
การกลับมาดำรงตำแหน่งประธานาธิบดีสหรัฐอเมริกาของ โดนัลด์ ทรัมป์ อีกครั้ง เรียกได้ว่าเขย่าโลกกันเลยดีเดียว เพราะเป็นที่รู้กันดีว่าเขาจะยึดผลประโยชน์ของอเมริกามาเป็นอันดับแรก จึงมีคำเรียกขานว่า “Trump 2.0” ซึ่งหมายถึงยุคใหม่ของทรัมป์ที่มาพร้อมกับนโยบายที่ชัดเจนและการบริหารเข้มข้นยิ่งขึ้นจากการดำรงตำแหน่งในสมัยแรก โดยหนึ่งในนโยบายสำคัญที่ทั่วโลกจับตามองคือ “อเมริกาเฟิร์ส” (America First) ที่เน้นให้ ผลประโยชน์ของสหรัฐอเมริกา ผ่านการ ขึ้นภาษีนำเข้าสินค้าจากต่างประเทศ และ ทบทวนข้อตกลงทางการค้าระหว่างประเทศ เพื่อปกป้องอุตสาหกรรมและเสริมสร้างเศรษฐกิจของสหรัฐฯ
แม้นโยบายเหล่านี้จะมุ่งเน้นไปที่การเสริมอำนาจทางเศรษฐกิจของสหรัฐฯ แต่ในอีกด้านหนึ่งกลับ ส่งแรงสั่นสะเทือนไปทั่วโลก รวมถึงประเทศไทย ที่ไม่เพียงแค่เศรษฐกิจ การส่งออกสินค้า แต่ยังรวมถึงระบบวิทยาศาสตร์ วิจัย และนวัตกรรมที่ต้องเตรียมรับมือกับความท้าทายครั้งใหญ่นี้ นโยบายTrump 2.0 จะเป็นเพียงวิกฤตที่ฉุดรั้งวงการวิจัยไทย หรือจะเป็นโอกาสในการพลิกวิกฤตให้เป็นความก้าวหน้า
กระทรวงการอุดมศึกษา วิทยาศาสตร์ วิจัยและนวัตกรรม (อว.) โดยสำนักงานคณะกรรมการส่งเสริมวิทยาศาสตร์ วิจัยและนวัตกรรม (สกสว.) ระดมผู้เชี่ยวชาญหลากหลายสาขา ร่วมแลกเปลี่ยนมุมมองและเปิดแนวทางการรับมือกับผลกระทบที่อาจเกิดขึ้น ผ่านเวทีเสวนา “Trump 2.0 วิกฤตหรือโอกาสของระบบ ววน. ไทย” เพื่อวิเคราะห์ผลกระทบของนโยบายสหรัฐฯ ต่อระบบวิทยาศาสตร์ วิจัย และนวัตกรรมของไทยทั้งโอกาส ความท้าทาย และความจำเป็นในการปรับตัวเพื่อรับมือกับโลกที่เปลี่ยนแปลงไปอย่างรวดเร็ว

ผศ.ดร.อาร์ม ตั้งนิรันดร กรรมการส่งเสริมวิทยาศาสตร์ วิจัย และนวัตกรรม (กสว.) เผยว่า สหรัฐฯ ในปัจจุบันมีความเห็นร่วมกันที่เรียกว่า “New Consensus” ซึ่งให้ความสำคัญกับการแข่งขันด้านวิทยาศาสตร์ เทคโนโลยี และเศรษฐกิจกับจีน รัฐบาลสหรัฐฯ จึงต้องลดค่าใช้จ่ายบางส่วนเพื่อจัดสรรงบประมาณสำหรับการลงทุนในด้านการทหารและเทคโนโลยี สกอตต์ เบสเซน รัฐมนตรีว่าการกระทรวงการคลังของสหรัฐฯ ระบุชัดเจนว่านี่คือกลยุทธ์หลักที่จะทำให้สหรัฐฯ มีศักยภาพเพียงพอในการแข่งขันกับจีน พร้อมทั้งต้องการฟื้นฟูฐานอุตสาหกรรมในประเทศและยุติสงครามในยูเครนและตะวันออกกลางโดยเร็ว ทั้งหมดนี้สะท้อนถึงแนวคิดแบบปฏิบัตินิยมและการเจรจาเพื่อแลกเปลี่ยนผลประโยชน์ตามแบบฉบับของทรัมป์ มากกว่าการดำเนินนโยบายตามอุดมการณ์เหมือนในอดีต
ผศ.ดร.อาร์ม กล่าวต่อว่า เป้าหมายสำคัญของนโยบาย Trump 2.0 คือ สหรัฐฯ จะไม่ยอมให้ขั้วอำนาจอื่นมาท้าทายผลประโยชน์หลักของตน ซึ่งสอดคล้องกับแนวทาง “America First Foreign Policy” ที่เน้นผลประโยชน์ของสหรัฐฯ เป็นหลัก ตัวอย่างชัดเจนคือการที่ทรัมป์หยุดการสนับสนุนองค์กร USAID ถอนตัวจากองค์การอนามัยโลก (WHO) และไม่เข้าร่วมข้อตกลงปารีสว่าด้วยการเปลี่ยนแปลงสภาพภูมิอากาศ (Paris Climate Agreement) ซึ่งนับเป็นการเปลี่ยนแปลงทิศทางนโยบายต่างประเทศของสหรัฐฯ อย่างมีนัยสำคัญ ดังนั้น Trump 2.0 ทรัมป์ได้แสดงความเชื่อว่าทุกประเทศต่างเอาเปรียบสหรัฐฯ ไม่ใช่เพียงแค่จีนเท่านั้น ดังนั้นสงครามการค้าและมาตรการขึ้นกำแพงภาษีในรอบนี้อาจจะจึงขยายขอบเขตไปยังประเทศอื่นๆ ที่ได้รับผลกระทบไปด้วยไม่ว่าจะเป็นสหภาพยุโรป ญี่ปุ่น เกาหลีใต้ และไทย
“โดย Trump 2.0 อาจนำไปสู่การแบ่งขั้วทางเศรษฐกิจอย่างชัดเจน สถานการณ์นี้จะส่งผลให้ห่วงโซ่อุปทานโลก ปรับตัวครั้งใหญ่ โดยมีการย้ายฐานการผลิตหรือจัดตั้งฐานการผลิตใหม่ในภูมิภาคต่างๆ เพื่อตอบสนองความต้องการของทั้งสองขั้วมหาอำนาจ ประเทศไทยซึ่งมีจุดแข็งด้านความสัมพันธ์อันดีกับทั้งสองขั้ว จึงมีโอกาสที่จะเป็นศูนย์กลางเชื่อมโยงความร่วมมือทางเศรษฐกิจและการค้า ดังนั้นการเตรียมความพร้อมของไทยจำเป็นต้องเปลี่ยนจากการตั้งรับเป็นเชิงรุก โดยการปรับปรุงนโยบาย สนับสนุนการวิจัยและพัฒนา เพื่อสร้างตลาดใหม่ การเข้าร่วมกลุ่มความร่วมมือใหม่ ๆ จะเป็นกุญแจสำคัญในการรักษาความมั่นคงทางเศรษฐกิจ” ผศ.ดร.อาร์ม กล่าว
ไทยต้องปรับตัวจากวิกฤติให้เป็นโอกาส ผศ.ดร.อาร์ม มีมุมมองว่า การดำเนินงานเชิงรุกในการพัฒนาตลาดและเทคโนโลยี โดยเร่งเสริมความแข็งแกร่งของโครงสร้างพื้นฐานทางดิจิทัลและอุตสาหกรรมเทคโนโลยี กสว. ได้ปรับแนวทางการให้ทุนเป็นแบบมุ่งเป้า (Target Base) ภายใต้นโยบาย “Thailand First Development Agenda” เพื่อผลักดันการพัฒนาตลาดด้วยเทคโนโลยีใหม่ เสริมสร้างภาคอุตสาหกรรม และใช้เทคโนโลยีนวัตกรรมเป็นเครื่องยนต์ขับเคลื่อนเศรษฐกิจ (New Tech & Growth Engine) พร้อมยกระดับขีดความสามารถในการแข่งขันด้านเทคโนโลยีและการค้าระหว่างประเทศ โดยเฉพาะเมื่อต้องเผชิญกับคู่แข่งสำคัญอย่างมาเลเซียและอินโดนีเซีย นอกจากนี้ สกสว. ยังให้ความสำคัญกับการใช้ “Science Diplomacy” หรือการทูตทางวิทยาศาสตร์เป็นเครื่องมือเชื่อมความสัมพันธ์และสร้างความร่วมมือกับนานาประเทศ
“แม้นโยบาย Trump 2.0 ที่มุ่งลดการลงทุนและการช่วยเหลือประเทศอื่นอาจส่งผลกระทบต่อความร่วมมือด้านวิทยาศาสตร์และเทคโนโลยีระหว่างประเทศ แต่ สกสว. มองว่านี่คือโอกาสสำคัญที่ไทยจะหันมาพึ่งพาตนเองและเสริมสร้างความร่วมมือกับพันธมิตรใหม่ทั่วโลก อีกทั้งการปรับโครงสร้างห่วงโซ่อุปทานโลกถือเป็นโอกาสทองในการส่งเสริมอุตสาหกรรมเทคโนโลยีขั้นสูงและนวัตกรรม เพื่อยกระดับความสามารถในการแข่งขันและเข้าร่วมในห่วงโซ่อุปทานอุตสาหกรรมหลักของโลก”
ผศ.ดร.อาร์ม กล่าวอีกว่า การเปลี่ยนแปลงด้านภูมิรัฐศาสตร์ของโลกจะนำไปสู่การเคลื่อนย้ายการลงทุนครั้งใหญ่ บริษัทต่างๆ จะมองหาแหล่งลงทุนใหม่ที่มีเสถียรภาพและศักยภาพในการเติบโต ซึ่งไทยสามารถใช้จุดแข็งด้านที่ตั้งทางภูมิศาสตร์ ความพร้อมของโครงสร้างพื้นฐาน และแรงงานที่มีทักษะในการดึงดูดการลงทุนด้านวิจัยและนวัตกรรมจากต่างประเทศ นอกจากนี้ ไทยยังมีศักยภาพในการเป็น “สวิตเซอร์แลนด์แห่งอาเซียน” โดยใช้นโยบายที่เป็นกลางและสร้างความสัมพันธ์อันดีกับทุกฝ่าย อย่างไรก็ตาม ไทยจะต้องเผชิญกับการแข่งขันที่ทวีความเข้มข้นจากมาเลเซียและอินโดนีเซียในด้านเทคโนโลยีและการค้าระหว่างประเทศ

ศ.ดร.สมปอง คล้ายหนองสรวง ผู้อำนวยการสำนักงานคณะกรรมการส่งเสริมวิทยาศาสตร์ วิจัยและนวัตกรรม (สกสว.) กล่าวว่า ความสำคัญ เพื่อทางรอดของระบบ ววน. ไทย มี 4 แนวทางสำคัญ ได้แก่ การลงทุนในเทคโนโลยีแห่งอนาคต มุ่งเน้นการลงทุนใน R&D และเทคโนโลยี Deep Tech เช่น AI, Quantum Computing, Biotech, และพลังงานสะอาด เพื่อสร้างความได้เปรียบทางการแข่งขันและดึงดูดการลงทุนจากต่างประเทศ, การพัฒนาบุคลากรทักษะสูง สร้างและพัฒนาบุคลากรที่มีความเชี่ยวชาญด้านวิทยาศาสตร์ เทคโนโลยี วิศวกรรม และคณิตศาสตร์ (STEM) เพื่อรองรับการเติบโตของอุตสาหกรรมเทคโนโลยีขั้นสูง, การสร้างระบบนิเวศ ววน. ที่แข็งแกร่ง สนับสนุนการสร้างเครือข่ายความร่วมมือระหว่างภาครัฐ ภาคเอกชน และสถาบันการศึกษา เพื่อส่งเสริมการสร้างนวัตกรรมและการถ่ายทอดเทคโนโลยี, การเชื่อมโยงกับโลก สร้างความร่วมมือกับต่างประเทศ อาทิ สหภาพยุโรป จีนและประเทศในอาเซียน ในด้านการวิจัยและพัฒนาเทคโนโลยี เพื่อแลกเปลี่ยนความรู้และประสบการณ์ และเข้าถึงแหล่งทุนและเทคโนโลยีใหม่ๆที่แข่งขันได้ในระดับสากล

ดร.แบ๊งค์ งามอรุณโชค ผู้อำนวยการสถาบันนโยบายวิทยาศาสตร์ เทคโนโลยและนวัตกรรม ม.เทคโนโลยีพระจอมเกล้าธนบุรี (มจธ.)กล่าวว่า มาตรการตอบโต้ของสหรัฐต่อจีน ซึ่งดำเนินมาตั้งแต่ยุคไบเดนจนถึงทรัมป์ 2.0 กำลังบีบให้ไทยต้องนำเข้าสินค้าราคาแพงและเทคโนโลยีขั้นสูงจากอเมริกา ขณะเดียวกัน จีนก็ผลักดันสินค้าราคาถูกที่ล้นตลาดภายในประเทศเข้ามาในไทยมากขึ้น ส่งผลให้ไทยต้องเผชิญแรงกดดันจากทั้งสองทิศทาง ทั้งสินค้าราคาแพงและไฮเทคจากสหรัฐ และสินค้าราคาถูกที่ใช้ในชีวิตประจำวันจากจีน
ในสถานการณ์ที่ถูกบีบจากทั้งสองขั้ว ดร.แบ๊งค์ กล่าวว่า ผู้ประกอบการไทยจะสามารถอยู่รอดได้จะต้องมีแนวทางในการรับมือ โดยการตั้งรับในสินค้าเฉพาะ ไม่จำเป็นต้องขึ้นภาษีแบบสหรัฐ แต่รัฐบาลสามารถปกป้องบางอุตสาหกรรมที่ได้รับผลกระทบจากสินค้าราคาถูกที่ทะลักเข้ามา โดยเฉพาะสินค้าที่มีราคาขายปลีกต่ำกว่าต้นทุนการผลิตในไทย การดูดซับและแปลงเทรดเป็นทุนเป็นอีกแนวทางที่ไทยเคยใช้สำเร็จ เช่น กรณีการนำเข้ารถยนต์ EV แลกกับข้อกำหนดให้ต้องผลิตภายในประเทศในเวลาที่เหมาะสม แนวทางนี้ช่วยให้ไทยสามารถใช้การค้าระหว่างประเทศเป็นตัวเชื่อมเพื่อดึงดูดการลงทุนในสินค้าเทคโนโลยีขั้นสูง
ขณะเดียวกัน ไทยต้องเร่งสร้างขีดความสามารถทางการผลิตและนวัตกรรม เพราะกำแพงภาษีเป็นเพียงส่วนหนึ่งของการแข่งขัน ไทยต้องสามารถดูดซับและพัฒนาเทคโนโลยีของตนเองผ่านนโยบายส่งเสริมนวัตกรรมแบบมุ่งเป้า โดยอาศัยหลัก 3S คือ Scope หรือการโฟกัสอุตสาหกรรมที่มีศักยภาพเพื่อใช้ทรัพยากรอย่างมีประสิทธิภาพ Speed หรือการพัฒนาให้เท่าทันการเปลี่ยนแปลง และ Scale หรือการขยายขนาดให้สอดคล้องกับเป้าหมายที่ตั้งไว้ เพื่อให้ไทยสามารถแข่งขันได้
ดร.แบ๊งค์ กล่าวต่อว่า การหาตลาดใหม่เป็นอีกปัจจัยสำคัญ เพราะหากผู้ประกอบการไทยสามารถผลิตสินค้าได้เยอะ แต่ไม่สามารถขยายตลาดได้ก็ไร้ประโยชน์ ไทยต้องมองหาตลาดใหม่ที่อยู่นอกเหนือความขัดแย้งของสหรัฐและจีน ไม่ใช่เพียงแค่การทำข้อตกลงการค้าเสรี แต่ต้องสร้างความร่วมมือเชิงลึกระหว่างประเทศผ่านการตกลงในด้านความเชี่ยวชาญเฉพาะ รัฐบาลต้องมีบทบาทในการสนับสนุนผู้ประกอบการให้เข้าถึงตลาดที่เหมาะสม และไทยต้องรักษาสมดุลทางเศรษฐกิจ ปัจจุบันไทยพึ่งพาการส่งออกถึง 65% ของ GDP ขณะที่ทั้งสหรัฐและจีนต่างมุ่งเน้นการเสริมสร้างตลาดภายใน ไทยเองต้องเดินไปในทิศทางเดียวกันผ่านการพัฒนาเศรษฐกิจในระดับภูมิภาคให้แข็งแกร่ง โดยสร้างกลไกขับเคลื่อนเศรษฐกิจภายในประเทศเพื่อให้เกิดการเติบโตอย่างยั่งยืน ลดความเสี่ยงจากแรงกดดันภายนอก และเพิ่มความมั่นคงให้เศรษฐกิจไทยในระยะยาว




ข่าวที่เกี่ยวข้อง
ข้อกล่าวหาเรื่องการปกปิดความจริง หลังการเปิดเผยเอกสารของเอปสไตน์ เริ่มปรากฏ
การเปิดเผยเอกสารเกี่ยวกับ เจฟฟรีย์ เอปสไตน์ ผู้กระทำความผิดทางเพศที่เสียชีวิตไปแล้วอย่างไม่ครบถ้วน ก่อให้เกิดเสียงวิพากษ์วิจารณ์อย่างรุนแรงจากรัฐสภาสหรัฐฯ และเหยื่อของเอปสไตน์ในช่วงสุดสัปดาห์ที่ผ่านมา
จีน-เมกาแห่หย่าศึก/ไทยยํ้ากัมพูชาหยุดก่อน
สองชาติมหาอำนาจ "สหรัฐอเมริกา-จีน" ช่วงชิงเป็นตัวกลางหย่าศึกไทย-เขมร
จับตา‘ทรัมป์’คุย2ผู้นำ ยึด‘ช่องอานม้า’100%
"ทรัมป์" บอกเตรียมโทร.หาผู้นำไทย-กัมพูชา โวสยบศึกได้แน่
นายกฯ คุยทรัมป์ รับสัญญาณลดภาษีสหรัฐฯ ให้ไทยดีกว่าประเทศอื่น ไม่ผูกปมชายแดน
12 ธันวาคม 2568 - เวลา 22.00น. ที่ตึกไทยคู่ฟ้า ทำเนียบ นายอนุทิน ชาญวีรกูล นายกรัฐมนตรี และรมว.มหาดไทย กล่าวการหารือทางโทรศัพท์กับ นายโดนัลด์ ทรัมป์ ประธานาธิบดีสหรัฐอเมริกา โดยมี นายสีหศักดิ์ พวงเกตุแก้ว รัฐมนตรีว่าการกระทรวงการต่างประเทศ นางศุภจี สุธรรมพันธุ์ รมว.พาณิชย์ร่วมรับฟังการสนทนาด้วย
นายกฯ คุย 'ทรัมป์' ค่ำนี้ อัปเดตชายแดน ปัดหลิ่วตา 'ฮุนเซน'
'อนุทิน' อัปเดตชายแดนกับ 'ทรัมป์' ค่ำนี้ หลังคุย 'อันวาร์' ช่วงเย็น ปัดหลิ่วตา 'ฮุนเซน' ย้อนถามหยุดยิงเมื่อไหร่ ยันรัฐบาลมีอำนาจเต็มดูแลชายแดน

