คนที่เป็นโรคอ้วนรุนแรง วัดได้จากค่าดัชนีมวลกาย (BMI) ตั้งแต่ 35 ขึ้นไป มีโอกาสเสียชีวิตก่อนวัยอันควร โดยเฉลี่ย 5-20 ปี คนอ้วนกลุ่มนี้ ส่วนใหญ่มักจะมีโรคร่วม เช่น โรคเบาหวาน โรคความดัน และโรคไขมันในเลือดสูงอีกทั้งยังมีภาวะแทรกซ้อนจากโรคอ้วน ซึ่งเป็นตัวการสำคัญที่ทำให้เกิดค่าใช้จ่ายในการรักษาสูงโดยเฉพาะโรคหัวใจและโรคไต ที่ต้องใช้วงเงินในการรักษาพยาบาล ตั้งแต่ 134,000 – 421,000 บาทต่อคนต่อปี
รศ. นพ.เพชร รอดอารีย์ นายกสมาคมเครือข่ายโรคไม่ติดต่อไทย (Association of Thai NCD Alliance)กล่าวว่าด้วยปัญหาโรคอ้วนที่เรื้อรังมาอย่างยาวนานและโรคอ้วนยังเป็นบ่อเกิดที่สร้างภาระทางเศรษฐกิจให้กับประเทศไทยคิดเป็น 4.9% ของผลิตภัณฑ์มวลรวมภายในประเทศ (GDP) หรือประมาณ 8.52 แสนล้านบาท ซึ่งก็คือค่าใช้จ่ายที่ต้องดูแลรักษาผู้ป่วยโรคอ้วน ยังไม่นับรวมกับทุกวันนี้ที่ผู้คนต้องเผชิญกับปัญหา Climate Changeและฝุ่น PM 2.5 ซึ่งจะยิ่งทำให้กลุ่มผู้ป่วยโรคอ้วนและกลุ่มโรคไม่ติดต่อเรื้อรัง (NCDs)ได้รับผลกระทบและอาจมีอาการทรุดหนักมากยิ่งขึ้น
ด้วยเหตุนี้ สมาคมเครือข่ายโรคไม่ติดต่อไทย ได้เล็งเห็นความสำคัญของปัญหานี้ จึงเป็นที่มาของการจัดงานประชุมวิชาการประจำปี 2567 หัวข้อ Stop Obesity, Preventing NCDs: The Move to New Ecosystem เพื่อเป็นเวทีแลกเปลี่ยนความรู้และหาแนวทางร่วมกันในการป้องกันและควบคุมโรคอ้วนและโรคNCDs ซึ่งได้รวบรวมแพทย์ผู้เชี่ยวชาญ หน่วยงานภาครัฐและภาคีเครือข่ายที่เกี่ยวข้องเพื่อหาแนวทางที่เหมาะสมและมุ่งผลักดันเชิงนโยบายและการจัดสรรงบประมาณเพื่อแก้ปัญหาได้อย่างเหมาะสม
ในงานมีการเสวนาหัวข้อ ‘Bridging the gap for holistic obesity care in Thailand ที่บริษัท โนโว นอร์ดิสค์(ประเทศไทย) จำกัด ให้การสนับสนุน โดยได้รับเกียรติจากผู้ทรงคุณวุฒิจากกระทรวงสาธารณ (สธ.) นพ.ศุภฤกษ์ สื่อรุ่งเรือง ผู้อำนวยการกองนวัตกรรมบริการและสุขภาวะ กรมอนามัย เปิดประเด็นว่า จากผลสำรวจการรอบรู้ด้านสุขภาพของคนไทย (Health Literacy) ในปี 2566 จากกลุ่มคนไทยที่มีอายุ15 ปีขึ้นไป มีความรอบรู้ด้านสุขภาพเกี่ยวกับผลิตภัณฑ์ยาและสุขภาพน้อยที่สุด ขณะที่คนไทยส่วนใหญ่มักจะมองว่า‘ความอ้วน’ เป็นเพียงแค่รูปร่างหน้าตา ความสวยงาม หรือรูปลักษณ์ภายนอก มากกว่าที่จะมองว่าและเข้าใจว่า‘ความอ้วน’ คือ ‘โรค’ และส่งผลต่อสุขภาพของตัวเองในระยะยาว ขณะที่ บางรายอาจเริ่มกังวลถึงเรื่องสุขภาพเมื่อมีน้ำหนักตัวเกิน 100 กิโลกรัมขึ้นไป ซึ่งเป็นเรื่องที่น่าตกใจและจำเป็นต้องเร่งสร้างความตระหนักรู้ให้กับประชาชนอย่างต่อเนื่อง
ด้านของ รศ.นพ.ดิลก ภิยโยทัย ผู้อำนวยการโรงพยาบาลธรรมศาสตร์เฉลิมพระเกียรติ แพทย์ผู้เชี่ยวชาญด้านโรคหัวใจ กล่าวว่า 2 ประเด็นหลักๆ ในการดูแลโรคอ้วนคือ1. การรับรู้ในเชิงทางคลินิก (clinical) มีการรับรู้มากขึ้นอย่างต่อเนื่องว่าโรคอ้วนเป็นสาเหตุก่อให้มีโรคร่วมทั้งเบาหวาน ไขมันในเลือดสูง ความดัน ซึ่งสัมพันธ์กับความอ้วน และก่อให้เกิดโรคแทรกซ้อน เช่นภาวะหัวใจล้มเหลว ภาวะหยุดหายใจขณะหลับ ภาวะปอดทำงานผิดปกติ ฯลฯซึ่งคนไข้ต้องปฏิบัติเพื่อลดความเสี่ยงนั้นๆ ควบคู่กับการใช้ยา โดยแพทย์จะรักษาควบคู่กันไปแต่ก็พบปัญหายุ่งยากเพื่อให้คนไข้ลดน้ำหนักเนื่องจากต้องอาศัยสหสาขาวิชาชีพอย่างน้อย 5 สาขาหลักๆที่มีส่วนร่วมในการรักษา อาทิ นักโภชนาการ นักกายภาพบำบัด หมอกระดูก หมอหัวใจหมอโรคปอดและทางเดินหายใจ เป็นต้น โดยต้องประสานและบริหารจัดการในการทำงานร่วมกันเป็นทีม
2. การจัดสรรงบประมาณ (Budget Allocation) มองว่าการรักษาโรคในกลุ่มเมทาบอลิก (Metabolic Syndrome) จะมียอดค่าใช้จ่ายสูง และค่ายาจะเพิ่มสูงขึ้นเรื่อยๆ ขึ้นอยู่กับความรุนแรงของโรค และมักพบปัญหาในการเบิกค่าใช้จ่ายไม่ได้หรือต้องสำรองจ่ายเองซึ่งอาจอยู่ในระบบสุขภาพที่ไม่ได้ครอบคลุมหรือเบิกได้ไม่เต็มจำนวน ก็จะกลายเป็นปัญหาเนื่องจากค่าใช้จ่ายเฉพาะค่ายาในกลุ่มโรคดังกล่าวสูงเป็นอันดับต้นๆ ของประเทศ ดังนั้น รัฐควรมีนโยบายที่ชัดเจนในการจัดการกับปัญหาโรคอ้วน
” การลดน้ำหนักจะได้ประโยชน์ในหลายมิติ เช่น หากลดน้ำหนักได้ 5-10% ขึ้นไป จะทำให้รูปลักษณ์ตนเองดูดีขึ้นแต่ถ้าลดน้ำหนักได้ในอีกระดับหนึ่ง ก็จะควบคุมเบาหวาน ไขมัน ความดันได้ดีขึ้น สำหรับทางทฤษฎีแล้วหากลดน้ำหนักได้ก็จะสามารถควบคุมโรคร่วมได้ดีมากขึ้น รวมถึงแนวทางการรักษาก็จะง่ายขึ้น ไม่ยุ่งยากซับซ้อน อีกทั้งตัวคนไข้เองก็จะประหยัดค่าใช้จ่ายในการรักษาได้อย่างมาก”
ในแง่ปัญหาโรคอ้วน มีความสัมพันธ์กับระบบเศรษฐกิจอย่างไร นายรชตะ อุ่นสุข ผู้อำนวยการควบคุมงานกฎหมาย กรมบัญชีกลาง กระทรวงการคลังกล่าวว่า ถ้าจะพูดถึงวิธีการที่จะลดผู้ป่วยโรคอ้วนและผู้ป่วยกลุ่ม NCDs มองว่านโยบายเชิงสุขภาพไม่สามารถตอบโจทย์การควบคุมโรคอ้วนได้ทั้งหมด เนื่องจาก ส่วนใหญ่เกิดจากพฤติกรรมและไลฟ์สไตล์ของแต่ละคน เพราะฉะนั้น ‘นโยบายด้านสุขภาพ’ หรือ Health Policy “ไม่สามารถอยู่ภายใต้กระบวนการของกระทรวงสาธารณสุขหรือกระทรวงใดกระทรวงหนึ่ง ที่จะแก้ไขปัญหาเหล่านี้ได้เพียงลำพัง ถ้าอยากให้คนในประเทศมีสุขภาพดี จะต้องทำในเชิงมหภาค เพื่อให้เกิดการเปลี่ยนแปลงพฤติกรรมมนุษย์ ซึ่งมองว่า key success ไม่ได้อยู่เพียงแค่กระบวนการรักษาโรคเท่านั้น
“เช่น ในกรณี หากมีการนำนวัตกรรมที่ทำให้สามารถแก้ปัญหากับปัญหาโรคอ้วนได้ทันที อย่างเช่น นวัตกรรมยาใหม่ๆ สิ่งสำคัญคือการตัดสินใจในเชิงนโยบายว่าจะใช้วิธีคิดนี้เป็น first priority ในช่วงระยะเวลาหนึ่ง หรือเป็น second priority ในทุกช่วงถัดๆ ไป แต่วิธีคิดแบบนี้ ควรจะต้องมีการสร้างรากฐานในวิธีการบริหารจัดการให้เหมาะสม ซึ่งต้องยอมรับว่าจะมีคนอยู่กลุ่มหนึ่ง ที่ไม่สามารถเปลี่ยนพฤติกรรมได้ แต่ภาครัฐจะต้องคิดว่าจะดูแลคนกลุ่มนี้ ในมิติใด ที่สำคัญการทำงานจะต้อง Give and Take คือทุกฝ่ายต้องร่วมมือกัน รวมถึงภาคประชาชนด้วย ในทางกลับกันหากคนไข้รอรับอย่างเดียวและคิดว่าจะต้องเป็นผู้รับเท่านั้น เพราะเสียภาษีให้รัฐแล้วก็จะไม่ยุติธรรมสำหรับคนที่ดูแลสุขภาพ โดยประชาชนที่มีสุขภาพดีจึงควรจะได้รับสิทธิประโยชน์เพิ่มขึ้น ซึ่งภาครัฐควรมีนโยบายหรือกลไกเพื่อกระตุ้นให้คนไทยอยากมีสุขภาพดี”ผอ.ควบคุมงานกฎหมาย กรมบัญชีกลางกล่าว
รศ.นพ.ดิลก กล่าว เสริมว่า ภาครัฐควรแก้ปัญหาและดูแลคนที่มีปัญหาโรคอ้วน สามารถแบ่งออกเป็น 3 กลุ่มหลักๆ คือ 1. กลุ่มที่มีสุขภาพดี มีเงินคืน 2. กลุ่มที่มีภาวะโรคที่สามารถจะช่วยตัวเองได้ ให้ความรู้และแนวทางการปฏิบัติ 3. กลุ่มที่มีความเสี่ยงสูง ก็ต้องให้มีการเข้าถึงการรักษาและเข้าถึงยาให้ได้ โดยหากภาครัฐใช้แนวทางนี้ในการดูแล ก็จะเกิดความยุติธรรมและเกิดความสมดุลอย่างเท่าเทียม
“ยกตัวอย่าง การกำหนดใช้ค่า BMI ที่สูงเพื่อเป็นตัวชี้วัดสำหรับผู้ป่วยโรคอ้วน เช่น BMI ตั้งแต่ 37.5 กิโลกรัม/ตารางเมตร, BMI ตั้งแต่ 32.5กิโลกรัม/ตารางเมตร + มีโรคร่วมอย่างน้อย 1 โรค ซึ่งเป็นข้อบ่งชี้ในการผ่าตัดกระเพาะอาหาร ถือเป็นตัวสะท้อนที่ดีในส่วนนี้จะทำให้ผู้ป่วยโรคอ้วนสามารถเข้าถึงการรักษาได้ และยังช่วยลดความเสี่ยงของโรคต่างๆ ได้แต่จำเป็นต้องกำหนดตัวชี้วัดให้ชัดเจนและเคร่งครัด รวมถึงต้องคำนึงถึงวิธีการรักษาใหม่ๆโดยใช้หลักเกณฑ์ในการเข้าถึงยา การรักษาอื่นๆ ด้วยเกณฑ์ที่มีการคัดสรรมาอย่างดี และหากทำได้ครบทุกมิติ รวมทั้ง กลุ่มที่มีสุขภาพดี (Healthy), กลุ่มที่มีภาวะโรคที่สามารถจะช่วยตัวเองได้ (Low Risk) และกลุ่มที่มีความเสี่ยงสูง (High Risk) ประเทศไทยก็จะใช้ทรัพยากรได้อย่างพอดีและเกิดความคุ้มค่าสูงสุด”
ข่าวที่เกี่ยวข้อง
'ICC' ฟันรวบ เนทันยาฮู.. ไม่ง่าย!! | จับจ้องมองโลก..อิสรา สุนทรวัฒน์
'ICC' ฟันรวบ เนทันยาฮู.. ไม่ง่าย!! จับจ้องมองโลก..อิสรา สุนทรวัฒน์ : วันอาทิตย์ที่ 24 พฤศจิกายน พ.ศ.2567
ต่อลมหายใจ ‘ทักษิณ’ | ห้องข่าวไทยโพสต์สุดสัปดาห์
ห้องข่าวไทยโพสต์สุดสัปดาห์ : วันเสาร์ที่ 23 พฤศจิกายน 2567
‘พล.ท.นันทเดช’ เปิดลึกข่าวร้าย..!! ‘อุ๊งอิ๊ง-ทักษิณ’ ตีตั๋วยาว!! | อิสรภาพแห่งความคิด กับ..สำราญ รอดเพชร
อิสรภาพแห่งความคิด กับ..สำราญ รอดเพชร : วันเสาร์ที่ 23 พฤศจิกายน 2567