค่66วัน!

รัฐบาลยอมรับชะตากรรมวิกฤตสงคราม “รัสเซีย-ยูเครน” ทำราคาน้ำมัน-ปุ๋ยพุ่งปรี๊ด “ประยุทธ์” เรียกถกสุพัฒนพงษ์-ทีมที่ปรึกษาด่วน สั่งเร่งช่วยเหลือประชาชนและรีบทำโดยเร็ว รมว.พลังงานรับตรึงดีเซลได้ถึง พ.ค.เท่านั้น “ก๊าซหุงต้ม” สุดอั้น สิ้น มี.ค.ปรับขึ้น กก.ละ 1 บาท ค่าไฟก็เอาไม่อยู่ พ.ค.ขยับตามต้นทุนที่พุ่งขึ้น อธิบดีกรมธุรกิจพลังงานชี้ไทยมีน้ำมันสำรองใช้ในสถานการณ์เลวร้ายที่สุด 66 วัน เล็งออกกฎให้เพิ่มสำรอง

เมื่อวันศุกร์ที่ 11 มีนาคม นายธนกร วังบุญคงชนะ โฆษกประจำสำนักนายกรัฐมนตรี เปิดเผยว่า พล.อ.ประยุทธ์ จันทร์โอชา นายกรัฐมนตรีและรัฐมนตรีว่าการกระทรวงกลาโหม ห่วงสงครามรัสเซีย-ยูเครน ที่ได้ส่งผลต่อระบบการค้าโลกแล้ว โดยราคาน้ำมัน สินค้าโภคภัณฑ์และสินแร่ที่มีการซื้อขายระหว่างประเทศพุ่งสูงขึ้นในเวลาอันรวดเร็ว และหากสถานการณ์ยังยืดเยื้อ  จะยิ่งทำปุ๋ยและวัตถุดิบอาหารสัตว์ รวมถึงราคาน้ำมันซึ่งเป็นต้นทุนสำคัญในการขนส่งสินค้าปรับเพิ่มขึ้น โดยนายกฯ ได้กำชับทั้งกระทรวงเกษตรและสหกรณ์  กระทรวงพาณิชย์ และหน่วยงานที่เกี่ยวข้อง เร่งแก้ปัญหา ทั้งติดตามระดับราคาอาหารสัตว์และปุ๋ยให้สอดคล้องกับสัดส่วนต้นทุนที่แท้จริง ไม่ให้มีการกักตุนฉวยโอกาสขึ้นราคา

 “นายกฯ ได้เตรียมมาตรการและแนวทางรับมือผลกระทบตั้งแต่มีความขัดแย้งระหว่างรัสเซีย-ยูเครน ก่อนพัฒนาเป็นวิกฤตสงคราม และนำเข้าหารือในที่ประชุมคณะรัฐมนตรี (ครม.) มาเป็นระยะ และหากสถานการณ์ยืดเยื้อ รัฐบาลก็ได้เตรียมมาตรการอื่นๆ ไว้แล้ว เพื่อบรรเทาภาระพี่น้องเกษตกร ผู้ประกอบการ และประชาชนให้มากที่สุดด้วย” นายธนกรกล่าว

ต่อมานายธนกรกล่าวถึงผลการประชุมคณะที่ปรึกษา เพื่อหารือเกี่ยวกับแผนการลงทุนกลุ่มอุตสาหกรรมอนาคต (S-curve) ที่มีนายกฯ เป็นประธานว่า นายกฯ ได้หารือด้านราคาพลังงานที่สูงขึ้นจากสถานการณ์โลกด้วย โดยให้ทุกหน่วยงานร่วมพิจารณาเสนอแนวทางที่เหมาะสม เกิดผลกระทบน้อยที่สุด เพื่อประชาชนทุกคน

ในเวลา 13.30 น. พล.อ.ประยุทธ์ได้เรียกนายสุพัฒนพงษ์ พันธ์มีเชาว์ รองนายกฯ และ รมว.พลังงาน, นายดิสทัต โหตระกิตย์ เลขาธิการนายกฯ, คณะที่ปรึกษานายกรัฐมนตรี ด้านเศรษฐกิจ และผู้บริหารของบริษัท ปตท. จำกัด (มหาชน) หลังจากที่นายสุพัฒนพงษ์ และผู้บริหารกระทรวงพลังงานแถลงข่าวนโยบายพลังงานเสร็จสิ้น โดยใช้เวลาหารือกว่า 1 ชั่วโมง

ม.ล.ชโยทิต กฤดากร ที่ปรึกษานายกฯ และผู้แทนการค้าไทย กล่าวว่า  เป็นการหารือเพื่อติดตามความคืบหน้าการดำเนินงานต่างๆ ด้านพลังงาน หลังจาก ครม.มีมติเห็นชอบให้ดำเนินมาตรการเพื่อลดภาระและบรรเทาผลกระทบของประชาชน โดยนายกฯ กำชับให้ทำงานให้เร็วขึ้น พร้อมกลับมารายงานให้ทราบ เนื่องจากสถานการณ์และราคาพลังงานในขณะนี้ผันผวนอย่างมาก แต่นายกฯ ยังไม่ได้สั่งให้จับตาเรื่องราคาสินค้าอะไรเพิ่มเติมเป็นพิเศษ

ขณะที่นายสุพัฒนพงษ์แถลงถึงสถานการณ์พลังงานที่ผันผวนว่า ส่งผลให้เกิดผลกระทบกับราคาขายปลีกทั้งน้ำมันและก๊าซธรรมชาติในประเทศ โดยคณะกรรมการบริหารนโยบายพลังงานแห่งชาติ (กพช.) ได้มอบหมายให้กระทรวงพลังงานหารือร่วมกับกระทรวงการคลัง และสำนักงานสภาพัฒนาการเศรษฐกิจและสังคมแห่งชาติ (สศช.) ศึกษาแนวทางรับมือวิกฤตราคาพลังงาน หากสถานการณ์ความขัดแย้งระหว่างรัสเซียยูเครนยืดเยื้อรุนแรงเกินกว่าที่คาดไว้ โดยกระทรวงพลังงานยืนยันว่าจะตรึงราคาน้ำมันดีเซลไว้ที่ 30 บาทต่อลิตร โดยจะใช้กองทุนน้ำมันเชื้อเพลิงเข้ามาดูแล โดยปัจจุบันกองทุนยังมีกระแสเงินสดและเงินไหลเข้าอยู่เกินกว่า 20,000 ล้านบาท คาดว่าจะดูแลได้จนถึง พ.ค.2565 ภายใต้สมมติฐานราคาน้ำมันดิบที่ 115 ดอลลาร์ต่อบาร์เรล ขณะที่หลังจากนั้นจะมีเงินกู้ที่กองทุนกู้ได้อีก 40,000 ล้านบาทเข้ามาดูแลในช่วงต่อไป ซึ่งคาดว่าจะได้เงินก้อนแรกในช่วงเดือน พ.ค.2565 เช่นกัน 

                    “เบื้องต้นรัฐจำเป็นต้องปรับขึ้นราคาก๊าซหุงต้ม (แอลพีจี) ภาคครัวเรือน 15 บาท/ถังขนาด 15 กิโลกรัม (กก.) หรือขึ้น กก.ละ 1 บาท มาอยู่ที่ 333 บาท/ถัง 15 กก. จากปัจจุบันอยู่ที่ 318 บาท/ถัง 15 กก. ซึ่งจะหมดนโยบายดูแลในช่วง 31 มี.ค.2565 แต่ยังคงช่วยเหลือกลุ่มเปราะบางผ่านบัตรสวัสดิการแห่งรัฐ 13.5 ล้านคน ที่ 45 บาท/ถัง 15 กก./ 3 เดือน” 

นายสุพัฒน์พงษ์กล่าวอีกว่า ถ้าถามว่าถ้าเงิน 40,000 ล้านบาทหมดแล้วจะทำอย่างไรต่อ ก็ต้องรอหลังจากนั้น ระหว่างนี้ต้องประหยัด ซึ่งรัฐบาลจะพยายามตรึงภายใต้กรอบวงเงินที่มีอยู่ ถ้าทุกคนประหยัดก็ตรึงได้นาน ซึ่งยังติดตามสถานการณ์อย่างใกล้ชิด และเป็นธรรมชาติในเหตุการณ์ที่ผันผวน จะเอาคำตอบเป๊ะ กลับบ้านไปนอนหลับสบายคิดว่าไม่ได้ เป็นลักษณะบริหารจัดการสถานการณ์ฉุกเฉินที่มีความผันผวน ซึ่งตอนนี้ก็ต้องตนเป็นที่พึ่งแห่งตน

นายกุลิศ สมบัติศิริ ปลัดกระทรวงพลังงาน กล่าวว่า กระทรวงจะหารือกับกระทรวงการคลัง เพื่อช่วยเหลือกลุ่มผู้ใช้น้ำมันเบนซินและโฟกัสที่เปราะบาง โดยช่วยเหลือผ่านบัตรสวัสดิการแห่งรัฐจำนวน 13.5 ล้านคน รวมไปถึงกลุ่มผู้ใช้รถจักรยานยนต์ที่ถือบัตรด้วย ซึ่งปัจจุบันมีผู้จดทะเบียนกับกรมขนส่งทางบกอยู่ 21 ล้านคัน ส่วนราคาไฟฟ้าต้องยอมรับว่าต้องปรับขึ้นแน่นอน ตามอัตราค่าไฟฟ้าผันแปรอัตโนมัติ (เอฟที) แต่จะพยายามบริหารจัดการไม่ให้ขึ้นสูงมาก และมีแนวคิดจะช่วยประชาชนที่ใช้ไฟฟ้าระดับไม่เกิน 300 หน่วยต่อเดือน หรือคิดเป็นเงินประมาณ 1,200 บาทต่อเดือน ให้อยู่ในราคาเดิม โดยอยู่ระหว่างเตรียมหางบประมาณว่าต้องใช้เท่าไหร่

 นายคมกฤช ตันตระวาณิชย์ เลขาธิการคณะกรรมการกำกับกิจการพลังงาน (กกพ.) ในฐานะโฆษก กกพ.กล่าวว่า จำเป็นต้องปรับอัตราค่าไฟฟ้าผันแปรอัตโนมัติ (เอฟที) งวดเดือน พ.ค.-ส.ค.2565 ขึ้นตามต้นทุนก๊าซธรรมชาติที่ใช้เป็นเชื้อเพลิงในการผลิตจากที่จะทยอยปรับขึ้นแบบขั้นบันได 16.71 สตางค์/หน่วย โดย กกพ.จะพยายามบริหารจัดหาเชื้อเพลิงอื่นที่มีต้นทุนถูกกว่าก๊าซมาผลิตไฟฟ้า เพื่อประคองค่าเอฟทีให้ปรับขึ้นไม่เกินกรอบที่ประกาศไว้ก่อนหน้านี้ เพื่อให้เกิดผลกระทบต่อประชาชนน้อยที่สุด

ด้าน น.ส.นันธิกา ทังสุพานิช อธิบดีกรมธุรกิจพลังงาน (ธพ.) กล่าวว่า กรมได้ประสานไปยังโรงกลั่นทุกแห่ง ยืนยันมีแผนบริหารจัดหาปริมาณก๊าซธรรมชาติเพียงพอต่อความต้องการใช้ภายในประเทศ 66 วัน หรือประมาณ 2 เดือน แบ่งเป็นปริมาณน้ำมันดิบสำรอง 5,686.44 ล้านลิตร และปริมาณน้ำมันสำเร็จรูป 1,703.61 ล้านลิตร รวมกับปริมาณนำเข้าน้ำมันของบริษัท ปตท. 636 ล้านลิตร 

“กรมได้เตรียมมาตรการรองรับวิกฤตพลังงาน โดยเตรียมประกาศเพิ่มอัตราสำรองน้ำมันเชื้อเพลิงตามกฎหมาย ให้ปริมาณน้ำมันดิบสำรองเพิ่มเป็น 5% จากเดิม 4% และน้ำมันสำเร็จรูปสำรองเพิ่มเป็น 2% จาก 1% ซึ่งขณะนี้อยู่ระหว่างรับฟังความคิดเห็นจากผู้ค้าน้ำมัน คาดว่าจะมีข้อสรุปภายใน 1 สัปดาห์ โดยยอมรับว่าการเพิ่มปริมาณสำรองน้ำมันทุก 1% ทำให้ราคาขายปลีกน้ำมันสำเร็จรูปในประเทศเพิ่มขึ้น 60 สตางค์/ลิตร” น.ส.นันธิกากล่าว

นายวิศักดิ์ วัฒนศัพท์ ผู้อำนวยการกองทุนน้ำมันเชื้อเพลิง กล่าวว่า ปัจจุบันกองทุนมีสถานะติดลบประมาณ 23,000 ล้านบาท ขณะที่มีเงินไหลเข้ากองทุน 2,700-3,000 ล้านบาท/เดือน แต่มีเงินไหลออกประมาณ 30,000 ล้านบาท/เดือน ซึ่งล่าสุดกองทุนชดเชยราคาดีเซลไปแล้วรวม 14 บาทต่อลิตร 

ส่วนนายชยธรรม์ พรหมศร ปลัดกระทรวงคมนาคม กล่าวถึงผลกระทบวิกฤตพลังงานในภาคคมนาคมว่า มีผลกระทบทั้งด้านการขนส่งทางถนน, ทางราง, ทางน้ำ และทางอากาศ จึงได้มีข้อสั่งการให้ทุกหน่วยงานที่เกี่ยวข้องเตรียมรับสถานการณ์จัดทำสรุปรายงานผลกระทบที่เกิดจากสถานการณ์ความขัดแย้งดังกล่าวในด้านคมนาคมขนส่งที่มีต่อประชาชน ทั้งผู้รับบริการและผู้ให้บริการ ทั้งในระยะสั้น และในอนาคตที่อาจเกิดขึ้นคือ ระยะกลาง ระยะยาว โดยเน้นในเรื่องความปลอดภัย การให้บริการ แนวโน้มผลกระทบที่มีต่อการปรับราคาในภาคคมนาคมต่างๆ รวมถึงรายงานผลการดำเนินการรับมือผลกระทบที่หน่วยงานได้ดำเนินการไปแล้ว โดยให้สำนักงานนโยบายและแผนการขนส่งและจราจร (สนข.) รวบรวมรายงานเสนอต่อนายศักดิ์สยาม ชิดชอบ รมว.คมนาคม พิจารณานำก่อนเสนอนายกฯ ต่อไป.

เพิ่มเพื่อน

ข่าวที่เกี่ยวข้อง

ฟ้องต้นตอหมอคางดำ

สภาทนายความฯ เตรียมฟ้องแพ่งบิ๊กเอกชน-หน่วยงานรัฐ ต้นตอ "เอเลี่ยนสปีชีส์"

‘เนวิน’รวมใจชาวบุรีรัมย์ จัดมิวสิคัลเทิดพระเกียรติ

“เนวิน” รวมใจชาวบุรีรัมย์ จัดเทิดพระเกียรติ 72 พรรษา แสดง แสง สี เสียง มิวสิคัล “ลมหายใจของแผ่นดิน” โดยบุรีรัมย์ออร์เคสตรา แสดงความจงรักภักดี 28-30 ก.ค.2567 สนามช้างอารีนา บุรีรัมย์