นวัตกรรมเลี้ยงหอยนางรม พัฒนาชุมชนชายฝั่งตรังสู่ความยั่งยืน  

การเลี้ยงหอยนางรมให้ผลผลิตมากกว่าเดิม3-5เท่า

การบริโภคหอยนางรมในไทยมีแนวโน้มเพิ่มขึ้น โดยเฉพาะในกลุ่มผู้บริโภคที่มองหาผลิตภัณฑ์อาหารที่ดีต่อสุขภาพและมีคุณค่าทางโภชนาการสูง เนื่องจากหอยนางรมเป็นแหล่งโปรตีนที่ดี มีแร่ธาตุและวิตามินหลายชนิดทำให้ประเทศไทยมีการบริโภคหอยนางรมประมาณ 30,000-40,000 ตันต่อปี

ข้อมูลจากกรมประมง ระบุถึงสถิติ  มีการนำเข้าหอยนางรมจากต่างประเทศประมาณ 20,000-30,000 ตัน เพื่อรองรับความต้องการที่สูงขึ้น  ในขณะที่ผลผลิตภายในประเทศไม่เพียงพอที่จะตอบสนองความต้องการของผู้บริโภค เนื่องจากเกษตรกรผู้เพาะเลี้ยงส่วนใหญ่ยังใช้วิธีการเลี้ยงแบบดั้งเดิม ซึ่งมีประสิทธิภาพการผลิตที่ต่ำ จึงเป็นโจทย์สำคัญให้หน่วยบริหารและจัดการทุนด้านการพัฒนาระดับพื้นที่ (บพท.) ร่วมกับมหาวิทยาลัยเทคโนโลยีราชมงคลศรีวิชัย วิทยาลัยเขตตรัง นำงานวิจัยเข้ามาใช้สร้างนวัตกรรมการเพาะเลี้ยงหอยนางรม ให้กับกลุ่มเกษตรกรในพื้นที่

ดร.สุพัชชา ชูเสียงแจ้ว  หัวหน้าโครงการ

ผู้ช่วยศาสตราจารย์ ดร.สุพัชชา ชูเสียงแจ้ว อาจารย์ประจำคณะวิทยาศาสตร์และเทคโนโลยีการประมง มหาวิทยาลัยเทคโนโลยีราชมงคลศรีวิชัย วิทยาเขตตรัง หัวหน้าโครงการเลี้ยงหอยนางรมในชุมชนชายฝั่งภายใต้ ซึ่งมีบทบาทสำคัญในการส่งเสริมการเลี้ยงหอยนางรมในชุมชนชายฝั่งของประเทศไทย กล่าวว่า การเลี้ยงหอยนางรมในประเทศไทยยังคงเผชิญกับปัญหาหลายด้าน ทั้งเรื่องการขาดแคลนองค์ความรู้ การเข้าถึงเทคโนโลยี การจัดการพื้นที่ และการตลาด  ซึ่งต่อยอดมาจาก โครงการวิจัยการพัฒนาระบบการเลี้ยงหอยนางรมแบบความหนาแน่นสูงเพื่อยกระดับเศรษฐกิจชุมชนลุ่มน้ำปะเหลียน ตำบลวังวน อำเภอกันตัง จังหวัดตรัง ภายใต้แผนงานนวัตกรรมพัฒนาพื้นที่เพื่อยกระดับเศรษฐกิจฐานรากและหนุนเสริมผู้ประกอบการชุมชนในเขตพื้นที่ลุ่มน้ำปะเหลียน จังหวัดตรัง และลุ่มน้ำทะเลสาบสงขลา จังหวัดสงขลา โดยถ่ายทอดเทคโนโลยีและองค์ความรู้ด้านการเลี้ยงหอยนางรมให้กับชุมชนชายฝั่งมากว่า 20 ปี

“โครงการเดิม การเลี้ยงหอยนางรมในตะแกรงพลาสติกหลายชั้น แต่เมื่อเวลาผ่านไปและการวิจัยพัฒนาเกิดขึ้นอย่างต่อเนื่อง โครงการได้ปรับเปลี่ยนเทคนิคและรูปแบบการเลี้ยงให้สอดคล้องกับความต้องการและความสามารถของผู้ใช้งานในชุมชน”

โครงการเลี้ยงหอยนางรมเริ่มต้นขึ้นในปี 2563 โดยมุ่งเน้นการวิจัยและพัฒนาในห้องปฏิบัติการเพื่อตอบสนองปัญหาการเลี้ยงหอยนางรมในพื้นที่ชายฝั่ง ต่อมาได้ขยายผลไปยัง 6 ชุมชนบ่อหินและบ้านแหลม เป้าหมายคือเพื่อสร้างความเข้าใจและเพิ่มมูลค่าให้กับการเลี้ยงหอยนางรม เพื่อช่วยให้เกษตรกรมีรายได้และความมั่นคงทางเศรษฐกิจมากขึ้น  ซึ่งเป้าหมายหลักของโครงการคือ“การปรับปรุงวิธีการเลี้ยงให้ทันสมัย”โดยเปลี่ยนจากการใช้ตะแกรงพลาสติกหลายชั้นที่ซับซ้อน มาเป็นการใช้ตะกร้าร่วมกับตะแกรง ซึ่งทำให้การจัดการง่ายขึ้นและสามารถเพิ่มผลผลิตได้มากถึง 3-5 เท่าในพื้นที่เท่าเดิม อีกทั้งยังช่วยให้เกษตรกรทำงานได้สะดวกขึ้น ลดต้นทุน และเพิ่มประสิทธิภาพในการจัดการ โดยเกษตรกรสามารถเลี้ยงหอยนางรมได้ถึง 500 ตัว ในตะกร้าเดียวกัน เปลือกหอยมีลักษณะเรียบสวยทำให้เนื้อหอยมีความสมบูรณ์ ขณะที่วิธีการเลี้ยงแบบเก่าที่ใช้วิธีการเลี้ยงแบบพวงอุบะแขวน ให้ผลผลิตต่ำกว่าเปลือกหอยงองุ้มทำให้เนื้อหอยไม่สวย

กระชังเลี้ยงหอยนางรม

หลังจากประสบความสำเร็จในพื้นที่นำร่อง โครงการเลี้ยงหอยนางรมได้ขยายไปยัง 11 ชุมชนในจังหวัดตรัง โดยมุ่งเน้นการพัฒนาเครือข่ายการเลี้ยงหอยนางรมระหว่างชุมชน ทั้งด้านการผลิตและการจัดจำหน่าย นอกจากนี้ ยังมีการจัดอบรมและติดตามผลเกษตรกรทุกเดือน เพื่อให้เกิดการพัฒนาอย่างต่อเนื่อง

“การสร้างเครือข่ายชุมชนและการสื่อสารผ่านกลุ่ม LINE ช่วยให้เรามองเห็นความก้าวหน้าของแต่ละชุมชนได้ชัดเจน ชุมชนสามารถแลกเปลี่ยนประสบการณ์และแนวทางในการแก้ปัญหากันได้ ขณะเดียวกันผู้นำชุมชนมีวิสัยทัศน์และความกระตือรือร้นสามารถดึงดูดการร่วมมือกันระหว่างชุมชน ทำให้เห็นการพัฒนาได้อย่างรวดเร็ว”

นอกจากการเลี้ยงหอยนางรมแล้ว โครงการยังได้สร้างเครือข่ายชุมชนเพื่อขยายตลาดให้กับเกษตรกร โดยเชื่อมโยงชุมชนที่ไม่มีตลาดรองรับผลผลิตในการจำหน่ายหอยนางรมร่วมกับชุมชนที่มีตลาดรองรับ ทำให้เกษตรกรสามารถขายหอยนางรมได้ในราคาที่ดีกว่าการรับซื้อจากพ่อค้าคนกลางและเพิ่มรายได้ให้กับครอบครัว

เครื่องคัดแยกขนาดหอยนางรม วัตถุดิบหาง่าย ใช้สะดวก ซ่อมง่าย

ขณะเดียวกัน ความสำเร็จของโครงการนี้ไม่ได้วัดจากจำนวนผลผลิตที่เพิ่มขึ้นเพียงอย่างเดียวเท่านั้น แต่ยังวัดจากการเปลี่ยนแปลงทัศนคติและแนวคิดของเกษตรกร ที่เริ่มเห็นความสำคัญของการจัดการหอยนางรมอย่างมีระบบอีกด้วย

นายมานิต ภักดีย่อง นวัตกรชุมชน กล่าวว่า องค์ความรู้จากนักวิจัยเข้ามาช่วยเติมเต็มการเลี้ยงหอยนางรมได้สมบูรณ์แบบ เนื่องจากที่ผ่านมา เลี้ยงหอยนางรมเป็นอาชีพเสริมแบบลองผิดลองถูก   ตนเองเชื่อในความรู้ที่อาจารย์บอกเพราะอาจารย์เป็นนักวิจัย ส่วนเราเป็นชาวบ้านที่แม้ว่าเคยเลี้ยงหอยนางรมมาแล้วแบบเก่า แต่เชื่อว่าองค์ความรู้จากงานวิจัยเป็นสิ่งที่ดีกว่าความรู้ที่มีอยู่ เพราะเห็นความแตกต่างระหว่างการเลี้ยงแบบพวงและเลี้ยงแบบตะกร้า อีกอย่างงานวิจัยของอาจารย์เข้ามาเติมเต็มทำให้เกษตรกรมีความรู้ในอาชีพที่ลึกขึ้น และสามารถคิดต่อยอดปรับเปลี่ยนเพื่อให้ได้ผลผลิตที่มากขึ้น

ในอนาคต ผศ.ดร.สุพัชชา มีแผนที่จะขยายการผลิตหอยนางรมในโรงเพาะฟักของมหาวิทยาลัย ปัจจุบันสามารถผลิตได้เพียง 50,000 ตัวต่อปี  เนื่องจาก สิ่งที่มหาวิทยาลัยทำได้ในตอนนี้ยังไม่เพียงพอต่อความต้องการของตลาดในประเทศ เรามองว่าโรงเพาะฟักและการผลิตเชิงพาณิชย์จะเป็นกุญแจสำคัญในการแก้ปัญหาการขาดแคลนหอยนางรมในตลาดในระยะยาว โดยมุ่งหวังที่จะให้เกษตรกรในชุมชนสามารถดำเนินการได้ด้วยตนเอง ด้วยการฝึกอบรมและถ่ายทอดองค์ความรู้ ทำให้เกษตรกรมีความสามารถในการดูแลและจัดการหอยนางรมอย่างเป็นระบบ

โรงเพาะเลี้ยงหอยนางรมของ มทร.ศรีวิชัย1

บทเรียนสำคัญจากโครงการเลี้ยงหอยนางรมไม่เพียงแต่ช่วยเพิ่มผลผลิตในประเทศ แต่ยังสะท้อนถึงความสำคัญของการทำงานร่วมกันระหว่างนักวิจัย มหาวิทยาลัย กับชุมชน การสร้างเครือข่ายการตลาด และการพัฒนาผู้นำในชุมชน สู่การบูรณาการความรู้ทางวิชาการกับประสบการณ์ของเกษตรกรเป็นแนวทางที่สำคัญในการต่อยอดให้โครงการสามารถพัฒนาและประสบความสำเร็จอย่างยั่งยืนในระยะยาว.

เพิ่มเพื่อน

ข่าวที่เกี่ยวข้อง

ตรังทำลายอาวุธปืน 95 กระบอกผวาถูกรีไซเคิลใช้ช่วงเลือกตั้ง

ตำรวจภูธรตรังทำลายอาวุธปืนของกลางช่วงระดมกวาดล้างอาชญากรรมก่อนการเลือกตั้ง 95 กระบอก ที่ศาลได้มีคำพิพากษาถึงที่สุดและสั่งริบของกลางให้ตกเป็นของแผ่นดิน ประจำปี 2566

รัฐบาลลุยติดดาบเรื่องวิทยาศาสตร์และเทคโนโลยีเชิงลึกให้ผู้ประกอบการ

รัฐบาลเดินหน้าสนับสนุน Deep Tech Startup เร่งติดอาวุธให้ผู้ประกอบการ เพิ่มศักยภาพประเทศ -เสริมขีดความสามารถในการแข่งขันระดับนานาชาติ

ดูเป็นเยี่ยงอย่าง! ตรังไล่ออกผู้อำนวยการใช้รถหลวงเสมือนรถส่วนตัว

'ตรัง' เอาจริง ไล่ออก ผอ.กองสวัสดิการสังคมเทศบาลนครตรัง นำรถหลวงไปบ้านเมีย เบิกน้ำมันหลวงเดือนละ 100 ลิตร ยาวนานกว่า 8 ปี

'บพท.'ในสังกัดอว.จับมือ 20 มหาวิทยาลัยสร้าง LE Financing ชุบชีวิตธุรกิจชุมชน ที่ได้รับผลกระทบจากโควิด

พบธุรกิจชุมชนที่เข้าร่วม 630 แห่ง และได้รับความเดือดร้อนจากการระบาดของโควิด สามารถกลับมาดำเนินกิจการได้ราบรื่น 94% ภายใน 45 วัน