'ไอศกรีมไทย'ปังไม่หยุดทะลุเกินเบอร์1 เอเชีย รายใหญ่เล็งรุก'ซาอุฯ-จีน'เพิ่มยอดส่งออก

ไอศกรีมเป็นสินค้าที่มีแนวโน้มความต้องการเพิ่มขึ้น โดยจากรายงานมูลค่าตลาดไอศกรีมของ Euromonitor International บริษัทสำรวจข้อมูลทางการตลาดระดับโลก พบว่าปี 2566 ตลาดไอศกรีมโลกมูลค่าค้าปลีกอยู่ที่ 86,719.4 ล้านเหรียญสหรัฐ เพิ่มขึ้น 8.8% ประเทศที่มีตลาดไอศกรีมขนาดใหญ่ที่สุด 5 อันดับแรก ได้แก่ 1. สหรัฐฯ มีมูลค่าค้าปลีก 19,994.5 ล้านเหรียญสหรัฐ 2. จีน 8,247.1 ล้านเหรียญสหรัฐ 3. ญี่ปุ่น 5,581.2 ล้านเหรียญสหรัฐ 4. รัสเซีย 3,576.0 ล้านเหรียญสหรัฐ และ 5. บราซิล 3,232.7 ล้านเหรียญสหรัฐ ขณะที่ตลาดไอศกรีมของไทยมีมูลค่าค้าปลีก 396.0 ล้านเหรียญสหรัฐ เพิ่มขึ้น 11% โดยมีปัจจัยสนับสนุนจากสภาพอากาศที่ร้อน ความนิยมของนักท่องเที่ยวต่างชาติ และไลฟ์สไตล์ที่ต้องเดินทางเพิ่มขึ้นของคนไทย

ขณะที่ สถิติส่งออกไอศกรีมของไทย พบว่า มูลค่าการส่งออกไอศกรีมของไทยเติบโตต่อเนื่องติดต่อกันตลอดช่วงระยะเวลา 7 ปี โดยในช่วงปี 2560 – 2561 เติบโตเฉลี่ยปีละ  12.43%  ต่อปี เนื่องจาก ไทยมีความพร้อมด้านวัตถุดิบที่หลากหลาย และสามารถแปรรูปผลิตภัณฑ์เป็นไอศกรีมได้อย่างสร้างสรรค์และถูกใจผู้บริโภค ผลไม้ไทยเกือบทุกชนิดสามารถนำมาใช้เป็นวัตถุดิบผลิตไอศกรีมรสชาติต่าง ๆ ได้อย่างลงตัว รวมถึงขนมไทยก็ถูกนำมาประยุกต์เป็นไอศกรีมได้อย่างน่าสนใจ  ตลอดจนสมุนไพรไทย ก็ไม่ถูกมองข้าม สามารถนำมาเป็นส่วนผสมในไอศกรีมเพื่อชูอัตลักษณ์ความเป็นไทย อีกทั้ง รูปแบบและรูปทรงของไอศกรีม ก็มีจุดเด่น ดึงดูดใจ ผู้บริโภคโดยเฉพาะชาวต่างชาติได้เป็นอย่างดี

ฐานพงศ์  จุ้ยประเสริฐ กรรมการผู้จัดการ บริษัท แม็คซ์ฟู๊ด กรุ๊ป จำกัด

เฉพาะในปี 2566 ไทยมีมูลค่าการส่งออกไอศกรีมรวม 148.21 ล้านเหรียญสหรัฐ หรือประมาณ 5.1พันล้านบาท เท่ากับขยายตัวร้อยละ 7.3   โดยนายฐานพงศ์  จุ้ยประเสริฐ กรรมการผู้จัดการ บริษัท แม็คซ์ฟู๊ด กรุ๊ป จำกัด กล่าวว่า ประเทศไทยเป็นผู้ส่งออกไอศกรีมอันดับ 1 ของเอเชีย  สอดคล้องกับการเติบโตของบริษัทฯ ซึ่งเป็นผู้นำในการผลิตไอศกรีมซอร์เบในลูกผลไม้ ไอศกรีมผลไม้และโมจิไอศกรีม โดยเป็นการผลิตเพื่อส่งออกเกือบ 99% และขายในประเทศเพียง 1% ทำให้ในปี 66 บริษัทฯ มีรายได้รวมสูงถึง 340 ล้านบาท เติบโตประมาณ 30% แต่ยังน้อยกว่าเป้าที่วางไว้ที่ 400 ล้านบาท เพราะปัญหาการไม่เพียงพอของผลไม้สดที่เป็นวัตถุดิบสำคัญในการผลิต และกำลังการผลิตของโรงงานก็เต็มกำลังแล้ว  ทำให้มียอดค้างส่งแก่ลูกค้าถึง 40 ตู้คอนเทนเนอร์หรือคิดเป็นเงินประมาณ 60 ล้านบาท

แต่ปีนี้ปัญหาทั้งหมดได้รับการแก้ไขแล้วแบบครบวงจร ไม่ว่าจะเป็นการลงทุนขยายโรงงานและเพิ่มกำลังการผลิต การบริหารจัดการเรื่องวัตถุดิบ ด้วยการลงทุนปลูก จัดหาแหล่งวัตถุดิบใหม่ๆ เพิ่มและสต๊อกผลไม้ ให้ผลิตได้ตลอดปี  โดยการขยายโรงงานและเพิ่มกำลังการผลิตนั้น มีการลงทุนกว่า 100 ล้านบาท  เป็นการขยายทั้งตัวโรงงานให้มีขนาดใหญ่ขึ้น รองรับกับเครื่องจักรและสายการผลิต ที่เป็นนวัตกรรมและเทคโนโลยีใหม่ล่าสุด  สามารถลดเวลาในการผลิตไอศกรีมผลไม้ 1 ลูก จากเดิมที่ใช้เวลา 3 วัน เหลือเพียงแค่ 10 นาที  ทำให้เพิ่มกำลังการผลิตจากปีละ 340 ตู้คอนเทนเนอร์หรือคิดเป็นผลิตภัณฑ์ไอศกรีมประมาณ 9 ล้านชิ้นต่อปี เป็น 720 ตู้คอนเทนเนอร์หรือ คิดเป็นผลิตภัณฑ์ไอศกรีมประมาณ 18 ล้านชิ้นต่อปี  

ไอศกรีมผลไม้ไทยในตลาดจีน

“โรงงานใหม่จะเสร็จสิ้นและผลิตได้ในไตรมาส 3 ของปีนี้  ปัญหาด้านวัตถุดิบไม่เพียงพอต่อการผลิตนั้น เรามีแผนระยะยาว   โดยลงทุนกว่า 20 ล้านบาท เพื่อปลูกสับปะรดจำนวน 1,000 ไร่ ที่จังหวัดเชียงราย  เพราะสับปะรดเป็นวัตถุดิบสำคัญของเรา ในการผลิต ไอศกรีมผลไม้ในลูกสับปะรด ที่เป็นผลิตภัณฑ์หลักของเรา  คาดว่าจะได้ผลผลิตช่วงปลายปีนี้ประมาณ 1 ล้านลูก และจะเพิ่มเป็น 6 ล้านลูกในปีต่อๆ ไป นอกจากนี้  เรายังได้สร้างห้องเย็นเพื่อจัดเก็บวัตถุดิบ ทำสต๊อกวัตถุดิบเพิ่มได้มากถึง 40 ตู้คอนเทนเนอร์ หรือ ประมาณ 1  ล้านชิ้น  จัดเก็บผลไม้ในฤดูกาลที่มีผลผลิตมากได้ในราคาที่ไม่สูงเกินไป ถือว่าเป็นการช่วยเกษตรกรทางอ้อมอีกด้วย”ฐานพงศ์กล่าว

การส่งออก ยังคงเป็นฐานการจำหน่ายหลัก ซึ่งฐานพงศ์ บอกว่า  ไอศกรีมในลูกผลไม้ยังคงครองอันดับหนึ่งในประเทศเกาหลี ส่วนกลุ่มยุโรปที่แม้ว่าจะเป็นผู้ส่งออกไอศกรีมรายใหญ่ของโลก เช่น ประเทศฝรั่งเศส ออสเตรเลีย แต่บริษัทไม่ได้ละเลย  เน้นทำตลาดเพื่อสร้างความรู้จักไอศกรีมไทยมากขึ้น แต่ตลาดที่น่าสนใจ และมีศักยภาพสูงซึ่งคิดว่าน่าจะเป็นประตูบานสำคัญในการส่งออกต่อไปก็คือ ซาอุดีอาระเบีย และจีน เนื่องจากมีกำลังการซื้อสูง โดยตลาดซาอุฯ มองว่าจะเป็นสะพานเชื่อมต่อไปยังประเทศในแถบอาหรับและแอฟริกาในอนาคต

ไอศกรีมในลูกสับปะรด ของแม็กซ์ฟู้ด กรุ๊ป ขายดีมากในเกาหลี

“ทั้งซาอุและจีนที่ถือว่าเป็นตลาดใหญ่ มีการบริโภคสูง   เราได้เริ่มมีการส่งสินค้าเข้าไปจำหน่ายบ้างแล้ว และผลตอบรับเป็นไปด้วยดี  นอกจากนี้   เรายังได้เริ่มมีการเปิดตลาดใหม่กับทางอเมริกาและญี่ปุ่น ซึ่งขณะนี้อยู่ในขั้นตอนการเจรจาและพัฒนาสูตร คาดว่าจะสามารถส่งผลิตภัณฑ์เข้าไปจำหน่ายได้ประมาณปลายปีนี้ หรือ ต้นปีหน้า”ฐานพงศ์กล่าว

กลุ่มผลิตภัณฑ์ของ แม็คซ์ฟู๊ด กรุ๊ป ประกอบด้วย ไอศกรีมซอร์เบในลูกผลไม้ เป็นผลิตภัณฑ์หลักที่มีสัดส่วนสูง 80% โมจิไอศกรีม 15% และ ไอศกรีมผลไม้แท่ง 5% ส่วนผลิตภัณฑ์ใหม่ที่เปิดตัวในปีนี้เป็นไอศกรีมซอร์เบผลไม้ชนิดถ้วยขนาด 210 กรัม มี 6 รสชาติ ประกอบด้วยสับปะรด เสาวรส แตงโม มะพร้าว มะม่วง และแก้วมังกร โดยจะเปิดตัวครั้งแรกในงาน THAIFEX – Anuga Asia 2024 ที่จะมีขึ้นระหว่างวันที่ 28 พฤษภาคม – 1 มิถุนายน 2567 ที่ อิมแพ็ค เมืองทองธานี ซึ่งไอศกรีมชนิดถ้วยนี้  จะเป็นคนละตลาดกับไอศกรีมซอร์เบในลูกผลไม้ แต่ยังเน้นตลาดส่งออกเช่นเดิม โดยจะเริ่มจำหน่ายในเกาหลีก่อน

“เรามองว่า จุดเด่นของไอศกรีมชนิดถ้วย คือ การเจาะเข้าสู่ฐานผู้บริโภคในวงกว้าง โดยจำหน่ายผ่านช่องทาง รีเทล ซูเปอร์มาร์เก็ต อาทิ Costco, GS25, 7-ELEVEN นอกจากนั้นยังเปิดกว้างในการรับจ้างผลิต (OEM) แบบครบวงจร โดยลูกค้าที่สนใจสามารถร่วมพัฒนาสูตรกับเรา โดย แม็คซ์ฟู๊ด กรุ๊ป จะดูแลเรื่องการผลิต บรรจุ พร้อมส่งออกไปยังปลายทางให้ได้อีกด้วย ซึ่งจากการขยายการลงทุนโรงงานใหม่ แหล่งวัตถุดิบที่เพียงพอและการเปิดตัวผลิตภัณฑ์ ทำให้คาดว่ารายได้รวมในปีนี้จะสูงแตะ 400 ล้านบาท”กรรมการผู้จัดการฯกล่าวย้ำ

เพิ่มเพื่อน

ข่าวที่เกี่ยวข้อง