นโยบายทรัมป์2.0 เหวี่ยงโลกเดือดสุดขั้ว

Photo by Morry Gash / POOL / AFP

หลังจากโดนัลด์ ทรัมป์ ก้าวขึ้นมาเป็นประธานาธิบดีสหรัฐอเมริกาสมัยที่ 2 ได้ลงนามในคำสั่งบริหาร (Executive Orders) ให้สหรัฐถอนตัวจากข้อตกลงปารีส (Paris Agreement) อีกครั้ง ถือเป็นครั้งที่สองที่ถอนสหรัฐฯ ออกจากความตกลงปารีส โดยจะมีผลบังคับใช้อีกหนึ่งปีข้างหน้า รวมถึงประกาศภาวะฉุกเฉินด้านพลังงานแห่งชาติ

สำหรับข้อตกลงปารีส Paris Agreement เป็นข้อตกลงที่กว่า 195 ประเทศร่วมมีเป้าหมายจำกัดภาวะโลกร้อนในระยะยาวให้อยู่ที่ 1.5 องศาเซลเซียส หรือหากไม่สามารถทำได้ ให้รักษาอุณหภูมิให้อยู่ต่ำกว่า 2 องศาเซลเซียส เหนือระดับก่อนยุคอุตสาหกรรม ซึ่งประเทศต่างๆ ต้องกำหนดเป้าหมายในการลดการปล่อยก๊าซเรือนกระจกจากการเผาถ่านหิน น้ำมัน และก๊าซธรรมชาติ เป้าหมายเหล่านี้จะต้องเข้มงวดขึ้นเรื่อยๆ โดยประเทศสมาชิกจะต้องมีแผนใหม่ภายในเดือนกุมภาพันธ์ 2025 ขณะที่รัฐบาล “โจ ไบเดน”ที่พ้นตำแหน่งได้เสนอแผนที่จะลดการปล่อยก๊าซเรือนกระจกของสหรัฐเอาไว้มากกว่า 60% ภายในปี 2035

การเคลื่อนไหวนี้ของประธานาธิบดี”ทรัมป์” ได้รับการวิพากษ์วิจารณ์อย่างกว้างขวางจากนักสิ่งแวดล้อม และผู้นำระดับนานาชาติ มีความเป็นห่วงนโยบายทรัมป์ส่งผลกระทบภาพรวมการปล่อยก๊าซเรือนกระจก เขย่าการจำกัดภาวะโลกร้อนให้อยู่ที่ 1.5 องศาเซลเซียส

ในมุมมอง ดร.วิจารย์ สิมาฉายา นักวิชาการด้านสิ่งแวดล้อม และผู้อำนวยการสถาบันสิ่งแวดล้อมไทย (TEI) กล่าวว่า มีความเป็นห่วงเกี่ยวกับนโยบายดังกล่าว เนื่องจากสหรัฐอเมริกาปล่อยก๊าซเรือนกระจกเป็นอันดับ 2 ของโลก สัดส่วนการปล่อย 13% ของการปล่อยก๊าซเรือนกระจกทั่วโลก อันดับหนึ่งประเทศจีน 26% ในขณะที่ประเทศไทยปล่อย 0.88%  จัดอยู่ในกลุ่มประเทศกำลังพัฒนา แต่ติดท้อปเท็นประเทศที่ได้รับผลกระทบจากการเปลี่ยนแปลงสภาพภูมิอากาศเป็นอันดับ 9  ซึ่งเป็นปัญหาที่ทุกประเทศต้องเผชิญร่วมกัน ทั่วโลกมีเป้าหมายลดปล่อยก๊าซเรือนกระจกที่ก่อโลกร้อน ปี 2050 สู่ NET ZERO  โดยเฉพาะประเทศที่พัฒนาแล้ว

ส่วนข้อตกลงปารีสที่มีความมุ่งหมายควบคุมอุณหภูมิโลกไม่เกิน 1.5 องศา  แต่ช่วงปีที่ผ่านมาสภาพภูมิอากาศของโลกวิกฤตมากจากปรากฎการณ์เอลนีโญและอุณหภูมิของโลกที่เพิ่มขึ้น ขณะที่เวที COP 26 ที่ผ่านมา มีความเป็นห่วงประเทศต่างๆ ยังไม่สามารถควบคุมอุณหภูมิโลกได้ตามที่กำหนดไว้และแนวโน้มอุณหภูมิโลกจะเพิ่มขึ้น 2.4องศา ผลกระทบจะเกิดขึ้นตามมามากมาย จำเป็นต้องลดปล่อยก๊าซให้มากกว่าที่ประกาศไว้ที่กรุงปารีส ซึ่งประเทศไทยจะเพิ่มเป็น 20-25%  หากมีเทคโนโลยีและกลไกการเงินมาช่วยประเทศไทย

“ การถอนตัวของสหรัฐจากความตกลงปารีสมีผลกระทบ เพราะช่วงหลังการประชุมอนุสัญญาที่ผ่านมา ทั่วโลกให้ความสำคัญเรื่องการลดก๊าซและการปรับตัว โดยเฉพาะประเทศกำลังพัฒนา  ปัจจุบันมีกองทุนภูมิอากาศสีเขียว หรือ Green Climate Fund ซึ่งโจ ไบเดน อดีตประธานาธิบดีสหรัฐประกาศจะบริจาคเข้ากองทุน 3,000 ล้านเหรียญสหรัฐ  เป็นกลไกการเงินที่ใส่เข้าไปในกองทุนเพื่อใช้จ่ายในการปรับตัวและการพัฒนาเทคโนโลยี อย่างการเก็บกักคาร์บอนที่ต้องพัฒนาต่อ ถ้าไม่ใส่เข้าไปกระทบงบประมาณแน่นอน เหมือนกับที่ทรัมป์ถอนตัวจาก WHO ฉะนั้น งบที่มีอยู่หรือประเทศอื่นๆ จะสามารถบริจาคเข้ากองทุนโลกร้อนจะพอเพียงในการป้องกันภาวะโลกร้อนอย่างไร เราห่วงการเข้าถึงกองทุนฯยากกว่าเดิม เงินน้อยลง “ดร.วิจารย์ กล่าว

ส่วนที่ประธานาธิบดีทรัมป์ให้เหตุผลถอนตัวเพราะข้อตกลงปารีสกำหนดภาระทางเศรษฐกิจที่ไม่เป็นธรรมต่อสหรัฐ และขัดขวางความเป็นอิสระด้านพลังงานของประเทศ  นักวิชาการสิ่งแวดล้อมแสดงทัศนะว่า ตอนนี้โลกกำลังหาพลังงานทดแทน ลดการใช้เชื้อเพลิงฟอสซิล สหรัฐเองพัฒนาพลังงานทดแทนและพัฒนา Carbon Capture Storae การกักเก็บคาร์บอนใต้พื้นพิภพ ต้องเดินไปควบคู่กัน ลดใช้พลังงานฟุ่มเฟือย เพราะอัตราการใช้พลังงานของคนสหรับเมื่อเทียบกับประเทศอื่นๆ มากเกินไป ต้องเพิ่มประสิทธิภาพการใช้พลังงาน

“ พลังงานสะอาดทั่วโลกให้ความสำคัญ เพราะภาคพลังงานปลดปล่อยก๊าซเรือนกระจกสูงสุด ถ้าภาคพลังงานไม่ทำ โอกาสที่จะประสบผลสำเร็จน้อยมาก  หากสหรัฐไม่สนับสนุนพลังงานสะอาดจะส่งผลกระทบต่อสหรัฐเอง  ถ้าสหรัฐไม่เป็นผู้นำในการพัฒนาจะเสี่ยงสูญเสียการเป็นผู้นำ อาจจะเกิดข้อจำกัด และย้ายฐานไปทางฝั่งยุโรปหรือออสเตรเลีย ที่จะมีการพัฒนาเทคโนโลยีพลังงานสะอาด ต้องจับตาดูอย่างใกล้ชิด  ทั้งที่สหรัฐมีจุดแข็งด้านเทคโนโลยีและด้านพลังงานจะได้รับผลกระทบจากนโยบายนี้มากน้อยเพียงใด “

ทั้งนี้ ดร.วิจารย์ระบุต้องรอดูท่าทีภาคธุรกิจเอกชนขนาดใหญ่ในสหรัฐที่ให้ความสำคัญต่อนโยบาย Net Zero ซึ่งตอนนี้ยังไปต่อ  ไม่ได้ประกาศหยุดนโยบายด้านนี้ ส่วนท้องถิ่นสหรัฐก็มุ่งสู่สังคมคาร์บอนต่ำ  ซึ่งนโยบายของทรัมป์แข็งกร้าวเข้าไว้ แต่ผลกระทบวิกฤตสภาพอากาศที่เลวร้ายสหรัฐไม่สามารถหลีกเลี่ยงได้  เช่น ไฟป่าครั้งใหญ่ในลอสแอนเจลิส เตือนว่า ชาวอเมริกันได้รับผลกระทบจากการเปลี่ยนแปลงสภาพภูมิอากาศที่เลวร้ายลงเช่นเดียวกับคนทั่วไป ถ้าสหรัฐไม่ลดปล่อยก๊าซ ยังปล่อยอันดับต้นของโลก ผลกระทบจะมากมายอยู่ดี

แม้นโยบายทรัมป์จะทำให้การคุมอุณหภูมิของโลกสะดุด แต่ ผอ.TEI ชี้ว่า ขณะนี้ไทยยังเดินหน้าต่อในการผลักดัน พ.ร.บ.การเปลี่ยนแปลงสภาพภูมิอากาศ ซึ่งเป็นเครื่องมือใหม่ ที่ทำให้ไทยมีความยืดหยุ่น การปรับตัวอยู่กับการเปลี่ยนแปลง และมีกลไกที่มีประสิทธิภาพในการตั้งรับแรงกดดันทางการค้าจากรัฐบาลประเทศต่าง ๆ เพื่อให้เศรษฐกิจยั่งยืน ควบคู่กับสังคมคาร์บอนต่ำ รวมถึงการปรับตัวในภาคเกษตรที่เน้นวิจัยผลกระทบจากการเปลี่ยยนแปลงภูมิอากาศ น้ำท่วม น้ำแล้ง จนถึงฝุ่นพิษ PM 2.5  ต้องตระหนักและเตรียมพร้อมรับมือ จะเกิดการเปลี่ยนแปลงสภาพภูมิอากาศที่รุนแรง แปรปรวน และยากต่อการคาดเดา เช่นเดียวกับสหภาพยุโรปที่จะต้องไปต่อ

ทั้งนี้ ต้องรอดูท่าทีในส่วน EU ด้วย ซึ่งปล่อยก๊าซเรือนกระจกเป็นอันดับ 3 ของโลก แต่มีความมุ่งมั่นในการลดการปล่อยก๊าซและช่วยเหลือประเทศในภูมิภาคเอเชียตะวันออกเฉียงใต้ สนับสนุนประเทศกำลังพัฒนา รวมถึงไทย เพื่อลดการปล่อยก๊าซในภาคเกษตรกรรม โดยเฉพาะการทำนา

ดร.วิจารย์ระบุจากกระแสวิพากษ์วิจารณ์อย่างกว้างขวางนโยบายประธานาธิบดี”ทรัมป์”  ต้องรอดูความเคลื่อนไหวจากประเทศพัฒนาแล้วฝั่งยุโรปที่มีความมุ่งมั่นลดก๊าซ รวมถึงจีนมีความมุ่งมั่นลดการปล่อยก๊าซเรือนกระจกและพลังงานทดแทน โดยเฉพาะรถยนต์ไฟฟ้า EV

(Photo by Greg Nash / POOL / AFP)

นโยบายทรัมป์ในมุมมอง ดร.เสรี ศุภราทิตย์  ผู้อำนวยการศูนย์การเปลี่ยนแปลงภูมิอากาศและภัยพิบัติ มหาวิทยาลัยรังสิต และคณะกรรมการระหว่างรัฐบาลว่าด้วยการเปลี่ยนแปลงสภาพภูมิอากาศ (IPCC) กล่าวว่า ตนเป็นหนึ่งในคณะกรรมการ IPCC มีความเป็นห่วงเมื่อทรัมป์ชนะการเลือกตั้งประธานาธิบดีสหรัฐ ประกอบกับเมื่อปี  2017 ที่ทรัมป์ถอนสหรัฐจากความตกลงปารีสครั้งแรก เรามีประสบการณ์ เพราะสหรัฐเป็นฐานการทำงาน  ขณะเดียวกันทรัมป์ประกาศลดวงเงินสนับสนุนด้านสิ่งแวดล้อม มีการย้ายสถานที่ทำงานมาประเทศเยอรมัน ส่งผลให้การรายงานประเมินสถานการณ์ด้านการเปลี่ยนแปลงสภาพภูมิอากาศ ฉบับที่ 6 ล่าช้าไปถึง 2 ปี นี่คือผลกระทบจากนโยบายทรัมป์   ซึ่งหลังจากทรัมป์ประกาศนโยบายหลังเข้ารับตำแหน่งประธานาธิบดีอีกครั้ง ลดความสำคัญเรื่องโลกร้อน ไม่บริจาคเข้ากองทุนภูมิอากาศสีเขียว ส่งผลกระทบต่อประเทศกำลังพัฒนาและประเทศด้อยพัฒนา รวมถึงอีก 3 กองทุนด้านสิ่งแวดล้อมหลักๆ ประเทศไทยเองเดิมก็เข้าไม่ถึงอยู่แล้ว ยิ่งเข้าถึงได้ยาก

สหรัฐถอนตัวจากข้อตกลงปารีส ไม่ได้หมายความว่า ไม่ปล่อยก๊าซเรือนกระจก แต่กลับจะปล่อยเพิ่มขึ้น มีนโยบายกระตุ้นธุรกิจการขุดเจาะน้ำมัน จะเพิ่มประมาณ 3 ล้านบาร์เรลต่อวัน เพื่อให้ธุรกิจสหรัฐที่ดำเนินอยู่สามารถสร้างทำรายได้ และแข่งกับตลาดโลกได้ ทรัมป์ไม่สนับสนุนการใช้พลังงานสะอาด  สหรัฐปล่อยก๊าซเป็นอันดับ2 ของโลก  และส่งออกน้ำมันสูงสุด   การกลับมาสนับสนุนเชื้อเพลิงฟอสซิลอีก จะต้องคิดฉากทัศน์ใหม่ เพราะสหรัฐปล่อยก๊าซเรือนกระจก 15% จากนโยบายทรัมป์สัดส่วนการปล่อยก๊าซจะเพิ่มสูงขึ้น  IPCC คาดการณ์ไว้ว่า หากไม่ทำอะไรเลย ยังปล่อยก๊าซเหมือนอย่างปัจจุบัน  อุณหภูมิโลกจะเพิ่มขึ้น 1.5 องศา จะมาในปี 2033  เดิมข้อตกลงปารีสมีเป้าหมายลดการปล่อยก๊าซลงครึ่งหนึ่งภายในปี 2030  อดีตประธานาธิบดีสหรัฐ โจ ไบเดน ประกาศจะลดก๊าซเรือนกระจก 66% ภายในปี 2035  หากดำเนินตามนโยบายทรัมป์ 2.0 ไม่มีทางพิชิตเป้าได้ จะส่งผลกระทบต่อการเปลี่ยนแปลงสภาพภูมิอากาศอย่างรุนแรง โลกเหวี่ยงสุดขั้ว

อย่างไรก็ตาม  ดร.เสรี กล่าวว่า แม้ทรัมป์ถอนตัว แต่ไม่สามารถหยุดนโยบายของโจ ไบเดน ได้ 100%  เพราะลงทุนไปแล้ว รวมถึงการลดปล่อยก๊าซเรือนกระจก เพราะบริษัทสหรัฐขนาดใหญ่ดำเนินการไปแล้ว เช่น มาตรการแรงจูงใจให้พลังงานหมุนเวียน  แต่บริษัทที่ยังไม่ลงทุนอาจจะลดเงินลงทุน เพราะสหรัฐไม่สนับสนุนเรื่องนี้ รวมถึงเงื่อนไขของการถอนตัวความตกลงปารีสจะมีผลอีกหนึ่งปีข้างหน้า ตลอดหนึ่งปีนี้สหรัฐยังต้องดำเนินการตามที่ให้คำมั่นไว้  อีกประเด็นการออกกฎหมายสนับสนุนพลังงานสะอาดก่อนหน้านี้ อาจจะล่าช้าออกไป

“ มีข้อมูลยืนยันว่าปี 2567 เป็นปีที่ร้อนที่สุดเท่าที่มีการบันทึกไว้ โดยอุณหภูมิสูงกว่าอุณหภูมิในยุคก่อนอุตสาหกรรมถึง 1.55 องศาเซลเซียส การที่ทรัมป์ประกาศถอนตัว และหันกลับมาใช้พลังงานจากฟอสซิลมากขึ้น หมายความว่า  อุณหภูมิโลกจะทะลุ 1.5 องศา เร็วขึ้น รวมถึงจะสูงกว่ากรอบการควบคุมอุณหภูมิโลกไม่ให้เกิน 2 องศา ปีที่แล้วภาวะโลกร้อนก่อภัยพิบัติอย่างมากมาย เวลานี้นักวิชาการกังวลเรื่องการเปลี่ยนแปลงสภาพอากาศที่ไม่สามารถคาดการณ์ได้ “ ดร.เสรี กล่าว

อีกสิ่งที่น่ากังวล ดร.เสรี กล่าวว่า ทรัมป์มีนโยบายสนับสนุนเศรษฐกิจและไม่ได้คิดจะดูแลโลกใบนี้ ทรัมป์ชูนโยบาย Make America Great Again ทำทุกอย่างให้สหรัฐกลับมายิ่งใหญ่อีกครั้ง แล้วได้คะแนนเสียงท่วมท้น คนสหรัฐชอบ แต่โลกใบนี้อยู่ไม่ได้  ทุกวันนี้ทั่วโลกเผชิญสภาพอากาศแปรปรวน อากาศสุดขั้ว สหรัฐเผชิญพายุเทอร์นาโด พายุเฮอริเคน เจอไฟป่าถล่มเมืองจากอากาศสุดขั้ว เจอหิมะหนัก จะลามไปเรื่อย อย่างไรก็ดี ทั่วโลกต้องจับตาสภาพอากาศสุดขั้ว รวมถึงประเทศไทยจะเจอแล้ง ท่วม แล้งท่วมถี่ขึ้น การคาดการณ์สภาพอากาศจะยากขึ้น ปี 67 ครึ่งปีแรกแล้งเสียหายหนัก ครึ่งปีหลังฝนตกในรอบ 100 ปี 1,000 ปี เกิดน้ำท่วมหนักหลายพื้นที่ รัฐสูญเสียงบประมาณในการเยียวยามหาศาล สำหรับปี 2568 สถานการณ์ภัยแล้งไม่น่าห่วง เพราะปีที่แล้วต้นทุนน้ำดี แต่อย่างไรก็ตาม การคาดการณ์สภาพอากาศยังไม่แน่นอน แต่กังวลจะแล้งหนักในปี 2569

อีกผลกระทบรุนแรงต่อประเทศไทย ดร.เสรี กล่าวในท้ายว่า ปัญหามลพิศอากาศ โดยเฉพาะฝุ่น PM2.5 จะรุนแรงเพิ่มขึ้น จากรายการ IPCC ศึกษาผลจากอุณหภูมิโลกที่ร้อนขึ้น ทำให้ปริมาณฝุ่นละอองขนาดเล็กมากขึ้น มีการสะสมในบรรยากาศมากขึ้น รวมถึงทำให้เชื้อโรคที่เกี่ยวข้องกับระบบทางเดินอากาศแพร่กระจายให้รวดเร็วขึ้น นอกจากหายนะทางสิ่งแวดล้อม ยังส่งผลกระทบมากต่อสุขภาพอีกด้วย ระยะยาวต้องจัดการแหล่งกำเนิดมลพิษทั้งภายในประเทศและมลพิษข้ามพรมแดน โดยเฉพาะประเทศเพื่อนบ้าน พม่า ลาว

อย่างไรก็ดี คงต้องติดตาม จับตาความเคลื่อนไหวของประธานาธิบดี”ทรัมป์” จะมีนโยบายที่สร้างความหวาดวิตกในการดูแลโลกใบนี้ที่เดือดขึ้นทุกขณะ รวมถึงจะมีผลกระทบกับประเทศไทยอย่างไรกันต่อไป

(Photo by Jim WATSON / POOL / AFP)

เพิ่มเพื่อน

ข่าวที่เกี่ยวข้อง

อดีตรมว.คลัง เปิด ภูมิรัฐศาสตร์จะกระทบเศรษฐกิจโลก ไม่น่าเชื่อ 'อุ๊งอิ๊ง' เอาแต่แจกเงินละลายแม่น้ำ

นายธีระชัย ภูวนาถนรานุบาล อดีตรัฐมนตรีว่าการกระทรวงการคลัง และ ประธานคณะกรรมการด้านวิชาการ พรรคพลังประชารัฐ โพสต์ข้อ

ประธานาธิบดีปานามา กล่าวหา 'ทรัมป์' ว่าโกหกเรื่องคลองปานามา

โฮเซ ราอูล มูลิโน-ประธานาธิบดีปานามา กล่าวหาโดนัลด์ ทรัมป์ ประธานาธิบดีสหรัฐฯ ว่าเผยแพร่เรื่องโกหกเกี่ยวกับคลองปานามา “ประธาน

'นักวิชาการส้ม' อัด 'ทรัมป์' ที่ชื่นชม 'ปูติน' เป็นการส่วนตัวมานานแล้ว

รศ.ดร.พิชิต ลิขิตกิจสมบูรณ์ อดีตอาจารย์คณะเศรษฐศาสตร์ มหาวิทยาลัยธรรมศาสตร์ โพสต์ข้อความว่าทรัมป์ชื่นชมปูตินเป็นการส่วนตัวมาน

The Return of Trump กับชะตากรรมอาเซียน! 3 นักวิชาการมธ. ชำแหละเกมมหาอำนาจ

ท่ามกลางกระแสการกลับมาของ ‘โดนัลด์ ทรัมป์’ สู่ทำเนียบขาว 3 นักวิชาการ มธ.วิเคราะห์ผลกระทบที่อาเซียนต้องเผชิญ เมื่อสหรัฐฯ เดินหน้าปรับยุทธศาสตร์อินโด-แปซิฟิก บทบาทของอาเซียนกำลังลดลงหรือเป็นโอกาสต่อรอง

มองศึกเดือด'ทรัมป์-เซเลนสกี' ไทยต้องปรับตัวให้เข้ากับข้อเท็จจริงโลกเพื่อความอยู่รอด

“จักรภพ”วิเคราะห์ศึกเดือด "ทรัมป์-เซเลนสกี"  เป็นความอัปยศของประวัติศาสตร์สากล อุดมการณ์ที่เคยยึดถือถูกกระชากมากระทืบต่อหน้าต่อตา มองไทยต้องปรับตัวให้เข้ากับข้อเท็จจริงโลกที่ผันผวนทางการเมืองระหว่างประเทศ

'เอกนัฏ' มั่นใจ มาตรการขึ้นภาษีเหล็กเข้าสหรัฐฯของ 'ทรัมป์' ไม่กระทบไทย ห่วงสินค้าทะลักเข้ามามากกว่า

ที่ทำเนียบรัฐบาล นายเอกนัฏ พร้อมพันธุ์ รมว.อุตสาหกรรม กล่าวถึงกรณีที่มีรายงานนายโดนัลด์ ทรัมป์ ประธานาธิบดีสหรัฐอเมริกา เตรีย