
ในยุคปัจจุบันที่เทคโนโลยีเติบโตอย่างรวดเร็ว การปฏิวัติด้านปัญญาประดิษฐ์ (AI) กำลังมีบทบาทสำคัญในการเปลี่ยนแปลงทุกภาคส่วน โดยเฉพาะในธุรกิจที่สามารถนำ AI มาปรับใช้เพื่อเพิ่มประสิทธิภาพการผลิต การบริการลูกค้า และการพัฒนาโปรดักส์ใหม่ๆ ในทางกลับกัน ในแวดวงการศึกษาก็ไม่ต่างกัน เมื่อ AI ถูกนำมาใช้เพื่อช่วยในกระบวนการเรียนการสอน ช่วยเสริมสร้างทักษะและเตรียมพร้อมนักศึกษาสู่โลกที่เทคโนโลยีก้าวหน้า
ด้วยเหตุนี้ มหาวิทยาลัยหอการค้าไทยจึงจัดงาน “AI UTCC Roadmap: Achievement & Next Steps” เพื่อประกาศความพร้อมของมหาวิทยาลัยสู่การขับเคลื่อนด้วย AI อย่างเต็มรูปแบบ พร้อมเวทีเสวนาพิเศษ “ก้าวทัน AI = ก้าวทันอนาคต” โดยวิทยากรจากหลากหลายภาคส่วน ร่วมแลกเปลี่ยนมุมมองถึงบทบาทของ AI ในการพัฒนาธุรกิจและเศรษฐกิจไทย
รศ.ดร.ธนวรรธน์ พลวิชัย อธิการบดีมหาวิทยาลัยหอการค้าไทย กล่าวว่า มหาวิทยาลัยหอการค้าไทยเชื่อว่า AI เป็นเทคโนโลยีสำคัญที่กำลังเปลี่ยนแปลงโลก และมหาวิทยาลัยต้องก้าวทันการพัฒนาด้านนี้ โดยที่ผ่านมาได้มอบ iPad ให้กับนักศึกษาทุกคน เพื่อสนับสนุนการเรียนรู้แบบดิจิทัล รวมถึงการเตรียมบุคลากรด้าน AI โดยอบรมอาจารย์ 90 คน จาก 15 คณะ ให้มีความรู้ด้าน AI และสามารถนำไปสอนนักศึกษาได้จริง พร้อมทั้งสร้าง AI Ecosystem ผ่าน PIoT Center ของคณะวิศวกรรมศาสตร์ ซึ่งเป็นศูนย์พัฒนาโครงการด้าน AI และงานวิจัยที่สามารถนำไปใช้ในภาคอุตสาหกรรม
อธิการบดี กล่าวต่อว่า ทางมหาวิทยาลัยมีอาจารย์ด้าน AI ที่เป็นทั้งผู้ใช้และนักพัฒนา โดยแบ่งออกเป็น 3 กลุ่มหลัก ได้แก่ 1.AI Smart Users ซึ่งเป็นผู้ที่สามารถใช้ AI อย่างมีประสิทธิภาพเพื่อเพิ่มผลลัพธ์ในการทำงาน 2.AI Smart Policymakers ซึ่งเป็นผู้ที่สามารถออกแบบและพัฒนาโซลูชัน AI เพื่อใช้งานในระดับองค์กร และ 3.AI Developers ซึ่งเป็นผู้เชี่ยวชาญด้านการเขียน หลังจากได้ได้ประกาศตัวเป็น AI University ได้ส่งเสริมให้นักศึกษาทุกคนควรมีความรู้และทักษะในการใช้แอปพลิเคชัน AI รวมถึงการพัฒนาทักษะด้าน Prompt Engineering เพื่อสามารถสื่อสารกับ AI ได้อย่างมีประสิทธิภาพ
มหาวิทยาลัยยังทำการสำรวจพบว่านักศึกษาส่วนใหญ่รู้จักแอปพลิเคชัน AI อยู่แล้ว แต่ยังขาดทักษะในการป้อนคำสั่งให้แม่นยำและตรงประเด็น เพื่อตอบโจทย์นี้จึงได้กำหนด 5 ทักษะหลักที่นักศึกษาควรมี ได้แก่ 1.การอ่านและวิเคราะห์สถานการณ์เพื่อรวบรวมข้อมูลอย่างมีประสิทธิภาพ 2.ทักษะด้านการวิเคราะห์ข้อมูลเชิงลึก 3.การใช้แอปพลิเคชันที่เกี่ยวข้องกับการตัดสินใจ 4.การใช้แอปพลิเคชันสำหรับการนำเสนอข้อมูล และ5.การใช้แอปพลิเคชันที่เกี่ยวข้องกับการสื่อสาร โดยในแต่ละปีการศึกษา นักศึกษาจะต้องเรียน AI อย่างน้อย 2 วิชาต่อเทอม และทุกหลักสูตรจะผสานเนื้อหา AI เข้าไปในวิชาต่างๆ เพื่อให้นักศึกษาได้รับองค์ความรู้ที่สอดคล้องกับอุตสาหกรรม
นอกจากนี้มหาวิทยาลัยได้จัดตั้ง AI Champions ในทุกคณะ โดยแต่ละคณะจะมีนักศึกษาอย่างน้อย 5 คน ที่ได้รับการอบรมด้าน AI เพื่อสนับสนุนการเรียนการสอนและพัฒนาการศึกษาให้เป็น Interactive Learning รวมถึงการสร้าง Smart Classroom กว่า 300 ห้อง ซึ่งปัจจุบันเปิดใช้งานแล้วประมาณ 50 ห้อง รองรับการเรียนรู้แบบอินเทอร์แอคทีฟที่สามารถเกิดขึ้นได้ทุกที่ทั่วโลก อีกหนึ่งนวัตกรรมที่มหาวิทยาลัยนำมาใช้คือ Wi-Fi 7 ซึ่งทำให้การสื่อสารและการเข้าถึง AI เป็นไปอย่างรวดเร็วและไร้ความหน่วง ทำให้ทุกห้องเรียนสามารถใช้แอปพลิเคชัน AI ได้อย่างราบรื่น
“ความก้าวหน้าของมหาวิทยาลัยในปีนี้ คือการพัฒนา JARVIS (Jinnie Agentic Rapid Versatile Intelligent System) ซึ่งเป็นแชทบอท AI ที่ต่อยอดจาก Jinnie ระบบ AI ดั้งเดิมของมหาวิทยาลัย เดิมที Jinnie มีข้อจำกัดในการสื่อสารภาษาไทย แต่เมื่อรวมกับ DeepSeek ทำให้สามารถสื่อสารภาษาไทยได้ดีขึ้นทั้งในรูปแบบข้อความและเสียง. และพร้อมเดินหน้านำนโยบาย Ai Integrated University ไปสู่การปฏิบัติ โดยในปีการศึกษา 2568 นักศึกษาของมหาวิทยาลัยหอการค้าไทย จะได้เรียนรู้เกี่ยวกับ Ai Application ทุกชั้นปี ทุกเทอม เพื่อช่วยในการรวบรวมข้อมูลวิเคราะห์ข้อมูล การตัดสินใจทางธุรกิจ การตัดสินใจทางวิชาชีพ และเพิ่มเทคนิคในการนำเสนอ ผ่าน Ai Application” อธิการบดี ม.หอการค้าไทย กล่าว
ดร.ธนวรรธน์ กล่าวต่อว่า แม้ประเทศไทยจะยังไม่ได้รับผลกระทบเชิงลบจาก AI แต่หากไม่เร่งพัฒนาองค์ความรู้และบุคลากร อาจทำให้ไทยกลายเป็นเพียงผู้ใช้เทคโนโลยีจากต่างประเทศแทนที่จะเป็นผู้พัฒนาเอง เพราะการแข่งขันด้าน AI ระหว่างสหรัฐฯ และจีนกำลังเร่งให้เกิดการพัฒนาอย่างรวดเร็ว หากประเทศไทยไม่ปรับตัว อาจเสียโอกาสในการเข้าสู่ห่วงโซ่อุปทานของอุตสาหกรรม AI โลก ดังนั้นมหาวิทยาลัยทุกแห่งจึงมีบทบาทสำคัญในการสร้างบุคลากรที่มีทักษะด้าน AI เพื่อให้ประเทศไทยสามารถแข่งขันในเวทีโลก และไม่ตกเป็นเพียงผู้บริโภคเทคโนโลยีจากต่างประเทศ และนักศึกษาของมหาวิทยาลัยจะต้องเป็น AI Smart Users ที่เข้าใจ AI อย่างลึกซึ้ง และสามารถทำงานร่วมกับ AI ได้อย่างมีประสิทธิภาพ โดยไม่ถูก AI หรือหุ่นยนต์แย่งงาน จึงมุ่งมั่นพัฒนานักศึกษาให้พร้อมสู่โลกยุค AI อย่างแท้จริง

ในเวทีเสวนา ก้าวทัน AI = ก้าวทันอนาคต ณัฐวุฒิ พึงเจริญพงศ์ ผู้ก่อตั้ง Ookbee กล่าวว่า ในอนาคต ธุรกิจอาจเปลี่ยนแปลงไปจากอดีตอย่างมาก โดยเฉพาะในโลกของสตาร์ทอัพ ที่เดิมทีต้องมีผู้ก่อตั้ง (Founder) ทีมธุรกิจ ทีมเทคโนโลยี และนักพัฒนาโค้ด (Coder) มาร่วมกันสร้างผลิตภัณฑ์ อย่างไรก็ตาม ด้วยการพัฒนาอย่างก้าวกระโดดของ AI ทำให้บทบาทของบางตำแหน่งอาจลดลง ตัวอย่างเช่น ในอดีต ผู้ก่อตั้งสตาร์ทอัพอาจต้องมีทักษะด้านการเขียนโค้ด หรือจ้างนักพัฒนาซอฟต์แวร์มาร่วมทีม แต่ในอนาคต หากผู้ก่อตั้งเข้าใจโจทย์ทางธุรกิจอย่างลึกซึ้ง ก็อาจใช้ AI ช่วยพัฒนาแอปพลิเคชันได้โดยไม่จำเป็นต้องมีทีมโค้ดดิ้งขนาดใหญ่
“ปัจจุบันธุรกิจที่เกี่ยวข้องกับ AI สามารถแบ่งออกเป็น 3 กลุ่มหลัก ได้แก่ 1.Infrastructure AI กลุ่มนี้เป็นโครงสร้างพื้นฐานของ AI ที่เกี่ยวข้องกับการพัฒนาโมเดล เทรนนิ่ง และการรันโมเดลต่าง ๆ บริษัทในกลุ่มนี้มักให้บริการแพลตฟอร์มที่ช่วยให้ธุรกิจอื่น ๆ สามารถนำ AI ไปใช้งานได้ง่ายขึ้น 2.Vertical AI เป็นธุรกิจที่ใช้ AI ในอุตสาหกรรมเฉพาะทาง เช่น กฎหมาย การเงิน การแพทย์ หรือคอนซูเมอร์เทรนด์ 3.Consumer & AI-Enhanced Services กลุ่มนี้เป็นธุรกิจที่นำ AI มาเสริมบริการหรือกระบวนการที่มีอยู่ เช่น ธุรกิจ SME หรือองค์กรที่ปรับใช้ AI เพื่อลดต้นทุนและเพิ่มประสิทธิภาพ อุตสาหกรรมนี้มีศักยภาพสูงสำหรับประเทศไทย เนื่องจากเป็นการผสานเทคโนโลยีเข้ากับธุรกิจแบบดั้งเดิมที่มีอยู่แล้ว ดังนั้น AI กำลังเปลี่ยนแปลงอุตสาหกรรมในทุกระดับ” ณัฐวุฒิ กล่าว

ดร.ณภัทร จาตุศรีพิทักษ์ กรรมการผู้จัดการ ViaLink และ Siametrics Consulting กล่าวว่า ปัจจุบัน AI Agent ประดิษฐ์ที่ทำงานในรูปแบบตัวแทน เป็นระบบซอฟต์แวร์ที่ได้รับการออกแบบมาให้สามารถดำเนินการตามคำสั่งและทำงานโดยอัตโนมัติในสภาพแวดล้อมต่าง ๆ กำลังเข้ามามีบทบาทสำคัญในการเปลี่ยนแปลงโครงสร้างการทำงานขององค์กร โดยเฉพาะในงานที่เป็นงานซ้ำซากและไม่ได้ช่วยพัฒนาทักษะของพนักงาน หากพนักงานจะต้องทำงานแมนนวล เช่น กรอกข้อมูลเข้าระบบ หรือจัดการข้อมูลใน Excel แต่ AI Agent สามารถเข้ามาช่วยจัดการงานเหล่านี้โดยอัตโนมัติ ส่งผลให้พนักงานมีเวลาไปทำงานที่สร้างมูลค่าให้กับบริษัทมากขึ้น
ดร.ณภัทร กล่าวต่อว่า น่าสนใจคือ AI Agent ไม่ได้จำกัดอยู่แค่บริษัทเทคโนโลยีหรือองค์กรขนาดใหญ่ แต่สามารถนำไปใช้ในธุรกิจ SME ไทย ได้เช่นกัน เช่น ร้านค้าที่ขายอาหารสด หรือธุรกิจส่งออกสินค้าไปยังต่างจังหวัด เช่น บริหารสต็อกสินค้าอัตโนมัติ วิเคราะห์แนวโน้มการขายและพฤติกรรมลูกค้า จัดการออเดอร์และโลจิสติกส์แบบเรียลไทม์ เพราะไม่เพียงช่วยลดต้นทุน แต่ยังช่วยให้ธุรกิจและพนักงานสามารถปลดล็อกศักยภาพที่แท้จริง ทำให้ SME ไทยสามารถเติบโตได้อย่างมีประสิทธิภาพ ในอนาคตธุรกิจที่สามารถปรับตัวและใช้ AI Agent อย่างชาญฉลาดจะเป็นผู้ได้เปรียบในตลาด

ชัยพนธ์ ชวาลวณิชชัย CEO Marketing In Bank กล่าวว่า มีคำคมหนึ่งในวงการ AI ที่กล่าวว่า AI Draft, Human Craft ซึ่งสะท้อนให้เห็นว่า AI สามารถช่วยร่างแนวคิดหรือสร้างต้นแบบให้เราได้ แต่สุดท้ายแล้ว งานที่มีคุณค่าทางความคิดสร้างสรรค์ยังต้องอาศัยมนุษย์เป็นผู้ขัดเกลาและตัดสินใจ AI มีศักยภาพในการทำให้ชีวิตเราง่ายขึ้น แต่ในขณะเดียวกัน ก็อาจทำให้เราพึ่งพามันมากเกินไปจนสูญเสียทักษะที่สำคัญไป ดังนั้น AI ควรเป็นสมองที่สอง ไม่ใช่สมองหลัก ไม่ควรถูกนำมาใช้แทนที่การคิดของมนุษย์โดยสิ้นเชิง หากเราปล่อยให้ AI เป็นสมองหลัก ในการตัดสินใจทุกอย่าง มันอาจกลายเป็นอันตรายต่อกระบวนการเรียนรู้และพัฒนาทักษะของเราเอง
“ข้อควรระวังคือ อย่าให้ AI กลายเป็นเครื่องมือที่เรายอมพึ่งพาโดยปราศจากการคิดวิเคราะห์ของตัวเอง เช่นเดียวกับการเชื่อคำทำนายของหมอดู แม้ว่า AI จะใช้หลักการทางวิทยาศาสตร์และวิเคราะห์ข้อมูลอย่างเป็นระบบ แต่ก็ยังมีข้อจำกัด และมนุษย์ยังคงต้องเป็นผู้ควบคุมทิศทางของการใช้งาน” ชัยพนธ์ ทิ้งท้าย

ข่าวที่เกี่ยวข้อง
'แม้ว' โวสนั่น ดิจิทัลวอลเล็ตเต็มระบบมาแน่ปีนี้ ดันสเตเบิลคอยน์-ดิจิทัลเอ็มบาสซี่ ตั้งไทยเป็น AI ฮับ
‘ทักษิณ ชินวัตร’ ขึ้นเวทีโชว์วิสัยทัศน์โวเหมือนเดิม ‘ดิจิทัลวอลเล็ตเต็มระบบ’ มาแน่ปีนี้ พร้อมเร่งผลักดัน ‘สเตเบิลคอยน์’ เสร็จใน 3 เดือน ตั้งเป้าดึงดูดนักลงทุน-นักท่องเที่ยว ด้าน AI เตรียมใช้ช่วยแพทย์ หลัง รพ. ขาดบุคลากร แย้มฝันตั้ง ‘ดิจิทัลเอ็มบาสซี่’ กลางกรุงใน 1 ปี
‘หมอยง’ ระบายผลพวงวันซีนโควิด 19 โดน AI ปั่นอ้างชื่อหากิน แถมบอกเจอบริษัทยาฟ้อง
หลังจากที่โควิด เริ่มสงบ ก็มีการเอารูปของเรา ไปโฆษณาขายของกันมากมาย อ้างว่าเป็นคนบอกว่ามีสรรพคุณที่ดี เช่นโรคหัวใจ โรคต่างๆมากมาย ทั้งที่เราไม่เชี่ยวชาญเลย และไม่เป็นความจริง
‘พิพัฒน์‘ พบ “เลขาธิการ OECD” เสนอการบริหารประชากร แรงงานให้ใช้ AI สร้างหลักประกันดูแลทุกช่วงวัย ย้ำ! ไทยพร้อมร่วมเป็นสมาชิก
วันที่ 13 กุมภาพันธ์ 2568 นายพิพัฒน์ รัชกิจประการ รัฐมนตรีว่าการกระทรวงแรงงาน พร้อมด้วย นายบุญสงค์ ทัพชัยยุทธ์ ปลัดกระทรวงแรงงาน นายศรัณย์ เจริญสุวรรณ