เมื่อการเปลี่ยนแปลงสภาพภูมิอากาศกลายเป็นปัญหาที่ส่งผลกระทบต่อโลกในทุกมิติ การหาแนวทางแก้ไขที่มีประสิทธิภาพและยั่งยืนกลายเป็นความท้าทายสำคัญของมนุษยชาติ เทคโนโลยีอวกาศและภูมิสารสนเทศจึงเข้ามามีบทบาทสำคัญในการสนับสนุนการลดผลกระทบและฟื้นฟูสมดุลสิ่งแวดล้อม การนำข้อมูลจากดาวเทียมมาประยุกต์ใช้เพื่อการติดตาม ตรวจสอบ และรายงานสถานการณ์ทางสิ่งแวดล้อมเป็นหัวใจของความก้าวหน้าทางเทคโนโลยีและนวัตกรรมที่จะเข้ามาช่วยเป็นกลไกในการหาต้นเหตุและแนวทางการป้องกัน
ล่าสุดในงานสัมมนา “Carbon Atlas 2024” ภายใต้แนวคิด “Satellite – Powered Carbon MRV for Climate Action” นวัตกรรมการติดตาม ตรวจสอบ และรายงาน (Monitoring, Reporting, Verification: MRV) ที่จัดขึ้นโดยสำนักงานพัฒนาเทคโนโลยีอวกาศและภูมิสารสนเทศ (องค์การมหาชน) หรือ GISTDA ภายใต้กระทรวงการอุดมศึกษา วิทยาศาสตร์ วิจัยและนวัตกรรม (อว.) มีภาคส่วนต่างๆร่วมนำเสนอนวัตกรรมในการขับเคลื่อนประเทศไทยสู่ความเป็นกลางทางคาร์บอน (Carbon Neutrality) และการปล่อยก๊าซเรือนกระจกสุทธิเป็นศูนย์ (Net Zero Emission) ด้วยเทคโนโลยีอวกาศและภูมิสารสนเทศ
ดร.ศิริลักษณ์ พฤกษ์ปิติกุล รองผู้อำนวยการ GISTDA กล่าวว่า การใช้เทคโนโลยีภูมิสารสนเทศร่วมกับดาวเทียมมีบทบาทสำคัญในการตรวจสอบ ติดตาม และรายงาน (Satellite-based Carbon MRV) การเปลี่ยนแปลงทรัพยากรธรรมชาติ เช่น พื้นที่ป่าไม้ ป่าชายเลน และพื้นที่การเกษตร อีกทั้งยังช่วยประเมินศักยภาพการกักเก็บคาร์บอนในพื้นที่ป่าและเกษตรกรรม รวมถึงติดตามการปล่อยก๊าซเรือนกระจกจากการเผาไหม้ ซึ่งข้อมูลเหล่านี้มีส่วนสำคัญต่อการวางแผนและกำหนดนโยบายด้านสิ่งแวดล้อมของประเทศ
รองผู้อำนวยการ GISTDA กล่าวว่าต่อว่า ปัจจุบัน GISTDA กำลังปรับเปลี่ยนกระบวนการตรวจสอบคาร์บอนเครดิตจากระบบเดิมที่อาศัยการวัดและสำรวจด้วยมนุษย์ หรือที่เรียกว่า Monitoring, Reporting, Verification (MRV) ไปสู่การใช้เทคโนโลยีดิจิทัลที่ล้ำสมัยมากขึ้น ภายใต้แนวคิด Digital Monitoring, Reporting, Verification (DMRV) ซึ่งรวมถึงการนำอุปกรณ์ที่ทันสมัย เช่น เครื่องสแกน 3 มิติ (3D Scanner), อุปกรณ์ LiBackpack และโดรน LiDAR มาใช้ในการเก็บข้อมูลอย่างแม่นยำและมีประสิทธิภาพมากขึ้น
โดยหน่วยงานภาครัฐและภาคเอกชน ได้ประยุกต์ใช้ข้อมูลเพื่อเพิ่มพื้นที่ปลูกป่า ป้องกันไฟป่า และเพิ่มศักยภาพในการกักเก็บคาร์บอน รวมถึงการการพัฒนาแบบจำลองการประเมินการกักเก็บคาร์บอนในพื้นที่ร่วมกันในอนาคตให้มีความถูกต้อง แม่นยำ และครอบคลุมพื้นที่ขนาดใหญ่ได้รวดเร็วอีกด้วย นอกจากนี้ GISTDA ยังร่วมมือกับมูลนิธิแม่ฟ้าหลวงในพัฒนาแนวทางและวิธีการที่เหมาะสมสำหรับป่าชุมชนเพื่อสร้างรายได้จากคาร์บอนเครดิตตามมาตรฐาน T-VER และ Premium T-VER
“GISTDA ยังได้สนับสนุนการใช้ข้อมูลที่ถูกต้องและตรวจสอบได้ เพื่อใช้ในรายงานระดับประเทศ (National Communication: NC) และรายงานความก้าวหน้ารายสองปี (Biennial Update Report: BUR) ที่เกี่ยวกับการลดผลกระทบจากการเปลี่ยนแปลงสภาพภูมิอากาศ ทั้งในประเทศและระดับโลก โดยมุ่งไปสู่เป้าหมายความเป็นกลางทางคาร์บอน นอกจากนี้ยังร่วมกับองค์การบริหารจัดการก๊าซเรือนกระจก (TGO) เพื่อพัฒนาหลักสูตรที่ช่วยเพิ่มประสิทธิภาพในการจัดการด้านสิ่งแวดล้อม การเสวนาในครั้งนี้จึงถือเป็นอีกก้าวสำคัญที่เกิดจากความร่วมมือของหลายฝ่าย ซึ่งจะช่วยปรับปรุงการจัดการทรัพยากรธรรมชาติและสิ่งแวดล้อมในประเทศ เพื่อให้คนไทยมีชีวิตที่ดีขึ้น และช่วยลดผลกระทบจากการเปลี่ยนแปลงสภาพภูมิอากาศในระดับโลกอย่างยั่งยืน” รองผู้อำนวยการ GISTDA กล่าวว่า
เป้าหมายในการลดก๊าซเรือนกกระจกในไทย ศิวัช แก้วเจริญ ผู้อานวยการกองขับเคลื่อนการลดก๊าซเรือนกระจก กรมการเปลี่ยนแปลงสภาพภูมิอากาศและสิ่งแวดล้อม กล่าวว่าประเทศไทยได้กำหนดเป้าหมายสำคัญในการลดการปล่อยก๊าซเรือนกระจก โดยแบ่งเป็นสองช่วงหลัก คือ การบรรลุ Carbon Neutrality ภายในปี 2050 และการลดการปล่อยก๊าซเรือนกระจกทุกชนิดให้เป็นศูนย์( Net Zero)ภายในปี 2065 การตั้งเป้าหมายนี้พิจารณาจากศักยภาพของประเทศและแหล่งปล่อยก๊าซเรือนกระจกที่สำคัญ ซึ่งพบว่าภาคพลังงานเป็นแหล่งปล่อยคาร์บอนไดออกไซด์สูงสุด คิดเป็นประมาณ 70% ของการปล่อยก๊าซทั้งหมด ขณะที่ภาคเกษตรกรรมและของเสียมีการปล่อยก๊าซมีเทนในสัดส่วน 80-90%
“จากข้อมูลในปี 2021 ประเทศไทยมีการปล่อยก๊าซเรือนกระจกรวม 367 ล้านตัน แม้จะมีมาตรการลดก๊าซเรือนกระจกผ่าน NDC (Nationally Determined Contribution) ซึ่งสามารถลดได้ 60 ล้านตัน แต่ยังไม่เพียงพอต่อเป้าหมายที่จะต้องลดลงให้ได้กว่า 200 ล้านตัน หรือเฉลี่ย 30-40%ภายในปี 2030 เพื่อบรรลุเป้าหมายดังกล่าว ประเทศไทยจึงกำหนดให้ มีค่าการปล่อยก๊าซเรือนกระจกสูงสุด ในปี 2025 (Peaking Year) เท่ากับ 368 MtCO2eq เป็นปีที่การปล่อยก๊าซเรือนกระจกต้องถึงจุดสูงสุด และจากนั้นจะลดลงอย่างต่อเนื่องตามมาตรการที่วางไว้ โดยเป้าหมายคือการจำกัดการปล่อยก๊าซเรือนกระจกไม่ให้เกินค่าที่กำหนดจากปี Peaking Year เพื่อให้การลดลงเป็นไปอย่างมีประสิทธิภาพและสามารถบรรลุเป้าหมายในปี 2030 ได้สำเร็จ เป้าหมายเหล่านี้สะท้อนถึงความมุ่งมั่นของประเทศไทยในการลดผลกระทบจากก๊าซเรือนกระจก และการร่วมมือกับนานาประเทศเพื่อรับมือกับความท้าทายด้านสิ่งแวดล้อมในระดับโลก” ศิวัช กล่าว
ด้านชมภูนุช ฉายาเวช นักพัฒนานวัตกรรม GISTDA กล่าวว่า นวัตกรรมเทคโนโลยีภูมิสารสนเทศและภาพถ่ายดาวเทียมมีบทบาทสำคัญในการประเมินการดูดซับและปลดปล่อยก๊าซคาร์บอนไดออกไซด์ในระบบนิเวศ ทั้งป่าไม้และภาคการเกษตร โดยใช้ข้อมูลภาพถ่ายดาวเทียม สภาพภูมิอากาศที่ส่งผลต่อการเจริญเติบโตของพืช และการตรวจวัดภาคพื้น ซึ่งสามารถวัดการดูดซับหรือปลดปล่อยก๊าซได้ตลอด 24 ชั่วโมง โดยการพัฒนาแอปพลิเคชั่น Check Carbon ซึ่งเป็นนำข้อมูลทั้งหมดถูกประมวลผลด้วย AI และ Machine Learning ที่ให้บริการฟรี ฟีเจอร์ในแอปพลิเคชัน ประกอบด้วย การแสดงสถานการณ์การดูดซับและปลดปล่อยก๊าซในบรรยากาศแบบรายเดือนในภาพรวมประเทศ ซึ่งแถบสีส้ม จะแสดงพื้นที่ปลดปล่อยคาร์บอน ส่วนแถบสีฟ้า จะแสดงพื้นที่ดูดซับคาร์บอน
ชมภูนุช กล่าวต่อว่า ในแอปจะแสดงข้อมูลการดูดซับและปลดปล่อยก๊าซในระดับภูมิภาค จังหวัด หรือพืชแต่ละชนิด เช่น ยางพารา ข้าว อ้อย ข้าวโพด มันสำปะหลัง และป่าไม้ จากสถิติรวมที่ผ่านมาในเดือนปัจจุบัน ประเทศไทยสามารถดูดซับก๊าซคาร์บอนไดออกไซด์ได้ประมาณ 103 ล้านตัน แอปพลิเคชันนี้จะช่วยให้ทุกภาคส่วนสามารถติดตามและวางแผนเพื่อลดการปลดปล่อยก๊าซและส่งเสริมการดูดซับก๊าซได้อย่างมีประสิทธิภาพ
ผู้เชี่ยวชาญจาก NASA Dr.Lesley OTT Leads, Carbon group within the Global Modeling and Assimilation Office,NASA กล่าวว่า ไฟป่าที่เกิดขึ้นนั้นเป็นผลมาจากทั้งปัจจัยทางธรรมชาติและกิจกรรมของมนุษย์ โดยเฉพาะในพื้นที่ตะวันตกของสหรัฐอเมริกา เทคโนโลยีดาวเทียมจึงมีบทบาทสำคัญด้านสิ่งแวดล้อม เช่น GEDI (Global Ecosystem Dynamics Investigation) ที่ช่วยวัดโครงสร้างและความหนาแน่นของป่าไม้ทั่วโลกอย่างละเอียด ในการประเมินการปล่อยและการดูดซับคาร์บอน รวมถึงติดตามการเปลี่ยนแปลงของธารน้ำแข็ง ขณะเดียวกันดาวเทียม OCO-2 (Orbiting Carbon Observatory-2) ช่วยให้นักวิทยาศาสตร์วัดก๊าซคาร์บอนไดออกไซด์ในระดับโลกได้ แม้ในพื้นที่ที่เข้าถึงยาก เช่น อเมริกาใต้
ผู้เชี่ยวชาญ NASA กล่าวถึงประเทศไทยว่า ไทยมีศักยภาพในการวิเคราะห์และเปรียบเทียบแผนที่หลายรูปแบบ โดยเฉพาะด้านการเปลี่ยนแปลงของพื้นที่ธรรมชาติ ซึ่งช่วยคำนวณการปล่อยก๊าซคาร์บอนอย่างแม่นยำ ปัจจุบันโครงการนำร่องด้านนี้กำลังพัฒนาและเชื่อมโยงกับงานวิจัยสำคัญในเอเชียตะวันออกเฉียงใต้ และยังมีการพัฒนาเครื่องมือใหม่ เช่น การแจ้งเตือนคุณภาพอากาศและสภาพอากาศรุนแรง เพื่อช่วยติดตามการเปลี่ยนแปลงของระบบนิเวศและวงจรคาร์บอน โดยมีการเผยแพร่ผ่านเว็บไซต์ ให้ผู้ใช้งานเข้าถึงได้ง่าย
นอกจากนี้ยังมีนวัตกรรมที่น่าสนใจ อาทิ dMRV จากบริษัท Spirocarbon แพลตฟอร์มในการจัดเก็บข้อมูลกิจกรรมการปลดปล่อยคาร์บอน และการซื้อขายคาร์บอนI, Carbon Watch จาก Thaicom แอปพลิเคชันการประเมินการกักเก็บคาร์บอนในภาคป่าไม้, LiDAR จาก บริษัท ดีพร้อมงานสำรวจ จำกัด เป็นเทคโนโลยีการสำรวจระยะไกลในพื้นที่ป่าไม้ และอีกมากมาย
ข่าวที่เกี่ยวข้อง
GISTDA เผยน้ำท่วมขังในสุโขทัยยังสูงกว่า 1.3 แสนไร่
ภาพจากดาวเทียมพบท่วมขังกว่า 1.3 แสนไร่ในพื้นที่บางส่วน 3 อำเภอของสุโขทัย
GISTDA เผยภาพดาวเทียม พื้นที่น้ำท่วมในจังหวัดแพร่
GISTDA เผยภาพจาก THEOS-2 เห็นมวลน้ำบางส่วนที่ยังตกค้างอยู่ในจังหวัดแพร่
ดีพร้อม ผนึกกำลัง GISTDA ติดปีกอุตสาหกรรมอนาคต ด้วยเศรษฐกิจอวกาศ จับมือสองกระทรวงขับเคลื่อนอุตสาหกรรมไทยสู่โลกอนาคต
กรมส่งเสริมอุตสาหกรรม หรือ ดีพร้อม (DIPROM) กระทรวงอุตสาหกรรม ผนึกกำลัง สำนักงานพัฒนาเทคโนโลยีอวกาศและภูมิสารสนเทศ (องค์การมหาชน) หรือ GISTDA กระทรวงการอุดมศึกษา วิทยาศาสตร์ วิจัย และนวัตกรรม
ป.ป.ช. ฟันอาญา-ผิดวินัยร้ายแรง 'ดร.อานนท์' อดีตผอ. GISTDA เอารถหลวงไปใช้ส่วนตัว
นายนิวัติไชย เกษมมงคล เลขาธิการคณะกรรมการป้องกันและปราบปรามการทุจริตแห่งชาติ(ป.ป.ช.) แถลงว่า คณะกรรมการ ป.ป.ช.มีมติชี้มูลความผิดนายอานนท์ สนิทวงศ์ ณ อยุธยา เมื่อครั้งดำรงตำแหน่งผู้อำนวยการสำนักงานพัฒนาเทคโนโลยี อวกาศและภูมิสารสนเทศ
GISTDA แนะรับมือพายุสนามแม่เหล็กโลกระดับสูงสุด
GISTDA สำนักงานพัฒนาเทคโนโลยีอวกาศและภูมิสารสนเทศ (องค์การมหาชน) ตั้งแต่ค่ำคืนวันที่ 10 พฤษภาคม 2567 เวลา 4 ทุ่มโดยประมาณตามเวลาประเทศไทย มนุษย์กำลังเผชิญกับพายุสนามแม่เหล็กโลกที่กระทบโลกรุนแรงเป็นนับตั้งแต่มีการติดตามสภาพอวกาศ
"อว. ดันอวกาศสุดตัวอีกระลอก จัดงาน Thailand Space Week ยิ่งใหญ่ ศุภมาสฯ พร้อมผลักดันให้เป็นมหกรรมการขับเคลื่อนเศรษฐกิจอวกาศของประเทศ หลังนักธุรกิจไทย-ต่างชาติตบเท้าเข้าร่วมงานเกินคาด”
กระทรวงการอุดมศึกษา วิทยาศาสตร์ วิจัยและนวัตกรรม หรือ อว. โดยสำนักงานพัฒนาเทคโนโลยีอวกาศและภูมิสารสนเทศ หรือ GISTDA และบริษัท ไทยคม จำกัด พร้อมด้วยหน่วยงานพันธมิตรด้านอวกาศทั้งในและต่างประเทศ จัดงาน Thailand Space Week 2023