
ประเทศไทยได้กำหนดเป้าหมายสำคัญในการลดการปล่อยก๊าซเรือนกระจกลง 40% ภายในปี ค.ศ. 2030 พร้อมมุ่งสู่ความเป็นกลางทางคาร์บอน (Carbon Neutrality) ในปี ค.ศ. 2050 และการปล่อยก๊าซเรือนกระจกสุทธิเป็นศูนย์ (Net Zero Emissions) ในปี ค.ศ. 2065 โดยเป้าหมายเหล่านี้สอดคล้องกับแผนขับเคลื่อนการผลิตและการบริโภคที่ยั่งยืน พ.ศ. 2560-2580 ซึ่งเป็นกรอบนโยบายสำคัญที่มุ่งสร้างความสมดุลระหว่างการพัฒนาเศรษฐกิจ การอนุรักษ์ทรัพยากรธรรมชาติ และการลดผลกระทบต่อสิ่งแวดล้อม
แผนดังกล่าวมีเป้าหมายเพื่อส่งเสริมการผลิตและการบริโภคที่คำนึงถึงความยั่งยืนในทุกภาคส่วน เพื่อปรับเปลี่ยนวิธีการผลิตสู่เทคโนโลยีที่มีประสิทธิภาพและลดการปล่อยมลพิษ การใช้พลังงานทดแทน การบริหารจัดการทรัพยากรอย่างคุ้มค่า และการกระตุ้นพฤติกรรมการบริโภคที่เป็นมิตรกับสิ่งแวดล้อม ดังนั้นเป้าหมายลดก๊าซเรือนกระจกของไทยจึงเป็นการนำหลักการของแผนดังกล่าวมาใช้ในระดับนโยบาย โดยเฉพาะในภาคอุตสาหกรรม การเกษตร การจัดการขยะ และการใช้พลังงาน ซึ่งเป็นสาเหตุหลักของการปล่อยก๊าซเรือนกระจก การขับเคลื่อนเป้าหมายเหล่านี้จะช่วยเพิ่มประสิทธิภาพการใช้ทรัพยากร ลดต้นทุนการผลิต และสร้างมูลค่าเพิ่มในสินค้าและบริการที่สอดคล้องกับแนวโน้มการค้าระหว่างประเทศที่ให้ความสำคัญกับความยั่งยืน

ดังนั้นเครือข่ายส่งเสริมการผลิตและการบริโภคที่ยั่งยืน แห่งประเทศไทย (Thai SCP) ร่วมกับกรมการเปลี่ยนแปลงสภาพภูมิอากาศและสิ่งแวดล้อม (สส.) สำนักงานสภานโยบายการอุดมศึกษา วิทยาศาสตร์ วิจัย และนวัตกรรมแห่งชาติ (สอวช.) และพันธมิตร จึงได้จัดการประชุมวิชาการประจำปี ภายใต้หัวข้อ “SCP Implementation through Decarbonization and Multistakeholder Partnership” เพื่อสร้างความรู้ความเข้าใจ ระดมความคิดเห็น และส่งเสริมความร่วมมือของภาคส่วนต่าง ๆ จัดการกับปัญหาการเปลี่ยนแปลงสภาพภูมิอากาศ สร้างผลกระทบเชิงบวกต่อเศรษฐกิจและสิ่งแวดล้อมในระยะยาว

โกเมศ พุทธสอน รองอธิบดีกรมการเปลี่ยนแปลงสภาพภูมิอากาศและสิ่งแวดล้อม กล่าวว่า ประเทศไทยมุ่งมั่นสู่การเป็นประเทศที่มีการปล่อยก๊าซเรือนกระจกสุทธิเป็นศูนย์ (Net Zero) โดยมีการเชื่อมโยงเป้าหมายนี้กับการพัฒนาที่ยั่งยืนตามเป้าหมายที่ 12 ซึ่งมุ่งเน้นการบริโภคและการผลิตอย่างยั่งยืน ผ่านการใช้ทรัพยากรธรรมชาติอย่างมีประสิทธิภาพ การปรับเปลี่ยนรูปแบบการผลิต การให้บริการของภาคธุรกิจ รวมถึงการพัฒนากรอบความคิดและพฤติกรรมของประชาชนให้สอดคล้องกับขีดความสามารถของระบบนิเวศและธรรมชาติ

ดร.วิจารย์ สิมาฉายา นายกสมาคมและประธานเครือข่ายส่งเสริมการผลิตและการบริโภคที่ยั่งยืนแห่งประเทศไทย กล่าวว่า ปัจจุบันโลกใช้ทรัพยากรเกินขีดความสามารถที่จะสร้างใหม่ได้ เทียบเท่ากับการใช้ทรัพยากรธรรมชาติของโลกกว่า 1.7 เท่า ขณะที่หลายประเทศไม่มีทรัพยากรให้นำมาใช้ และประเทศไทยใช้ทรัพยากรที่มีอยู่ไปแล้วกว่า 85% ซึ่งสะท้อนถึงปัญหาสิ่งแวดล้อมรุนแรง ดังนั้นทั่วโลกจึงต้องมาวางแผนกันว่าจะใช้ทรัพยากรที่เหลืออยู่ให้เกิดประโยชน์และยั่งยืนได้ โดยรายงานของ World Economic Forum ระบุว่าความเสี่ยงใหญ่ในอีก 10 ปี คือ การเปลี่ยนแปลงสภาพภูมิอากาศ การแปรปรวนสภาพอากาศสุดขั้ว การสูญเสียความหลากหลายทางชีวภาพ ปัญหามลพิษ และความล้มเหลวในการรับมือกับการเปลี่ยนแปลงสภาพภูมิอากาศ
ดร.วิจารย์ กล่าวต่อว่า จากรายงานของ World Map of the Global Climate Risk Index 2000-2019 ระบุว่า ในแถบกลุ่มประเทศเอเชียตะวันออกเฉียงใต้ ประเทศไทยปล่อยก๊าซเรือนกระจกเป็นอันดับที่ 19 ต่ำกว่า 1% เมื่อเทียบจากการปล่อยในทั่วโลก แต่ถูกจัดลำดับให้เป็นประเทศกลุ่มความเสี่ยงที่จะได้รับผลกระทบจากการเปลี่ยนแปลงสภาพภูมิอากาศเป็นอันดับ 9 และประเทศพม่า อันดับที่ 2 และประเทศฟิลิปปินส์ อันดับที่ 4 และคาดว่า 13 หายนะที่จะทำลายความยั่งยืนตั้งแต่ปี 2024 เป็นต้นไป คือ 1.ภาวะโลกเดือดจากการใช้เชื้อเพลิงฟอสซิล 2.การขาดธรรมาภิบาลด้านสิ่งแวดล้อม 3.สูญเสียความหลากหลายทางชีวภาพ 4.ขยะพลาสติกล้นโลก 5.ขยะอาหารเหลือทิ้ง 6.สูญเสียพื้นที่ป่า 7.อากาศเป็นพิษและฝุ่นควัน 8.ภูเขาน้ำแข็งละลายและระดับน้ำทะเลสูงขึ้นรวดเร็ว 9.สภาวะความเป็นกรดในมหาสมุทร 10.ขาดประสิทธิภาพของเกษตรกรรม 11.ความไม่มั่นคงของอาหารและน้ำ 12.การจับปลาและสัตว์น้ำเชิงอุตสาหกรรมเกินขนาด 13.ขยะเสื้อผ้า

“ดังนั้นไทยจึงตั้งเป้าลดก๊าซเรือนกระจก มุ่งสู่ความเป็นกลางทางคาร์บอน โดยเน้นเศรษฐกิจหมุนเวียน เพื่อใช้ทรัพยากรอย่างคุ้มค่าและลดปัญหาขยะ เช่น การจัดการพลาสติกครบวงจร ส่งเสริม Extended Producer Responsibility (EPR) และการพัฒนา waste hub เครือข่ายการบริโภคฯ ภายใต้แผน SCP ปี 2017-2037 มุ่งสนับสนุนเน้นการใช้ทรัพยากรอย่างมีประสิทธิภาพ การจัดการของเสีย และการส่งเสริมวิถีชีวิตที่เป็นมิตรต่อสิ่งแวดล้อม การจัดซื้อสินค้าและบริการที่เป็นมิตรต่อสิ่งแวดล้อม เป็นต้น เพื่อช่วยลดต้นทุนและสร้างภาพลักษณ์ให้ผู้ผลิต ลดสารพิษสำหรับผู้บริโภค และลดมลพิษต่อสิ่งแวดล้อมความสำเร็จของเครือข่ายมาจากการสนับสนุนของผู้นำ ผู้เชี่ยวชาญ และองค์กรภาคี แต่ยังเผชิญความท้าทายในการดึงคนรุ่นใหม่เข้าร่วมและพัฒนานวัตกรรมที่ตอบโจทย์เป้าหมาย SDGs ในระยะยาว” ดร.วิจารย์ กล่าว
ด้านร่าง พ.ร.บ.การเปลี่ยนแปลงสภาพภูมิอากาศและการขับเคลื่อน(SCP) ดร.กิตติศักดิ์ พฤกษ์กานนท์ ผู้อำนวยการกองยุทธศาสตร์และความร่วมมือระหว่างประเทศ กรมการเปลี่ยนแปลงสภาพภูมิอากาศและสิ่งแวดล้อม กระทรวงทรัพยากรธรรมและสิ่งแวดล้อม กล่าวว่า การเปลี่ยนแปลงสภาพภูมิอากาศ เป็นสาเหตุของภัยพิบัติด้านสภาพอากาศที่อาจทำให้เกิดการสูญเสียทางเศรษฐกิจมูลค่ากว่า 12.5 ล้านล้านดอลลาร์ในปี 2050 ดังนั้นกติกาการค้าของโลกก็เปลี่ยนไปด้วย เช่น ธุรกิจที่ยั่งยืนและเป็นมิตรต่อสิ่งแวดล้อม, การเปลี่ยนผ่านอย่างยุติธรรมและการเปลี่ยนผ่านด้านพลังงาน/ห่วงโซ่อุปทาน/ผลิตภัณฑ์ที่เป็นมิตรต่อสิ่งแวดล้อม, การรายงานการปล่อยมลพิษ และภาษีคาร์บอน เป็นต้น ที่อาจจะมีการหารือในระดับนโยบายเพื่อนำมาปรับใช้ในภาคอุตสาหกรรม กลุ่มธุรกิจต่างๆต่อไป
ดร.กิตติศักดิ์ กล่าวต่อว่า ดังนั้นใน ร่าง พ.ร.บ.การเปลี่ยนแปลงสภาพภูมิอากาศและการขับเคลื่อน(SCP) จะมีการจัดทำอย่างครอบคลุม ตั้งแต่นโยบายการลดก๊าซเรือนกระจก การปรับตัว และ กลไกการเงิน ยกตัวอย่าง แผนในหมวดที่ 4 จากทั้งหมด 14 หมวด ซึ่งมีแผนดำเนินงานจัดตั้งกองทุน มีฐานะเป็นนิติบุคคล ใช้จ่ายเงินเพื่อดำเนินการด้านเปลี่ยนแปลงสภาพภูมิอากาศโดยตรง โดยในปี 2026 จะมีการจัดตั้งกองทุน ที่มาจากรายได้การขายสิทธิในการปล่อยก๊าซเรือนกระจก เงินค่าธรรมเนียมจากการอนุญาตใช้คาร์บอนเครดิตระหว่างประเทศ เงินรายได้จากมาตรการต่างๆ เงินอุดหนุนรัฐ เงินค่าปรับเป็นพินัยตามหมวด ซึ่งคาดว่าตั้งแต่ปี 2027-2030 จะเริ่มมีรายได้ในปี 2031 จาก ETS 5,300 ล้านบาท โดยคาดว่าในเดือนม.ค. 2568 จะเสนอ ครม.เห็นชอบในหลักการเข้าสู่การพิจารณาของคณะกรรมการกฤษฎีกา หลังจากนั้นในช่วงเดือน ก.พ.- ก.ค. 2568 จะนำเข้าสู่การพิจารณของรัฐสภาต่อไป

โดยแผนการปรับตัวต่อการเปลี่ยนแปลงสภาพภูมิอากาศแห่งชาติ ดร.กิตติศักดิ์ เผยว่า การ บูรณาการแผนระดับกระทรวงเพื่อให้เกิดโครงการสำคัญระดับพื้นที่ โดยทำแผนที่ความเสี่ยงเชิงพื้นที่ (ละเอียดสูง) เพื่อระบุผลกระทบ/จัดลำดับความสำคัญพื้นที่เสี่ยงในแต่ละสาขา มีการกำหนดวัตถุประสงค์ ตัวชี้วัด มาตรการแผนงาน โครงการ งบประมาณระยะเวลาและหน่วยงานรับผิดชอบระดับพื้นที่ การพัฒนาแนวทางขับเคลื่อนการดำเนินการตามแผน ร่วมกับหน่วยงานที่เกี่ยวข้อง และ โครงสร้างเชิงสถาบัน กลไกการเงิน การสร้างขีดความสามารถ การติดตามและประเมินผล และอื่นๆ ทั้งนี้การเปลี่ยนผ่านไปสู่เศรและสังคมแบบยั่งยืน จะต้องมีรูปแบบมาตรการและเครื่องมือทางเศรษฐกิจผสมผสาน และครบวงจรทุกห่วงโซ่
ภายในงานการประชุมดังกล่าว ยังเพียบพร้อมไปด้วยวิทยากร ผู้ทรงคุณวุฒิ ผู้บริหาร นักวิชาการ อาทิ Dr. Mushtaq Memon, Regional Coordinator UNEP Asia Pacific Regional ดร.สุรชัย สถิตคุณารัตน์ ผู้อำนวยการสำนักงานสภานโยบายการอุดมศึกษา วิทยาศาสตร์ วิจัย และนวัตกรรมแห่งชาติ (สอวช.) และตัวแทนจากหน่วนงานต่างๆ ไม่ว่าจะเป็น ผู้ว่าราชการจังหวัดสระบุรี องค์การบริหารจัดการก๊าซเรือนกระจก (องค์การมหาชน) สถาบันสิ่งแวดล้อมไทย การไฟฟ้าส่วนภูมิภาค ธนาคารแห่งประเทศไทย ธนาคารเพื่อการเกษตรและสหกรณ์การเกษตร ธนาคารกรุงศรีอยุธยา บริษัท ปูนซีเมนต์ไทย จำกัด (มหาชน) บริษัท เซ็นทรัลพัฒนา จำกัด (มหาชน) บริษัทหลักทรัพย์จัดการกองทุนอีส์สปริง ประเทศไทย จำกัด บริษัท เบเคอร์ แอนด์ เม็คเค็นซี่ จำกัด ฯลฯ เพื่อนำเสนอแนวนโยบาย กลยุทธ์ และประสบการณ์ บทเรียนที่เกี่ยวข้องกับการขับเคลื่อนการลดการปล่อยก๊าซเรือนกระจกสู่เป้าหมายการปล่อยก๊าซเรือนกระจกสุทธิเป็นศูนย์ (Net Zero) อย่างยั่งยืน รวมถึงการเปิดให้ผู้เข้าร่วมการประชุมได้แสดงความคิดเห็นเพื่อร่วมขับเคลื่อนมาตรฐาน กลไกตลาด การจัดซื้อจัดจ้าง และกลยุทธ์การลงทุนสีเขียว ตลอดจนการเสริมสร้างความร่วมมือระหว่างภาคส่วนต่างๆ ในการลดการปล่อยก๊าซคาร์บอน ซึ่งเป็นกลยุทธ์ที่สำคัญในการบรรลุเป้าหมายการลดภาวะโลกร้อน การปรับเปลี่ยนพฤติกรรมการผลิตและบริโภคให้เป็นมิตรกับสิ่งแวดล้อม สามารถช่วยลดการปล่อยก๊าซเรือนกระจกได้อย่างมีประสิทธิภาพ ที่จะช่วยขับเคลื่อนเศรษฐกิจและเพิ่มความยั่งยืนให้กับสังคมในอนาคต .

ข่าวที่เกี่ยวข้อง
“PFP ตอกย้ำความเป็นผู้นำ! ร่วมขับเคลื่อนเศรษฐกิจไทย มุ่งสู่ธุรกิจคาร์บอนต่ำ ตั้งเป้าลดก๊าซเรือนกระจก 20,000 ตัน ในงาน FTI Expo 2025”
พีเอฟพี ผู้นำด้านการผลิตและจัดจำหน่ายผลิตภัณฑ์อาหารทะเลแปรรูปครบวงจร ร่วมแสดงศักยภาพในงาน “FTI Expo 2025” โดยจับมือกับ สภาอุตสาหกรรมแห่งประเทศไทย ภาครัฐ และ
ศูนย์ฯ สิรินาถราชินี สถาบันปลูกป่าและระบบนิเวศ ปตท. รับประกาศเกียรติคุณโครงการสนับสนุนกิจกรรมลดก๊าซเรือนกระจก
เมื่อเร็ว ๆ นี้ - ศูนย์ศึกษาเรียนรู้ระบบนิเวศป่าชายเลนสิรินาถราชินี สถาบันปลูกป่าและระบบนิเวศ ปตท. ได้รับประกาศเกียรติคุณ “โครงการสนับสนุนกิจกรรมลดก๊าซเรือนกระจก
“สมาคมเพื่อนชุมชน” ส่งเสริมองค์กรปกครองส่วนท้องถิ่น ถ่ายทอดองค์ความรู้ แนวทางลดก๊าซเรือนกระจก
สมาคมเพื่อนชุมชน ร่วมมือกับจังหวัดระยอง ภายใต้คณะทำงานด้านการเปลี่ยนแปลงสภาพภูมิอากาศระดับจังหวัด จัดอบรม “แนวทางการจัดทำคาร์บอนฟุตพริ้นท์ ขององค์กรปกครองส่วนท้องถิ่น เพื่อมุ่งสู่สังคมคาร์บอนต่ำ” ดึงผู้เชี่ยวชาญจาก
รัฐบาลลั่น 'ไทย' พร้อมรับมือปัญหาการเปลี่ยนแปลงสภาพภูมิอากาศ
รองโฆษก รบ. เผย ไทยเดินหน้าสู่เป้าหมาย เตรียมพร้อมประเทศในการรับมือแก้ไขปัญหาการเปลี่ยนแปลงทางสภาพภูมิอากาศ
ผอ.สบอ. 11 เร่งดับไฟป่าในพื้นที่ อช.น้ำหนาว และ เขตรักษาพันธุ์สัตว์ป่าภูผาแดง
ผอ.สบอ.11 ลงพื้นที่บัญชาการ สนธิกำลังภาคอากาศและภาคพื้นดิน เร่งดับไฟป่าในพื้นที่ อช.น้ำหนาว และ เขตรักษาพันธุ์สัตว์ป่าภูผาแดง โดยให้มีการนำเฮลิคอปเตอร์ตักน้ำจากอ่างเก็บน้ำห้วยขอนแก่นไปดับไฟป่าในพื้นที่ พร้อมกับหน่วยดับไฟภาคพื้นดิน