คนยากจนในไทยรู้สึก ถูกเลือกปฏิบัติมากกว่ากลุ่มอื่น 3 เท่า

ในวันขจัดความยากจนสากลของปีนี้ (International Day for the Eradication of Poverty  หรือ #EndPoverty Day) ซึ่งตรงกับวันที่ 17 ตุลาคมของทุกปี องค์การยูนิเซฟได้เน้นย้ำถึงปัญหาการตีตราและการเลือกปฏิบัติต่อผู้ที่ยากจน โดยในประเทศไทย ผลสำรวจสถานการณ์เด็กและสตรีทั่วประเทศ ซึ่งจัดทำโดยสำนักงานสถิติแห่งชาติและยูนิเซฟ พบว่า ประชาชนรู้สึกว่าตนเองถูกเลือกปฏิบัติเพราะความยากจนมากกว่าสาเหตุอื่น ๆ เช่น อายุ เพศ ศาสนา หรือความพิการ ถึง 3 เท่า

นางคยองซอน คิม ผู้อำนวยการองค์การยูนิเซฟ ประเทศไทย กล่าวว่า ความยากจนไม่ใช่แค่เรื่องการขาดเงินหรือทรัพยากร แต่ยังเชื่อมโยงกับการถูกตีตราและกีดกันทางสังคม เด็กจากครอบครัวยากจนมักขาดโอกาสในการเข้าถึงการศึกษา การรักษาพยาบาล และการคุ้มครอง ซึ่งส่งผลให้พัฒนาการถูกจำกัดและตกอยู่ในวงจรความยากจนข้ามรุ่น อีกทั้งยังมักถูกตำหนิและได้รับการปฏิบัติอย่างไม่เป็นธรรม หากเราต้องการสร้างสังคมที่เป็นธรรมและก้าวหน้า เราต้องยุติการตีตราและสร้างหลักประกันว่าเด็กทุกคนจะสามารถเข้าถึงสิทธิของตนและอยู่ในสภาพแวดล้อมที่ส่งเสริมและเกื้อกูล โดยไม่คำนึงถึงฐานะทางเศรษฐกิจ

การศึกษาในประเทศที่พัฒนาแล้วและกำลังพัฒนา พบว่า คนยากจนมักถูกปฏิบัติอย่างไม่เป็นธรรม เนื่องจากปัจจัยต่าง ๆ เช่น รูปลักษณ์ ที่อยู่อาศัย หรือลักษณะส่วนบุคคลอื่น ๆ ทำให้พวกเขารู้สึกถูกตีตรา ไม่ได้รับความเคารพ และไร้อำนาจต่อรอง สถานการณ์นี้ยิ่งรุนแรงขึ้นสำหรับผู้ที่ถูกเลือกปฏิบัติด้านอื่นด้วย เช่น เพศสภาพ วิถีทางเพศ เชื้อชาติ หรือชาติพันธุ์

 “ทุกคนมีความเสี่ยงที่จะตกอยู่ในความยากจน โดยกลุ่มที่เปราะบางเป็นพิเศษคือ ครอบครัวที่มีลูก ครอบครัวที่มีรายได้ทางเดียว คนที่มีหนี้สินหรือไม่มีเงินออม และครอบครัวที่ดูแลลูกที่พิการ นอกจากนี้ เหตุการณ์วิกฤตในชีวิต เช่น การเจ็บป่วย การตกงาน หรือภัยพิบัติ เช่น น้ำท่วม อาจทำให้คนตกอยู่ในความยากจนอย่างกะทันหันได้”นางคิมกล่าว

 การศึกษาทั่วโลกพบว่า คนยากจนมักเผชิญปัญหาจากหน่วยงานที่ควรช่วยเหลือพวกเขา โดยบริการหลายส่วนไม่ตอบสนองความต้องการของคนกลุ่มนี้อย่างมีประสิทธิภาพ ทำให้พวกเขารู้สึกไร้อำนาจและถูกทอดทิ้ง บ่อยครั้งที่หน่วยงานต่าง ๆ กลับกีดกันไม่ให้พวกเขาเข้าถึงสิทธิขั้นพื้นฐานและบริการจำเป็น เช่น การศึกษา การดูแลสุขภาพ และการคุ้มครองทางสังคม

ประสบการณ์ของยูนิเซฟทั่วโลกพบว่า การคุ้มครองทางสังคมที่ครอบคลุม การศึกษา และการดูแลสุขภาพ เป็นกุญแจสำคัญในการทำลายวงจรความยากจน โครงการคุ้มครองทางสังคมและเงินอุดหนุนได้พิสูจน์ให้เห็นว่าสามารถช่วยลดความยากจนและช่วยให้ครอบครัวสามารถลงทุนในการศึกษาและสุขภาพของเด็กได้ นอกจากนี้ ยังช่วยให้ครอบครัวรับมือกับวิกฤตเศรษฐกิจและพึ่งพาตนเองได้ในระยะยาว

ในประเทศไทย โครงการเงินอุดหนุนเพื่อการเลี้ยงดูเด็กแรกเกิดในปัจจุบันมุ่งเน้นให้เงินอุดหนุนรายเดือนแก่เด็กอายุน้อยกว่า 6 ปีในครอบครัวยากจน อย่างไรก็ตาม ข้อมูลล่าสุดพบว่าเด็กยากจนร้อยละ 34 ทั่วประเทศกลับไม่ได้รับเงินอุดหนุนรายเดือนตามสิทธิ์ เนื่องจากปัญหาการคัดกรองและการลงทะเบียน ยูนิเซฟจึงเรียกร้องให้มีการขยายโครงการนี้ให้ครอบคลุมเด็กอายุต่ำกว่า 6 ปีทุกคนเพื่อแก้ปัญหาการตกหล่น อีกทั้งยังช่วยลดความยากจนและช่วยให้เด็กได้เริ่มต้นชีวิตอย่างดีที่สุด

นอกจากนี้ ยูนิเซฟยังรณรงค์ให้ทุกภาคส่วนร่วมมือกันยุติการตีตราและเลือกปฏิบัติต่อคนยากจน พร้อมทั้งสร้างหลักประกันว่า ระบบและนโยบายต่าง ๆ จะตอบสนองความต้องการและช่วยให้พวกเขารู้สึกมีคุณค่าและมีศักดิ์ศรี

เพิ่มเพื่อน

ข่าวที่เกี่ยวข้อง

สำนักงานสถิติแห่งชาติ จัดกิจกรรมส่งเสริมและสนับสนุน A Good Digital Citizen “ก้าวไปสู่ความเป็นพลเมืองดิจิทัลที่มีคุณภาพไปด้วยกัน”

9 ตุลาคม 2567, กรุงเทพฯ - สำนักงานสถิติแห่งชาติ (สสช.) เตรียมความพร้อมให้ประชาชนก้าวสู่การเป็นพลเมืองดิจิทัลที่มีคุณภาพ หวังประชาชนทุกคนมีทักษะดิจิทัล และเป็นพลเมืองดิจิทัลที่ดีร่วมกัน จับมือเครือข่ายหน่วยงานภาคี จัดกิจกรรมส่งเสริมและสนับสนุน A Good Digital Citizen“ก้าวไปสู่ความเป็นพลเมืองดิจิทัลที่มีคุณภาพไปด้วยกัน

สำนักงานสถิติแห่งชาติ จัดเสวนาวิชาการ เชิญวิทยากรภาครัฐ-เอกชนร่วมถกประเด็นขับเคลื่อนสังคมด้วยข้อมูลสถิติในยุค AI

ดร.ปิยนุช วุฒิสอน ผู้อำนวยการสำนักงานสถิติแห่งชาติ เป็นประธานเปิดการประชุมเสวนาวิชาการและนิทรรศการ ภายใต้แนวคิด “DATA is all around us: The New Era of AI-driven Society

'เพื่อไทย' ชี้โพลสนง.สถิติฯ คนถูกใจนโยบายรัฐบาล ไม่ได้หวังแย้งโพลพระปกเกล้า

นายสรวงศ์ เทียนทอง สส.สระแก้ว และเลขาธิการพรรคเพื่อไทย (พท.) ให้สัมภาษณ์ถึงกรณีที่สำนักงานสถิติแห่งชาติ เปิดเผยผลสำรวจประชาชนที่พอใจผลงานรัฐบาลในรอบ 6 เดือน

สำนักงานสถิติฯ เผยไทยมีแรงงานนอกระบบกว่า 21 ล้านคน แถมรายได้ต่ำกว่าในระบบ 2 เท่า

“สถานการณ์แรงงานนอกระบบในปี 2566 ประมาณครึ่งหนึ่งทำงานในภาคเกษตรกรรม และลูกจ้างที่เป็นแรงงานนอกระบบได้รับค่าจ้างต่ำกว่าแรงงานในระบบ”