'เมื่อต่างชาติเซลล์ไทยแลนด์ 'สมหมาย ภาษี ชี้'ดิจิทัลวอลเล็ต' จะยิ่งทำให้ 'ไข้จับ' หนักขึ้น

31ก.ค.2567-นายสมหมาย ภาษี อดีตรัฐมนตรีว่าการกระทรวงการคลัง โพสต์ข้อความในเฟสบุ๊ก หัวข้อ”เมื่อต่างชาติเซลไทยแลนด์”ว่า

หุ้นในตลาดหลักทรัพย์ของไทยปิดตลาดเมื่อวันศุกร์ที่ 19 กรกฎาคม นี้ ดัชนีเหลือแค่ 1,317.14 จุดเท่านั้น คิดว่าตั้งแต่วิกฤตต้มยำกุ้งเมื่อปี 2540 ที่มีผลกระทบให้ดัชนีหุ้นไทยที่เคยแตะระดับสูงสุดที่ 1,753.73 จุด เมื่อ 4 มกราคม 2537 แต่ต้องตกต่ำเมื่อเกิดวิกฤตต้มยำกุ้งเหลือแค่ 207.31 จุด เมื่อ 4 กันยายน 2541 แล้วตลาดหลักทรัพย์ก็ดีขึ้นเรื่อยๆ จนกระทั่งมาเจอวิกฤตโควิด-19

โควิดทำให้เศรษฐกิจไทยต้องสิ้นเนื้อประดาตัวอีกครั้งหนึ่ง แล้วดัชนีหุ้นไทยก็ได้ตกต่ำสังเวยโควิด เหลือแค่ 1,024.46 จุด เมื่อ 23 มิถุนายน 2563

โควิดหายไปแต่หุ้นไทยยังลุ่มๆดอนๆ มาถึงตอนนี้หุ้นไทยยิ่งร่วงลงสู่ระดับที่ใกล้เคียงกับจุดต่ำสุดในช่วงโควิดเข้าทุกที แล้วรัฐบาลนี้จะเอาแต่ทำการขายฝันไปวันๆหนึ่งแค่นั้นหรือ

ได้ถามเพื่อนที่กำกับดูแลธุรกิจใหญ่ในประเทศหลายคน ได้รับคำตอบเหมือนกันหมดว่า ช่วงตั้งแต่ประเทศไทยสามารถตั้งรัฐบาลจากการเลือกตั้งด้วยความพิสดารได้แล้วนั้น นักลงทุนต่างชาติพากันทิ้งความสนใจประเทศไทย จนมีศัพท์ที่นักลงทุนและนักธุรกิจไทยที่คร่ำหวอดอยู่ในภาคเอกชนมานานต้องตัวเย็นวาบเมื่อได้ยินคู่ค้าต่างชาติต่างก็พูดกันว่าเขา “เซลไทยแลนด์” แล้ว

นี่ไม่ใช่นักลงทุนต่างชาติไม่นำเงินทุนมาลงในประเทศไทยเท่านั้น แต่นักลงทุนเขากลับขายหุ้นไทยในกองทุนที่เขาดูแลอยู่ออกไปๆ ทุกสัปดาห์เป็นเวลาร่วมปีแล้ว ไม่เช่นนั้นดัชนีตลาดหุ้นไทยไม่เหลือแค่ระดับ 1,300 จุดให้เห็นในวันนี้หรอกครับ

ข้อเท็จจริงเกี่ยวกับการลงทุนที่รู้ๆกัน
อย่างหนึ่งในทุกวันนี้ก็คือว่า บริษัทเอกชนที่อยู่ในระดับท็อป 50 รายของประเทศ ที่มีมูลค่าทรัพย์สินตั้งแต่ 150,000 ล้านบาท ขึ้นไปจนถึง 4,500,000ล้านบาท นั้น  ล้วนแต่มีทุนต่างชาติร่วมอยู่ในทุนจดทะเบียนอย่างมีนัยสำคัญกันทั้งนั้น มากบ้างน้อยบ้างต่างกันไป

ดังนั้น เมื่อนักลงทุนต่างชาติเห็นเหมือนๆกันว่าต้องเทขายหุ้นไทย แล้วนำเงินออกไปลงที่มาเลเซีย อินโดนีเซีย เวียดนาม และอินเดีย ซึ่งให้ผลตอบแทนที่ดีกว่าไทยและมีการเมืองที่มั่นคงอย่างเห็นได้ชัด แทบทุกรายก็ต้องทำการเทขายหุ้นไทย หรือ Sale Thailand

นักลงทุนต่างชาติไม่ได้หนีการลงทุนแค่ในตลาดหุ้นไทยเท่านั้น แต่พวกเขายังลดการลงทุนในตลาดตราสารหนี้ไทยด้วย

มูลค่าของตราสารหนี้ไทยไม่ใช่น้อยนะครับ แต่ละปีในช่วง 10 ปีที่ผ่านมามีสัดส่วนของมูลค่าคงค้างไม่ต่ำกว่า 90 % ของ GDP ทีเดียว สิ้นมิถุนายน 2567 มูลค่าตราสารหนี้ไทยคงค้างมีถึง 17.0 ล้านล้านบาท หรือ 95 % ของ GDP

ไม่น่าแปลกใจที่ในช่วงปีกว่าที่ผ่านมา นักลงทุนต่างชาติได้โยกเงินออกจากการถือครองตราสารหนี้ในตลาดตราสารหนี้ไทยมากผิดปกติ พวกเขาเคยลงทุนในตลาดตราสารหนี้ไทยถึง 6.79 % เมื่อเดือนมกราคม 2566 กลับลดลงเหลือแค่ 5.13 % ในเดือนมิถุนายน 2567

เมื่อนักลงทุนต่างชาติทำการเซลไทยแลนด์ในตลาดหุ้นพร้อมกับการถอยการลงทุนในตลาดตราสารหนี้ ค่าเงินบาทตั้งแต่ต้นปีถึงเดือนมิถุนายน 2567 นี้ จึงอ่อนค่าลงถึง 7.30 %เทียบกับเงินดอลลาร์สหรัฐ นับเป็นประเทศในเอเชียที่ค่าเงินอ่อนค่าสูงสุดเป็นอันดับสองรองจากประเทศญี่ปุ่น

ประเทศที่ประชาชนระดับล่างไม่มีทางหารายได้เพิ่มขึ้นได้แต่ต้องจมปลักอยู่ในกองหนี้จนหนี้ครัวเรือนสูงเกือบเท่า GDPของไทย ถือว่าสูงมากที่สุดเมื่อเทียบกับประเทศในระดับพอๆกัน

และเมื่อตลาดทุนและตลาดเงินก็ถูกต่างชาติถอยหนีออกไปด้วยทำให้คนระดับเศรษฐีของไทยจำนวนไม่ใช่น้อยต้องเหงื่อไหลโชกท่วมตัวอยู่ในขณะนี้ บางรายถึงกับพยายามหาวิธีโกงให้รวย โดยการโกงผู้ถือหุ้น โกงแหล่งเงินที่สนับสนุนพวกเขาในตลาดหุ้นกู้หรือตลาดตราสารหนี้ มีมากรายที่หาเงินมาจ่ายค่าดอกเบี้ยไม่ได้ จนถึงขั้นต้องล้มเลิกธุรกิจและถูกฟ้องร้องให้ได้ยินกันถี่ขึ้น

ตอนท้ายนี้ผู้อ่านคงอยากรู้ว่า

ประการแรกเหตุใดประเทศไทยจึงโตได้น้อย ปีนี้ธนาคารโลกบอกว่า GDP ไทยจะโตได้แค่ 2.4 % เท่านั้น ก็คงถูกมากกว่าตัวเลขของรัฐบาลไทย เพราะทั่วโลกเขารู้ว่าไทยเราทุกวันนี้ความสามารถในการแข่งขันด้านการผลิตและการส่งออกสู้ใครเขาไม่ได้ จะปรับยังไงก็ยังหาวิธีแก้ไขกันไม่ได้ เพราะรัฐบาลนี้คิดทำอะไรต่อมิอะไรมั่วซั่วไปหมดว่างั้นเถอะ

ส่วนผู้ที่อยากรู้ประการที่สอง ว่าเหตุใดนักลงทุนต่างชาติจึงพากันเซลไทยแลนด์ทั้งในตลาดหุ้นและตลาดตราสารหนี้ มันเป็นเพราะการเมืองไม่มั่นคง พรรคใหญ่สุดจากการเลือกตั้งกำลังจะโดนยุบ นายกรัฐมนตรีก็กำลังจะถูกศาลรัฐธรรมนูญพิจารณาความผิด จึงไม่มีใครคิดจะมาลงทุนในเมืองไทยกันอีก ด้วยเหตุเหล่านี้หรือ

ผมไม่อยากจะสาธยายว่าเหตุใด แต่ขอเอาสิ่งที่นักธุรกิจใหญ่ของไทยเขาเล่าให้ฟัง เขาชี้ชัดว่าต้นเหตุสำคัญที่ต่างชาติพากันทิ้งประเทศไทยก็คือ

ดิจิทัลวอลเล็ตตัวที่รัฐบาลนี้เชื่อมั่นหนักหนาว่าจะทำให้มีการพลิกฟื้นประเทศชาตินี้แหละ

เขาย้ำให้ได้ยินชัดๆอีกว่ายิ่งดันให้มันเกิดเร็วขึ้นเท่าไหร่ อาการไข้จับก็จะยิ่งแรงจัดขึ้นเท่านั้น

เพิ่มเพื่อน

ข่าวที่เกี่ยวข้อง

'นายกฯอิ๊งค์' เชื่อเศรษฐกิจไทยปีหน้ามีแนวโน้มดีขึ้น ตั้งเป้าจีดีพีโต 3%

น.ส.แพทองธาร ชินวัตร นายกรัฐมนตรี แถลงภายหลังการประชุมคณะรัฐมนตรี (ครม.) ว่า ตั้งแต่รัฐบาลเข้ามาทำงานที่มีนโยบายต่างๆสำหรับกระตุ้นเศรษฐกิจเพื่อให้ภาคธุรกิจและประชาชนมีความเป็นอยู่ที่ดีขึ้น โดยในปี 2568 งบประมาณจะเพิ่มขึ้น และมีการขาดดุลการคลังที่ลดลง ซึ่งถือเป็นแนวโน้มที่ดี

Nvidia บริษัท AI ระดับโลก ไปลงทุนที่ 'เวียดนาม' แล้ว 'ไทยจะทำอย่างไร'

นายสุชัชวีร์ สุวรรณสวัสดิ์ หรือ ดร.เอ้  รองหัวหน้าพรรคประชาธิปัตย์ โพสต์เฟซบุ๊ก ว่า ทำไม Nvidia บริษัท AI ระดับโลก ไปลงทุนที่ "เวียดนาม" แล้ว "ไทยจะทำอย่างไร" เมื่อ "เวียดนาม" ขึ้นแท่น "ผู้นำเศรษฐกิจอาเซียน"

หอมกลิ่นความเจริญ! 'ทักษิณ' ประกาศปั้น GDP ประเทศไทยให้ถึง 4-5 %

นายทักษิณ ชินวัตร อดีตนายกรัฐมนตรี บรรยายพิเศษหัวข้อ อนาคตอีสาน โอกาสประเทศไทย ในงานสัมมนา ISAN NEXT : พลิกเศรษฐกิจไทย ฝ่าวิกฤตโลก ซึ่งจัดโดยมหาวิทยาลัยราชภัฏนครราชสีมา ร่วมกับเครือมติชน