ปัญหาฝุ่น PM 2.5 ช่วงเดือนก.พ.-เม.ย. ที่ผ่านมา ในจ.เชียงใหม่ กลายเป็นกระแสที่หลายคนจับตามอง เพราะการเปิดเผยรายงานค่าฝุ่น PM 2.5 ที่ได้มีการเผยแพร่สู่สาธารณะว่า อยู่ในระดับเกินมาตรฐานและถูกจัดอยู่ในอันดับต้นของเมืองที่มีอากาศแย่ที่สุดระดับโลก ซึ่งเป็นปัญหาเรื้อรังที่ยังคงเกิดขึ้นในทุกๆปี และมีความรุนแรงมากขึ้นเรื่อยๆ จากปัญหาส่วนใหญ่ที่ขึ้นเพราะไฟป่าและการเผาในพื้นที่เกษตร โดยผู้ที่ได้รับผลกระทบมากที่สุดคือ ประชาชนในพื้นที่ที่ต้องแบกรับความเสี่ยงด้านคุณภาพชีวิตและสุขภาพเนื่องจากพิษของ PM 2.5
เมื่อสัปดาห์ที่ผ่านมา คณะสื่อมวลได้มีโอกาสลงพื้นที่จังหวัดเชียงใหม่ พบว่าค่าฝุ่น PM 2.5 อยู่ในระดับปานกลาง-ดี เนื่องจากมีฝนตกเป็นบางช่วงตลอดทั้งวัน ทำให้อากาศค่อนข้างเย็นสบาย ช่วยลดความเข้มข้นของ PM 2.5 ได้เป็นอย่างมาก และค่าฝุ่นยังลดลงจากเดือนเม.ย. ที่พุ่งสูงเกินค่ามาตรฐานอีกด้วย อย่างไรก็ตามการพึ่งพาแค่สายฝนคงไม่สามารถที่จะแก้ปัญหาฝุ่นให้หมดลงไปได้ โดยภาครัฐได้มีการติดตามสถานการณ์ฝุ่น PM 2.5 และมีแนวทางในการแก้ไขคือการทำ “เชียงใหม่โมเดล” โดยเป็นร่วมแก้ปัญหาจากภาคส่วนต่างๆ อาทิ การตั้งวอร์รูมีปรับการทำงานเป็นล่างขึ้นบน เน้นการมีส่วนร่วม ปรับแนวคิดจากการห้ามเผา( Zero Burning) มาเป็นการบริหารเชื้อเพลิง และสร้างฐานข้อมูลระบบสารสนเทศ พัฒนาแอปพลิเคชัน Fire D มาควบคุมดูแลการเผาในพื้นที่ เป็นต้น
ล่าสุดในการประชุมคณะกรรมการส่งเสริมวิทยาศาสตร์ วิจัยและนวัตกรรม (กสว.) โดยกองทุนส่งเสริมวิทยาศาสตร์ วิจัยและนวัตกรรม(ววน.) สำนักงานคณะกรรมการส่งเสริมวิทยาศาสตร์ วิจัยและนวัตกรรม (สกสว.) ร่วมหารือกับจังหวัดเชียงใหม่ เดินหน้านำงานวิจัยภายใต้การสนับสนุนของววน. เร่งแก้ไขปัญหาหมอกควัน ฝุ่นละอองขนาดเล็ก PM 2.5 และปัญหาไฟป่าในจังหวัดเชียงใหม่อย่างเร่งด่วนตามโจทย์และความต้องการของจังหวัดเชียงใหม่
ทั้งนี้สกสว. ได้สนับสนุนงานวิจัย ภายใต้งบประมาณปี 2566 เป็นเงินทุนวิจัยรวมกว่า 70 ล้านบาท ใน 4 มิติเร่งด่วนสำหรับการลดฝุ่นจากต้นตอแหล่งกำเนิด ได้แก่ การลดไฟในพื้นที่ป่าไม้, การจัดการระบบฐานข้อมูลขนาดใหญ่, การลดไฟในพื้นที่เกษตร และการลดฝุ่นข้ามแดน โดยการจัดสรรงบประมาณผ่านสํานักงานการวิจัยแห่งชาติ (วช.) และสำนักงานพัฒนาการวิจัยการเกษตร (องค์การมหาชน) โดยทุกภาคส่วนตั้งเป้าผลลัพธ์ทั้งการลดปัญหาที่เกิดซ้ำในแต่ละพื้นที่ การติดตามสถานการณ์ การวางแผนป้องกันและรับมือฝุ่นจากฐานข้อมูลขนาดใหญ่ที่เชื่อมโยงการทำงานของทุกภาคส่วน เพื่อต่อยอดไปสู่การออกนโยบาย กฎหมาย หรือข้อบังคับที่เกี่ยวข้อง การพัฒนาความร่วมมือระหว่างประเทศ ตลอดจนการปรับเปลี่ยนโครงสร้างภาคเกษตรกรรม
โดยการสนับสนุนทุนวิจัย 4 ในมิติเร่งด่วน ประกอบด้วย มิติการแก้ปัญหาการลดไฟในพื้นที่ป่า ประกอบด้วยโครงการวิจัยจำนวน 5 โครงการ ได้แก่ 1.การจัดการฐานข้อมูลและแผนบริหารจัดการทรัพยากรธรรมชาติอย่างมีส่วนร่วมโดยชุมชนและแพลตฟอร์มเพื่อสนับสนุนกลไกการจ่ายค่าตอบแทนระบบนิเวศ (PES) ในพื้นที่อุทยานแห่งชาติดอยสุเทพ-ปุย จังหวัดเชียงใหม 2.การประเมินบริการจากระบบนิเวศอย่างมีส่วนร่วมเพื่อส่งเสริมกระบวนการตัดสินใจ 3.การพัฒนาฐานข้อมูลและเครื่องมือสำหรับการจัดการเชื้อเพลิงเพื่อป้องกันและ ควบคุมไฟป่า และฝุ่นละออง PM2.5 4. การพัฒนากระบวนการ Payment for Ecosystem Services (PES) สำหรับพื้นที่เขตป่าอนุรักษ์ และเขตป่าสงวนแห่งชาติ ในพื้นที่ จ. เชียงใหม่ 5. การจัดทำข้อเสนอเชิงนโยบายจากบทเรียนการวิจัยและนวัตกรรมการบริหารจัดการไฟป่าอย่างมีประสิทธิภาพ และการพัฒนากลไกการจ่ายค่าตอบแทนระบบนิเวศ (PES) เพื่อลดพื้นที่เผาไหม้และฝุ่นละออง PM2.5 แบบมีส่วนร่วมในชุมชนต้นแบบ พื้นที่อุทยานแห่งชาติดอยสุเทพ-ปุย จังหวัดเชียงใหม่
มิติที่การจัดการระบบฐานข้อมูลขนาดใหญ่ ประกอบด้วยโครงการวิจัยจำนวน 6 โครงการ ได้แก่ 1. การพัฒนาระบบบัญชีข้อมูลและต้นแบบการบูรณาการและใช้ประโยชน์ข้อมูล เพื่อสนับสนุนการบริหารจัดการปัญหาฝุ่น PM2.5 2.การวิเคราะห์เขตประสบมลพิษทางอากาศเชิงพื้นที่และเชิงเวลา ด้วยเทคโนโลยีอวกาศและภูมิสารสนเทศ 3. การพัฒนาต้นแบบแพลตฟอร์มวิเคราะห์ข้อมูล เพื่อการพยากรณ์สำหรับการบริหารจัดการปัญหาฝุ่น PM2.5 4. การใช้ประโยชน์ข้อมูลขนาดใหญ่ เพื่อสนับสนุนการปฏิบัติการสำหรับวางแผนตัดสินใจแบบเบ็ดเสร็จเพื่อการแก้ไขปัญหาฝุ่นควัน PM2.5 5. การปรับปรุงแบบจำลองพยากรณ์คุณภาพอากาศ WRF-Chem และแอปพลิเคชั่น FireD เพื่อเพิ่มประสิทธิภาพการบริหารจัดการเชื้อเพลิงชีวมวล และ 6. การจัดทำ เชื่อมโยง และบริหารจัดการฐานข้อมูลแบบบูรณาการเพื่อแก้ไข ปัญหา วิกฤตฝุ่นละอองขนาดเล็ก PM 2.5 อย่างมีส่วนร่วมในพื้นที่อำเภอแม่แจ่ม จังหวัดเชียงใหม่
มิติการแก้ปัญหาการลดไฟในพื้นที่เกษตร ประกอบด้วยโครงการวิจัยจำนวน 4 โครงการ ได้แก่ 1. ระบบเกษตรที่เป็นมิตรต่อสิ่งแวดล้อม แก้ปัญหาการเผาและฝุ่นควันบนพื้นที่สูง 2. การส่งเสริมการจัดการเพื่อลดปัญหาฝุ่น PM2.5 สำหรับภาคเกษตรอย่างยั่งยืนภายใต้มาตรฐานการผลิตพืช 3.การศึกษาเชิงนโยบายเพื่อลดปัญหาฝุ่น PM2.5 ในภาคเกษตร 4. การจัดการชีวมวลในแปลงเกษตรที่สูงเพื่อลดการเผาในไร่ข้าวโพด และมิติการลดฝุ่นข้ามแดน ประกอบด้วยโครงการวิจัยจำนวน 1 โครงการ คือการพัฒนาความร่วมมือ ไทย-ลาว-เมียนมา ขับเคลื่อนการจัดการและลดมลพิษหมอกควันข้ามแดน
ศ.เกียรติคุณ ดร.นพ.สิริฤกษ์ ทรงศิวิไล ประธานกรรมการส่งเสริมวิทยาศาสตร์ วิจัยและนวัตกรรม (กสว.) กล่าวว่า ความสำคัญของงานวิจัยจะช่วยให้ผู้ดำเนินงานและภาคส่วนที่เกี่ยวข้องได้รับทราบถึงความซับซ้อนของปัญหาที่สะสมมาอย่างยาวนาน นำมาสู่การแก้ไขที่เป็นระบบ รวมทั้งเป็นแนวทางเชิงรุกที่สามารถคลี่คลายปัญหาได้ตั้งแต่ต้นน้ำถึงปลายน้ำ ทั้งการแจ้งเตือนสถานการณ์ความเสี่ยง การควบคุมเหตุการณ์ต่าง ๆ ได้อย่างทันท่วงที การจำกัดจำนวนการเกิดเหตุไฟป่า การช่วยรายงานสถานการณ์ที่เกิดขึ้นไปยังหน่วยงานที่เกี่ยวข้องในพื้นที่ การสร้างความร่วมมือกับชาวบ้านเพื่อเป็นอีกหนึ่งแรงสำคัญในการแก้ไขปัญหา อีกทั้งยังสามารถนำไปใช้ในพื้นที่อื่น ๆ ที่มีแนวโน้มประสบปัญหาเดียวกันซึ่งจะทำให้งานวิจัยที่ได้รับการสนับสนุนมีความยั่งยืนและมีโอกาสนำไปใช้เป็นวงกว้าง
รศ.ดร.ปัทมาวดี โพชนุกูล ผู้อำนวยการสำนักงานคณะกรรมการส่งเสริมวิทยาศาสตร์ วิจัยและนวัตกรรม (สกสว.) กล่าวว่า การจะแก้ปัญหาสำคัญของประเทศให้เป็นรูปธรรมได้นั้นต้องอาศัยความร่วมมือจากทุกภาคส่วน ต้องบูรณาการข้อมูลและส่งต่อผลงานอย่างเป็นระบบ รวมทั้งต้องมีเวทีแลกเปลี่ยนความคิดเห็นร่วมกับผู้ใช้ และผู้ได้รับประโยชน์อย่างต่อเนื่อง เพื่อนำความคิดเห็นไปปรับกระบวนการขับเคลื่อนให้ตอบโจทย์และความต้องการมากที่สุด ดังนั้น การหารือในครั้งนี้จะทำให้ กสว. และหน่วยงานทุกภาคส่วนได้รับทราบภาพรวมความคืบหน้าการนำผลงานวิจัยและนวัตกรรมในระบบ ววน. มาขับเคลื่อนแก้ไขปัญหา PM 2.5 ในพื้นที่ จ. เชียงใหม่ให้ประสบความสำเร็จตามเป้าหมายที่วางไว้
นายทศพล เผื่อนอุดม รองผู้ว่าการจังหวัดเชียงใหม่ กล่าวว่า สถานการณ์ฝุ่น PM 2.5 ในเชียงใหม่ เป็นปัญหาที่ต้องหาทางแก้ไขเร่งด่วน เนื่องจากส่งผลกระทบสังคม เศรษฐกิจ สุขภาพและชีวิตของประชาชนในพื้นที่และนักท่องเที่ยว ส่วนหนึ่งที่ทำให้ปัญหาฝุ่น PM 2.5 พุ่งสูงมาจากการเผาไหม้ แบ่งเป็นช่วง คือ ช่วงเผชิญเหตุ 3 เดือน คือ กุมภาพันธ์ มีนาคม เมษายน และช่วงป้องกัน 9 เดือน ในช่วงเผชิญเหตุนอกจากปัญหาไฟป่าภาคการเกษตรบางส่วนมีความจำเป็นต้องเผาเพราะอยู่ในพื้นที่ลาดเชิงเขา ซึ่งไม่สามารถนำเทคโนโลยี อย่างรถไถ หรือนวัตกรรมขึ้นไปใช้งานได้ และปัจจุบันก็ยังไม่มีนวัตกรรมหรืองานวิจัยที่จะไปสนับสนุนเพื่อลดการเผาได้ จึงทำให้มีการเผยแพร่จากแหล่งต่างๆมากมายว่า เชียงใหม่มีอากาศแย่ที่สุดติดอันดับโลก แต่ในสถานการณ์ปี 2567 ยอมรับว่าดีขึ้น เนื่องจากคุณภาพอากาศจากเดิมที่สูงถึง 50 ไมโครกรัม ปีนี้ลดลงเหลือ 37.5 ไมโครกรัม จุดตรวจวัด Hotspot จากพื้นที่เผาไหม้มีแนวโน้มลดถึง 50%
การบริหารจัดการปัญหาฝุ่นของจ.เชียงใหม่ ที่ผ่านมา ได้มีการจัดตั้งศูนย์บัญชาการป้องกันแก้ไขปัญหาฝุ่นละอองขนาดเล็ก PM 2.5 (War Room) โดยภายในห้องจะมีการติดตามสถานการณ์ค่าฝุ่น PM 2.5 จากการติดตั้งเครื่องวัดฝุ่นและรายงานผ่านแอปพลิเคชั่นของ Air4Thai ซึ่งเครื่องวัดฝุ่นมีการติดตั้งใน 6 พื้นที่ ในเขตอ.เมือง 3 ตัว และอ.ฮอด อ.แม่แจ่ม อ.เชียงดาว อย่างละ 1 ตัว ซึ่งเป็นพื้นที่ที่มีแนวโน้มการเกิดฝุ่น PM 2.5 ส่วนพื้นที่ที่เกิดการเผ่าไหม้บ่อยๆ ก็จะมีการตรวจสอบจากดาวเทียมจากจิสด้า และรายงานผ่านแอปฯ FireD เพื่อดำเนินการตัดสินใจเวลาเหมาะสมในการกำจัดเชื้อเพลิงในแต่ละวัน ซึ่งชุมชนสามารถยื่นคำร้องหากจำเป็นที่ต้องใช้ไฟ และสามารถพยากรณ์อากาศข้างหน้า 3-5 วัน ด้วย ปัจจัยการระบายอากาศ อากาศยกตัวขึ้น การจัดการเชื้อเพลิงเผาในพื้นที่โล่งควัน PM2.5 นอกจากนี้ยังมีปัญหาฝุ่นข้ามแดนที่มีมากเกือบ 50% อย่างไรก็ตามในการสรุปปัญหาฝุ่นต้องมีการนำทั้งค่าจาก Air4Thai DustBoy ของม.เชียงใหม่ และ AQI มาวิเคราะห์ค่าฝุ่น PM 2.5 ร่วมด้วย
ในการดำเนินการนำ”งานวิจัย”มาบูรณาการในพื้นที่เชียงใหม่รองผู้ว่าฯ กล่าวว่า จะนำร่อง 2 พื้นที่ ได้แก่ อ.แม่แจ่ม 10 หมู่บ้านใน 5 ตำบล ที่มีขนาดพื้นที่มากถึง 1.7 ล้านไร่ และอุทยานแห่งชาติดอยสุเทพ-ปุย 10 หมู่บ้านใน 10 ตำบล อย่าง บ้านม้งดอยปุย เป็นหนึ่งในพื้นที่ที่มีการบริหารจัดการไฟป่าที่เข้มข้น แต่ก็ต้องเผชิญกับไฟป่าบ่อยครั้ง ซึ่งในช่วง 3 เดือนเผชิญเหตุจะเกิดฝุ่น PM 2.5 ปกคลุม เมื่อมองจากมุมสูงแทบไม่เห็นตัวหมู่บ้าน ดังนั้นในการนำงานวิจัยมาร่วมบูรณาการจะช่วยให้เห็นปัญหาและแนวทางการแก้ไขป้องกันอย่างยั่งยืนมากยิ่งขึ้น
ด้าน ดร.บัณฑูร เศรษฐศิโรตม์ ประธานกรรมการกำกับติดตามแผนงานการนำ ววน. ไปใช้แก้ปัญหาวิกฤติฝุ่นละออง PM2.5 กล่าวถึงแหล่งกำเนิดฝุ่น PM 2.5 ที่มาจากการเผาไหม้ว่า สาเหตุของแหล่งกำเนิดไฟป่าในพื้นที่ป่าอนุรักษ์ปีพ.ศ.2566 มาจากการหาของป่า 53% เผาไร่ 2.05% ล่าสัตว์ 6.97% เลี้ยงสัตว์ 0.91% เผาขยะ,ไฟไหม้ริมทาง 2.49% และไม่ทราบสาเหตุมากถึง 34.59% ซึ่งจากการศึกษาวิจัยเพิ่มเติม อาจจะเกิดจากความขัดแย้งระหว่างชุมชน-รัฐ ไฟที่ลามมาจากพื้นที่เกษตรภายนอก การชิงเผา แต่ลามเกินควบคุม การขนยาเสพติด ทำลายหลักฐานการตรวจสอบทำแนวกันไฟ เป็นต้น ดังนั้นเบื้องต้นการแบ่งพื้นที่เชียงใหม่จะทำในส่วนของภาคเกษตร คือ อ.แม่แจ่ม ส่งเสริมการปรับระบบเกษตรวิถีใหม่ที่ไม่เผา ตลอด Value Chain ในพื้นที่สูง และการนำเศษวัสดุทางการเกษตรไปทำพลังงานชีวมวลทดแทนพลังงานเชื้อเพลิงให้มากขึ้น และในพื้นที่อุทยานแห่งชาติดอยสุเทพ-ปุยต้องมีการส่งเสริมการทำ Comanagement plan เพื่อกำหนดกติกาการใช้ประโยชน์จากป่า ตามมาตรา 65 พ.ร.บ. อุทยานแห่งชาติ การส่งเสริมเรื่องคาร์บอนเครดิตในพื้นที่ป่าชุมชน และการส่งเสริมการลงทุนของภาคเอกชนและเชื่อมโยงกับชุมชนในเรื่อง PES
“การไล่จับ Hotspot และการดับไฟในช่วงเผชิญเหตุ 3 เดือน ไม่ใช่คำตอบ และไม่ใช่การแก้ไขปัญหาที่ยั่งยืน แต่ต้องทำงานอย่างต่อเนื่องในช่วง 8 เดือนก่อนเกิดฤดูฝุ่นใช้สูตร 8 + 3 + 1 คือ 8 เดือนก่อนเกิดฝุ่น จะต้องมีการทบทวน วิเคราะห์และประเมินการบริหารจัดการ จัดทำแผนปฏิบัติการ เช่น จัดทำระบบเกษตรแบบไม่เผา กำหนดโซนและวางแผนการผลิตทางการเกษตร ในช่วง 3 เดือนเผชิญเหตุ ต้องติดตามรายงานสภาพอากาศ แจ้งเตือนคุณภาพอากาศและผลกระทบทางสุขภาพ อาทิ ประกาศพื้นที่ห้ามเผา มีกติการการใช้ไฟ ส่วนอีก 1 เดือน ต้องมาทอดบทเรียนของปัญหาฝุ่นที่ผ่านมา
ส่วนปัญหาฝุ่น P M 2.5 ที่มีความซับซ้อนต้องใช้ชุดเครื่องมือในการแก้ไขปัญหาอย่างน้อย 9 เครื่องมือ ได้แก่ 1.ด้านข้อมูลคือการทำระบบ Big Data 2.ด้านเทคโนโลยี นวัตกรรม 3.ด้านระบบงบประมาณ 4.ด้านเครื่องมือทางเศรษฐศาสตร์ 5.ด้านความรู้และวิชาการ 6.ด้านเครื่องมือทางสังคม 7.ด้านการสื่อสารสาธารณะ 8.ด้านกฎหมาย 9.ด้านการแพทย์และสาธารณสุข และปัญหาฝุ่น P M 2.5 มีขนาดและขอบเขตของปัญหาที่เกินกำลัง กระทรวงทรัพยากรธรรมชาติฯ ที่จะป้องกันและจัดการแก้ไข ต้องทำงานร่วมกันจากหลายกระทรวง รวมทั้งองค์กรนอกภาครัฐ” ดร.บัณฑูร กล่าว
นอกจากการบริหารจัดการเรื่องฝุ่นในพื้นที่ ดร.บัณฑูร บอกอีกว่า งานวิจัยในพื้นที่ยังเป็นการจัดเก็บฐานข้อมูลขนาดใหญ่ นำไปสู่แนวทางในผลจากการทำงานไปสู่การออกแบบร่างกฎหมายอากาศสะอาดที่ตั้งใจจะให้เสร็จภายในเดือนมิถุนายนนี้ และนำไปสู่การประกาศใช้ต่อไป
บ้านม้งดอยปุย บริเวณพื้นที่อุทยานแห่งชาติดอยสุเทพ-ปุย ต้นแบบการจัดไฟป่า เมธาพันธ์ ภุชกฤษดาภา อายุ 50 ปี ผู้ใหญ่บ้านหมู่ 11 บ้านม้งดอยปุย ต.สุเทพ อ.เมือง จ.เชียงใหม่ เล่าว่า บ้านม้งดอยปุยเป็นหมู่บ้านที่อยู่สูงและไกลที่สุดของดอยสุเทพ เมื่อก่อนชาวบ้านในพื้นที่จะมีการปลูกฝิ่นเป็นอาชีพหลัก และมีการเปลี่ยนมาทำการเกษตรปลูกพืชทดแทน อย่าง ลิ้นจี่ ผักเมืองหนาวต่างๆ และยังเป็นแหล่งท่องเที่ยว ที่นี่ชาวบ้านจะมีส่วนร่วมในการทำกิจกรรมในการดูป่า ซึ่งปัจจุบันมีอยู่เกือบ 300 คน โดยแบ่งเป็นทีมละประมาณ 20 คน ทั้งหมด 13 ชุด และการทำแนวกันไฟที่จะอยู่ตามสันเขารอบๆหมู่บ้าน ซึ่งแนวกันไฟจะอยู่ระหว่างต.ช้างเผือก อ.เมือง กับต.แม่แรม อ.แม่ริม มีวงรอบที่เดินทั้งหมด 22 กิโลเมตร และจะมีการทำแนวกันไฟทุกๆปี ในช่วง 3 เดือนเผชิญเหตุ จะต้องมีการสลับเวรมาดูแลแนวกันไฟทุกๆ 10 วัน ทั้งกลางวันกลางคืน เพราะหากมีไฟป่าจะลามเร็วมากใช้เวลาไม่ถึง 2 ชั่วโมงก็จะถึงยอดดอย ปัจจุบันการดับไฟป่าของหมู่บ้านมีการพัฒนามาใช้เครื่องเป่า และใช้โดรนในการบินสำรวจจุดที่เกิดไฟ ทำให้เข้าไปดับได้เร็วมากยิ่งขึ้น บริบทของการดูแลผืนป่าสิ่งสำคัญคือการมีส่วนร่วม ซึ่งก็ต้องใช้ระยะพอสมควรในการสร้างความตระรู้และความเข้าใจในการดูแลผืนป่า โดยมีหน่วยงานทุกภาคส่วนที่เกี่ยวข้องในการเข้ามาให้องค์ความรู้
ข่าวที่เกี่ยวข้อง
'ทักษิณ' ยันไม่ยุบ! รัฐบาลพ่อเลี้ยงอยู่ครบเทอม ปีหน้าม่วนแน่ จบทุกปัญหา เชียงใหม่จะได้รับการดูแลเป็นพิเศษ
ที่ตลาดภูสุวรรณ ต.มะขามหลวง อ.สันป่าตอง จ.เชียงใหม่ นายทักษิณ ชินวัตร อดีตนายกรัฐมนตรี ขึ้นเวทีปราศรัยช่วยนายพิชัย เลิศพงศ์อดิศร
'ทักษิณ' ถึงเชียงใหม่ ช่วยหาเสียงนายก อบจ. 'สว.ก๊อง' คึกมั่นใจชนะล้านเปอร์เซ็นต์
'ทักษิณ' ถึงเชียงใหม่ 'เจ๊แดง-สมชาย-พิชัย' ต้อนรับ แวะกินก๋วยเตี๋ยวร้านมิชเชอร์ลิน 7 ปีซ้อน ก่อนช่วงเย็นขึ้นปราศรัยหาเสียงช่วยผู้สมัครนายก อบจ. 'สว.ก๊อง' ลั่นมั่นใจล้านเปอร์เซ็นต์
พรรคส้มดาวกระจาย สู้ศึกอบจ. ‘พิธา’ ชน ‘ทักษิณ’ ตรง ‘ประตูท่าแพ-ตลาดวโรรส’ จันทร์นี้
พรรคประชาชน(ปชน.)เตรียมตัวส่งผู้สมัครนายก อบจ.ตามจังหวัดต่างๆ ทั่วประเทศ ในวันที่ 23 ธ.ค. โดยส่งระดับแกนนำและผู้ช่วยหาเสียงที่เป็นผู้นำจิตวิญญาณลงประกบตามพื้นที่ต่างๆ
สิงห์อาสา ร่วมกับ ม.เชียงใหม่ ออกหน่วยแพทย์เคลื่อนที่ตรวจสุขภาพ อ.พร้าว จ.เชียงใหม่
สิงห์อาสา โดย มูลนิธิพระยาภิรมย์ภักดี และ บริษัท บุญรอดบริวเวอรี่ จำกัด ออกหน่วยแพทย์เคลื่อนที่ต่อเนื่องเป็นปีที่ 37 โดยได้ลงพื้นที่แรกที่อ.พร้าว จ.เชียงใหม่ ร่วมกับ 3 มหาวิทยาลัย 7 คณะทางการแพทย์ ได้แก่ คณะแพทยศาสตร์, คณะทันตแพทยศาสตร์, คณะเทคนิคการแพทย์ ม.เชียงใหม่