
การไปเที่ยวคลองในกรุงเทพมหานคร อาจจะเป็นเรื่องแปลกใหม่ของใครหลายคน แต่ถ้าได้ไปแล้วจะหลงเสน่ห์ อยากไปอีก เมื่อไม่กี่วันก่อน กรมศิลปากร กระทรวงวัฒนธรรม ได้ชวนไปล่องเรือ ช่วงคลองบางกอกใหญ่ – คลองด่าน ตามโครงการ”ล่องคลอง มองศิลป์ ถิ่นธนบุรี” เพื่อสร้างต้นแบบกิจกรรมการท่องเที่ยวทางเรือ ในมิติด้าน ศาสนา ศิลปะและวัฒนธรรม ผ่านคุณค่าของโบราณ วัตถุสถาน ศาสนสถาน ได้สัมผัสวิถีชุมชนของ ริมคลองโบราณ พร้อมทั้งเยี่ยมชม 5 วัดริมฝั่งคลองที่ถือว่าเป็น โบราณสถาน สร้างตั้งแต่สมัยอยุธยา ได้แก่ วัดอินทารามวรวิหาร วัดอัปสรสวรรค์วรวิหาร วัดนางนองวรวิหาร วัดราชโอรสารามราชวรวิหาร และวัดหงส์รัตนาราม
การล่องเรือจึงเสมือนย้อนอดีตไป 400 กว่าปีที่แล้ว ซึ่งนับจากการขุดคลองของพระไชยราชาธิราช ทรงครองราชย์ในช่วง พ.ศ. 2077–2089 ทรงเป็นผู้ริเริ่มการขุดคลองบางกอกน้อยให้เชื่อมต่อกับคลองบางกอกใหญ่ และคลองเหล่านี้ ก็กลายเป็นส่วนหนึ่งของแม่น้ำเจ้าพระยาในปัจจุบัน

การล่องเรือครั้งนี้ มีนางสาวสุดาวรรณ หวังศุภกิจโกศล รัฐมนตรีว่าการกระทรวงวัฒนธรรม ร่วมเดินทางไปด้วย พร้อมเยี่ยมชม 5 วัด พร้อมกับบอกเล่าวัตถุประสงค์ โครงการล่องคลองบางกอกใหญ่ – คลองด่าน ว่าถือว่าเป็นการเสริมสร้างความเข้าใจทางประวัติศาสตร์และวัฒนธรรมชุมชนโบราณสองฝั่งคลองที่มีประวัติศาสตร์ยาวนาน อีกทั้งรัฐบาลมีนโยบายด้านSoft Power ซอฟต์เพาเวอร์ ให้เป็นที่รู้จักแพร่หลายระดับนานาชาติ โดยมีเป้าหมายผลักดันให้ไทยเป็น 1 ใน 25ประเทศที่มีอิทธิพลด้าน Soft Power ในปี 2570 โครงการนี้จึงถือว่าเป็นส่วนหนึ่งของเป้าหมาย

เจ้าภาพโครงการ นายพนมบุตร จันทรโชติ อธิบดีกรมศิลปากร บอกว่า เส้นทางคลองบางกอกใหญ่ บางกอกน้อย คลองด่าน ล้วนเป็นคลองขุดตั้งแต่สมัยอยุธยา เพื่อให้การสัญจรซึ่งใช้เส้นทางทางน้ำเป็นหลักมีความสะดวกย่นระยะทาง ซึ่งคลองที่ขุดขึ้นนี้ ต่อมาได้กลายเป็นส่วนหนึ่งของแม่น้ำเจ้าพระยาอย่างที่เห็นในปัจจุบัน ระหว่างทางนี้มีวัดสวยๆหลายแห่ง แต่คนไม่ค่อยรู้จัก โดยเฉพาะคนไทยยังมาเที่ยวแบบนี้น้อยมาก ทำให้กลายเป็นแหล่งท่องเที่ยวที่ถูกมองข้าม แต่กลับเป็นที่รู้จักของนักท่องเที่ยวต่างชาติ

“เราเป็นเจ้าของมรดกทางวัฒนธรรม กลับไม่ได้มาเที่ยว โดยแต่ละวัดมีความวิจิตรงดงาม มีเรื่องราวทางประวัติศาสตร์ และวัฒนธรรม แต่คนไทยยังไม่ค่อยรู้จัก ยังไม่ค่อยมาเที่ยว ซึ่งต่อไปเราจะร่วมกับสำนักเขตพื้นที่ของกรุงเทพฯ ในการจัดอบรมมัคคุเทศน์น้อย เพื่อเป็นไกด์นำเที่ยว เพราะการเที่ยวต้องมีเนื้อหาเรื่องราวประวัติศาสตร์ความเป็นมาของคลองและวัด เพื่อให้เกิดความซาบซึ้งและเกิดอรรถรสในการเที่ยวมากยิ่งขึ้น”อธิบดีกรมศิลปากรกล่าว

ทั้ง5วัดล้วนตั้งในย่าน“ธนบุรี”ซึ่งเป็นย่านเก่าแก่ที่มีประวัติและพัฒนาการมาตั้งแต่สมัยกรุงศรีอยุธยา ด้วยปัจจัยสำคัญทางภูมิศาสตร์ สมเด็จพระเจ้าตากสินมหาราช ทรงยกให้กรุงธนบุรี เป็นเมืองหลวงแทนอยุธยา หลังจากกอบกู้บ้านเมืองมาได้หลังเสียกรุงฯครั้งที่ 2 แถบธนบุรีจึงยังปรากฏร่องรอยพระราชวัง ป้อมปราการ วัด บ้านเรือนต่างๆ

การล่องคลอง เราเริ่มจากท่าวัดระฆังโฆษิตาราม ในเรือมีเจ้าหน้าที่จากกรมศิลปากรบรรยาย ถึงเหตุผลการขุดคลองบางกอกน้อย บางกอกใหญ่ คลองด่าน คลองชักพระ เริ่มจากสมัยกรุงศรีอยุธยา เพราะถ้าไม่ขุดการเดินเรือจะต้องอ้อม ใช้เวลาเพิ่มขึ้นอีก 1 วัน กว่าจะถึงปากอ่าวไทย นอกจากนี้ หากยึดตามร่องน้ำของแม่น้ำเจ้าพระยา ที่มีสภาพคดเคี้ยวตามธรรมชาติ ก็จะทำให้การล่องเรือต้องใช้เวลา ขณะที่คลองขุดจะมีลักษณะตรง ทำให้ใช้เวลาเดินทางน้อยลง คลองขุดเหล่านี้จึงช่วยร่นระยะเวลาเดินทางได้มาก มีประโยชน์ทั้งในแง่การเดินทางสัญจร การค้าขายการค้า เรือสินค้าที่เข้าและออกเพื่อไปยังหัวเมืองต่างๆ ล้วนต้องใช้เส้นทางคลองเหล่านี้ รวมทั้ง กองเรือราชฑูตจากประเทศต่างๆที่เดินทางเข้ามาอยุธยาอย่างคึกคัก ก็ล้วนต้องอาศัยเส้นทางเดินเรือผ่านคลองและแม่น้ำเจ้าพระยาก่อนจะไปถึงพระนครศรีอยุธาด้วยเช่นกัน

การเกิดคลองขุดใหม่ ถ้าเทียบกับสมัยนี้ ก็เหมือนมีการตัดถนนใหม่ และแน่นอนว่าพอเกิดคลองใหม่ขึ้นแล้ว ก็ต้องมีคนอพยพเข้ามาอยู่อาศัย เพราะน้ำเป็นสิ่งสำคัญในการดำรงชีวิต ไม่ว่าจะเป็นการเพาะปลูก การหาอาหาร กุ้ง หอย ปูปลา ชำระล้าง และสัญจร ล้วนต้องพึ่งพาอาศัยน้ำทั้งสิ้น ตามริมฝั่งคลองและแม่น้ำจึงมีผู้คนมาอาศัยอยู่ จึงเป็นที่มาของการเกิดชุมชนคลองบางกอกใหญ่ บางกอกน้อย ซึ่งมีทั้งคนลาว เขมร มอญ และแขกอินเดีย เข้ามาอยู่อาศัยตามริมฝั่งคลอง ก่อให้เกิดการผสมผสานทางวัฒนธรรม

หลายคนอาจจะงงกับชื่อคลอง ซึ่งจริงๆเป็นเส้นเดียวกันแต่มีหลายชื่อ คลองบางกอกน้อย คลองบางกอกใหญ่ (คลองบางหลวง) คลองด่าน เป็นคลองหลัก แต่ยังมีคลองชักพระ คลองคูเมืองเดิม คลองบางกรวย คลองภาษีเจริญ คลองอ้อมนนท์ ชื่อแต่ละคลอง เป็นชื่อตามกิจกรรมที่เกิดขึ้นสมัยนั้น เช่น คลองด่าน เป็นช่วงคลอง ที่มีการตั้งด่านเก็บภาษีอากร เรือสินค้าที่ผ่านไปมา หรือคลองชักพระ เป็นช่วงที่มีการแห่เรือชักพระบนเส้นทางนี้ เป็นต้น

เรื่องราวของคลองในกรุงเทพฯ ยังปรากฎในนิยายเรื่องสี่แผ่นดิน หม่อมคึกฤทธิยังมีการกล่าวถึงคลองบางหลวง ซึ่งก็คือคลองบางกอกใหญ่ว่า แม่พลอย ได้นั่งเรือกับแม่แช่ม ออกจากบ้านเพื่อไปพระบรมมหาราชวัง เป็นครั้งแรก เวลายังไม่ถึงกับสายจัด ก็ถึงปากคลองตลาดแล้ว แม่พลอยบรรยายว่าจากปากคลองตลาด ยังมองเห็นหลังคาบ้านตนเองเลย และตื่นเต้นมากที่มาถึงพระบรมมหาราชวัง ทำให้เป็นที่เข้าใจได้ว่าบิดาของแม่พลอยต้องเป็นขุนนางชั้นผู้ใหญ่คนหนึ่งแน่นอน เพราะมีบ้านพักอาศัยริมคลองบางหลวง ซึ่งถือว่าเป็นย่านใจกลางเมืองสมัยนั้น

เอาล่ะ จากท่าเรือวัดระฆังฯ ซึ่งพวกเรานั่งเรือหางยาวขนาดใหญ่ นั่งได้ถึง 50 คน เป็นเรือสำหรับพานักท่องเที่ยวชมคลอง ซึ่งส่วนใหญ่เป็นนักท่องเที่ยวต่างชาติ ไม่นานนักเรือแล่นมาถึง วัดอินทารามวรวิหาร ซึ่งตั้งอยู่ ณ ถนนเทอดไท แขวงบางยี่เรือ วัดตั้งอยู่ฝั่งทิศใต้ของคลองบางกอกใหญ่ วัดแห่งนี้มีมาตั้งแต่สมัยอยุธยา เดิมชื่อว่า วัดบางยี่เรือนอก, วัดบางยี่เรือไทย หรือวัดสวนพลู สมเด็จพระเจ้ากรุงธนบุรี หรือพระเจ้าตากสินมหาราช ทรงปฏิสังขรณ์ และเสด็จมาทรงศีลบำเพ็ญพระกรรมฐานขณะทรงครองราชย์ วัดแห่งนี้ ยังเป็นที่ประดิษฐานพระบรมศพ ถวายพระเพลิงและบรรจุพระบรมอัฐิของพระเจ้าตากสิน ต่อมารัชกาลที่ 3 ทรงปฎิสังขรณ์ พระอาราม และพระราชทานนามใหม่ว่า วัดอินทาราม

ขึ้นจากท่าเรือมาถึงวัด ก็จะพบกับพระอนุเสารีย์พระเจ้าตากทรงม้า เป็นจุดแรกให้คนได้กราบไหว้ และเมื่อเดินไปถึงโบสถ์ใหม่ ซึ่งมีรูปทรงเหมือนท้องเรือ ตรงช่วงกลางของฐานพระอุโบสถ มีลักษณะแอ่นเหมือนท้องเรือ ก็จะพบกับ พระบรมพระรูปประติมากรรมของพระเจ้าตากสินตั้งอยู่ ในท่าประทับนั่งแต่หันพระพักตร์ไปทางด้านขวา ซึ่งนับว่าแปลก ว่ากันว่าเป็นการหันพระพักตร์ไปยังพระบรมมหาราชวัง นใกล้ๆ ด้านหน้าพระบรมรูป มีศิลาจารึก หินขนาดใหญ่รูปทรงเสมาตั้งวาง มีการบอกเล่าว่าศิลาจารึกนี้เป็นของสมัยสุโขทัย ซึ่งปรากฎอักษรจารึกไว้บนหิน แต่สภาพลางเลือนเต็มที ใกล้ๆกันนั้น มีบ่อน้ำโบราณ

วัดอินทารามฯ นับว่าเป็นวัดของราชสกุลของพระเจ้าตากสิน อย่างแท้จริง ในกลุ่มพระอุโบสถเดิม นอกจากประดิษฐานพระพุทธรูปฉลองของพระเจ้าตากสิน แล้วยังมีพระพุทธรูปปางมารวิชัย ศิลปะอยุธยา ซึ่งบรรจุพระบรมราชสรีรังคารของพระเจ้าตากสินไว้ ใต้ฐาน ใต้ฐานชุกชีบรรจุอัฐิของสกุลอินทรโยธิน และพิชเยนทรโยธิน ซึ่งเป็นสายสกุลผู้สืบเชื้อสายจากสมเด็จตากสิน

วัดต่อมาเรือพามาถึง วัดอัปสรสวรรค์ เป็นวัดที่สร้างในสมัยอยุธยาเช่นกัน แต่ไม่ปรากฎหลักฐานแน่ขัดว่าสร้างขึ้นในสมัยใด วัดอัปสรสวรรค์ ตั้งอยู่ ณ แขวงปากคลองภาษีเจริญ เขตภาษีเจริญ เป็นพระอารามหลวงชั้นตรี ชนิดวรวิหาร เดิมชื่อว่า”วัดหมู ตามประวัติกล่าวกันว่าสร้างโดย “จีนอู๋” ที่ทำอาชีพเลี้ยงหมูและเป็นผู้บริจาคที่ดินให้สร้างวัด ต่อมาในสมัยรัชกาลที่ 3 เจ้าจอมน้อย (สุหรานากง) พระสนม รัชกาลที่1 ซึ่งเป็นพระธิดาของเจ้าพระยาพลเทพ ได้สถาปนาวัดแห่งนี้ใหม่ ว่ากันว่าเจ้าจอมน้อยนั้นมีรูปโฉมงดงามมาก และเชี่ยวชาญการร่ายรำ ซึ่งมีบทหนึ่งมีการร่ายรำเกี่ยวกับนางฟ้า ซึ่งอาจเป็นที่มาของชื่อวัด เพราะ ต่อมารัชกาลที่ 3 ทรงรับบูรณะปฏิสังขรณ์วัด และพระราชทานนามขึ้นใหม่ว่า “วัดอัปสรสวรรค์”

องต์รพประธานในโบสถ์ของวัดอัปสรสวรรค์นับว่ามีความแปลกแตกต่างจากวัดอื่น เพราะประดิษฐาน รูปอดีตพุทธเจ้า 28 พระองค์บนฐานชุกชีเดียวกัน จัดวางลดหลั่น การทำรูปพระอดีตพุทธเจ้า 28 พระองค์นี้ เป็นเกี่ยวข้องกับคติความเชื่อที่นิยมมากในกลุ่มชาวพม่าและมอญ ที่มาตั้งชุมชนและแวกวัด

ไฮไลต์อีกจุดของวัดก็คือ “หอเปรียญธรรม” ที่เป็นไม้ทั้งหลัง มีอายุเก่าแก่ ถ้านับจากการบูรณะวัดสมัยร.3 ก็น่าจะมีอายุประมาณ 180 ปี เดิมมีสภาพชำรุดทรุดโทรมมาก แทบใช้งานไม่ได้ ซึ่งในปี2567 กรมศิลปากรได้เข้ามาทำการบูรณะให้กลับมามีสภาพงดงามคงเดิม และยังทรงรูปทรงโครงสร้างเดิม ลวดลายต่างๆ ซึ่งแทบไม่หลงเหลือไว้ให้เป็นไปตามเดิมให้มากที่สุด โดยมีการบากบั่นค้นคว้า รวมที่งการสันนิษฐาน มาบูรณะจนได้ผลลัพธ์ออกมา เหมือนแบบฉบับของดั้งเดิมมากที่สุด ที่วัดอัปสรสวรรค์ ยังมี”หอพระไตรปิฎก สร้างอยู่สระกลางน้ำ ตามคติโบราณ”สันนิษฐานว่า ได้รับการสถาปนาขึ้นในสมัยรัชกาลที่ 3 ด้วยเช่นกัน หอพระไตรปิฏกแห่งนี้ น่าจะเหลืออยู่เพียงแห่งเดียวในกรุงรัตนโกสินทร์ที่ยังรักษารูปแบบไว้ได้เป็นอย่างดี

ออกจากวัดอัปสรสวรรค์ เรือวิ่งย้อนกลับมาที่ตลาดพลู เพื่อกินอาหารกลางวันที่ร้านเต็กเฮง หมี่กรอบจีนหลี หมี่กรอบสมัยรัชกาลที่ 5 ต้องยอมรับว่าหมี่กรอบร้านนี้อร่อยจริงๆ มีความพิเศษไม่เหมือนที่ขายทั่วๆไป สมแล้วกับเป็นเมนูสืบทอดร้่อยกว่าปี
พออิ่มท้องกันแล้ว พวกเราขึ้นเรือไปยังวัดนางนองวรวิหาร ตั้งอยู่แขวงบางอ้อ เขตจอมทอง สันนิษฐานว่าสร้างสมัยอยุธยา สมัยพระเจ้าศรีสรรเพ็ชญ์ที่ 8 หรือพระเจ้าเสือ ได้รับการบูรณะสมัยรัชกาลที่ 3 เข้าสักการะพระพุทธมหาจักรพรรดิ พระประธานในพระอุโบสถ พุทธศิลป์สมัยสุโขทัย ภายในโบสถ์มีภาพจิตรกรรมฝาผนังเรื่องราวท้าวมหาชมพู ที่ร้อยเรียงกันตั้งแต่ต้นจนจบ และยังมีภาพกำมะลอเรื่องสามก๊ก ที่แบ่งเป็นตอนๆในช่องรูปสี่เหลี่ยมจตุรัสบริเวณผนังระหว่างบานประตูและบานหน้าต่างทั้ง 4ด้าน
ภายในวัดยังมีพระวิหารคู่ ทิศเหนือและทิศใต้ ทางทิศเหนือ มี”หลวงพ่อผุด” ฝีมือช่างสมัยอยุธยาตอนปลาย ตั้งเป็นพระประธาน ตั้งอยู่ด้านหน้า และมี”หลวงพ่อผาด” พระประธานองค์เดิม ตั้งคู่กัน ซึ่งเป็นเอกลักษณ์ของวัด

วัดที่4 วัดราชโอรสารามราชวรวิหาร อยู่แขวงบางอ้อ เขตจอมทองด้วยเช่นกัน วัดแห่งนี้เดิมชื่อวัดจอมทอง สันนิษฐานว่าสร้างในสมัยอยุธยา เพราะมีพระพุทธรูปยืนองค์ใหญ่ที่ประดิษฐานในวิหาร เรียกว่า พระอู่ทอง เป็นศิลปกรรมแบบอยุธยา ต่อมารัชกาลที่ 2 โปรดเกล้าฯ ให้สมเด็จพระเจ้าลูกยาเธอ กรมหมื่นเจษฎาบดินทร์(รัชกาลที่3) เป็นแม่ทัพคุมพลหนึ่งหมื่น ไปขัดตาทัพพม่าที่ด่านเจดีย์ 3 องค์ โดยเส้นทางยาตราทัพในวันแรกได้ผ่านคลองบางกอกใหญ่เข้าคลองด่าน เมื่อมาถึงวัดจอมทองซึ่งตั้งอยู่ฝั่งตะวันตกของคลองด่าน ได้เสด็จหยุดทัพประทับแรมที่ หน้าวัด ทรงกระทำพิธีเบิกโขลนทวารตามลักษณะพิชัยสงคราม กับได้ทรงอธิษฐานให้ชนะสงคราม เสด็จกลับมาโดยสวัสดิภาพ จนเมื่อย่างเข้าหน้าฝนในพ.ศ. 2364 ไม่ปรากฏว่าพม่าจะยกทัพมา ทรงยกเลิกทัพกลับสู่พระนคร ทรงโปรดฯ ให้ปฏิสังขรณ์วัดจอมทองขึ้นเหมือนสร้างวัดใหม่ ตลอดเวลาที่มีการปฏิสังขรณ์ ทรงเสด็จประทับทรงคุมงาน และตรวจการก่อสร้างด้วยพระองค์เอง ต่อมารัชกาลที่ 2 ทรงโปรดพระราชทานนามวัดเสียใหม่ว่า “วัดราชโอรสาราม” อันหมายถึง วัดที่พระราชโอรสทรงสถาปนา
วัดราชโอรสาราม ได้รับอิทธิพลศิลปะจีนอย่างชัดเจน เนื่องจาก ก่อนขึ้นครองราชย์รัชกาลที่ 3 ก็ทรงค้าขายกับจีนอย่างมาก ตรงประตูก่อนเข้าอาณาบริเวณโบสถ์มีรูปปั้นกิเลน2 ตัว ตั้งอยู่ด้านซ้ายและขวา ต้อนรับผู้มาเยือน นอกจากนี้ หลังคาโบสถ์ ยังมีโครงสร้างซ้อน 2 ชั้น มีการประดับหลังคาเป็นลวดลายกระบวนจีน ภายในพระอุโบสถประดิษฐาน”พระพุทธอนันตอดุลญาณบพิตร” โดยรัชกาลที่ 4 โปรดเกล้าฯให้นำพระบรมอัฐิ รัชกาลที่ 3 มาบรรจุไว้

ปิดท้ายทริปล่องเรือ ด้วย วัดหงส์รัตนาราม ราชวรวิหาร หรือเรียกกันชื่อย่อๆว่า”วัดหงส์ฯ”ตั้งอยู่ถนนวังเดิม แขวงวัดอรุณ เขตบางกอกใหญ่ สร้่างในสมัยอยุธยาด้วยเช่นกัน วัดนี้เดิมชื่อ วัดเจ้าสัวหง หรือวัดเจ้าขรัวหง ตามชื่อเศรษฐีจีนผู้สร้างวัด ราวปีพ.ศ.2314 พระเจ้าตากสิน ฯ โปรดเกล้าฯ ให้บูรณปฏิสังขรณ์และขยายอาณาเขตให้กว้างใหญ่ขึ้น พระราชทานนามใหม่ว่า วัดหงส์อาวาสวิหาร พอมาถึงสมัยรัตนโกสินทร์ พระมหากษัตริย์ทุกพระองค์ได้ทรงบูรณะวัดแห่งนี้ จนมาถึงสมัยรัชกาลที่ 6 ได้มีการเปลี่ยนชื่อพระอารามเป็น วัดหงส์รัตนาราม
ในแง่ศิลปะวัดหงส์ฯทั้งประติมากรรม ลวดลายประดับต่างๆล้วนได้อิทธิพลศิลปะจีนผสมตะวันตก พระอุโบสถมีความพิเศษ ตรงบานประตูด้านบนเป็นลายพระราชลัญจกรในพระบาทสมเด็จพระจอมเกล้าเจ้าอยู่หัว และพระบาทสมเด็จพระปิ่นเกล้าเจ้าอยู่หัว อยู่คู่กัน นอกจากนี้ พระประธาน ปางมารวิชัย พุทธศิลป์สมัยต้นรัตน ใต้ฐานพระประธานบรรจุพระบรมอัฐิพระบาทสมเด็จพระปิ่นเกล้าเจ้าอยู่หัว

เบื้องหน้าพระประธานประดิษฐาน พระแสน พระพุทธรูปสำริด นวโลหะ ปางมารวิชัย ขัดสมาธิราบ ศิลปะล้านช้าง ตามตำนานกล่าวว่าพระครูโพนเสม็ด ชาวเมืองพาน ผู้ก่อตั้งเมืองแตงและนครจำปาศักดิ์ หล่อขึ้น ณ นครจำปาศักดิ์ และกรุงพนมเปญ แล้วนำมาประกอบเป็นองค์พระ ซึ่งมีสีของโลหะในแต่ละส่วนที่แตกต่างกัน รอบพระรัศมีฝังแก้วผลึก 15 เม็ด แต่เดิมประดิษฐานอยู่ที่เมืองแตง ในอาณาจักรล้านช้าง ปัจจุบันคือจังหวัดสตรึงเตรง ประเทศกัมพูชา เมื่อปีพ.ศ.2401 พระบาทสมเด็จพระปิ่นเกล้าเจ้าอยู่หัว ขอพระราชทานให้ข้าหลวงนำท้องตราไปอัญเชิญลงมาประดิษฐาน ณ วัดหงส์ฯ
วัดแห่งนี้นับว่าเป็นอีกวัดที่มีความผูกพันธ์กับพระเจ้าตากสินอย่างมาก ในสมัยกรุงธนบุรีทรงโปรดเกล้าฯ ให้สร้าง” สระน้ำมนต์ ” ที่มีขนาดยาว 26 วา กว้าง 6 วา ลึก 1 วา และทรงอาราธนาสมเด็จพระสังฆราช (ดี) สมเด็จพระสังฆราชองค์ที่ 1 แห่งกรุงธนบุรี พร้อมด้วยสมเด็จพระสังฆราช (ชื่น) สมเด็จพระสังฆราชองค์ที่ 3แห่งกรุงธนบุรี มาประกอบพิธีปลุกเสกลงอาคม ตามตำนานกล่าวว่าหินอาคมในสระน้ำมนต์นี้ ได้รับมาพระเถราจารย์วัดประดู่ทรงธรรม พระนครศรีอยุธยา เมื่อโยนลงไปในสระน้ำได้กลายเป็นก้อนหินขนาดใหญ่

ตามประวัติ ระบุว่า พระเจ้าตากสิน ทรงสรงน้ำมนต์สระนี้ในพระราชพิธีสำคัญทุกครั้ง รวมทั้งช่วงออกศึกรบกับพม่า ว่ากันว่าทรงนำอาวุธทุกชิ้น มาอาบน้ำมนต์ที่สระแห่งนี้ก่อนออกศึกทุกครั้ง ต่อมารัชกาลที่ 1 ทรงโปรดเกล้าฯ ให้อาราธนาสมเด็จพระสังฆราช (สุก ไก่เถื่อน) มาปลุกเสกอาคมตามทิศทั้ง 4 ของสระน้ำมนต์ ให้มีฤทธานุภาพในด้านต่างๆ ได้แก่ ทิศตะวันออก ดีทางเมตตามหานิยม, ทิศใต้ ดีทางมหาลาภและค้าขาย, ทิศเหนือ ดีทางบำบัดทุกข์ โศก โรคภัย และทิศตะวันตก ดีทางแคล้วคลาดอยู่ยงคงกระพันชาตรี
ทางวัดอนุญาตให้คนที่มาวัด สามารถนำน้ำมนต์บรรจุใส่ขวด กลับบ้านไปบูขาเพื่อความเป็นสิริมงคลได้ ตรงจุดที่บรรจุน้ำมนตร์ใส่ขวด มีศาลของพระเจ้าตากฯตั้งอยู่

ยอมรับว่ากว่าจะครบทั้ง 5วัด ก็เหนื่อยไม่ใช่เล่น เพราะต้องสตาร์ทกันแต่เช้าตรู่ แต่สิ่งที่ได้ ก็คือ ความอิ่มเอมชมวิวทิวทัศน์สองฝั่งคลอง อีกทั้งการได้รับรู้ประวัติเรื่องราวต่างๆ ของวัดแถบธนบุรี ที่เราอาจจะเคยได้ยินชื่อมาเป็นเวลานาน แต่ไม่เคยรู้มาก่อนว่า วัดเหล่านี้มีความเก่าแก่มีอายุหลายร้อยปี อีกทั้งเส้นทางน้ำระหว่างเรือแล่น ก็ทำให้เห็นบรรยากาศบ้านเรือนริมสองฝั่งคลอง ตื่นตาตื่นใจอย่างมาก บ้านบางหลังยังเป็นบ้านเก่ารูปทรงเก่าแก่ ให้กลิ่นอาย อดีตอย่างชัดเจน
สรุปว่าเมื่อไปแล้วก็อยากไปอีก และอยากแนะนำให้คนอื่นได้ไปเหมือนเรา ไปสัมผัสความเป็นไทยที่อยู่ไม่ไกล ใกล้ตัวเรานี่เอง

ข่าวที่เกี่ยวข้อง
ซ่อมอีก! จนท.กรมศิลป์ สำรวจตึกไทยคู่ฟ้า พบบางจุดชำรุด
ผู้สื่อข่าวรายงานจากทำเนียบรัฐบาลว่า เมื่อช่วงสายวันที่ 13 มี.ค. เจ้าหน้าที่ทำเนียบฯ ได้นำเจ้าหน้าที่จากกองโบราณคดี กรมศิลปากร มาตรวจสอบตึกไทยคู่ฟ้า ทั้งภายนอก และภายในตามจุดต่าง ๆ