'หมื่นเสียงสุวรรณภูมิ' ร้อยเรียงเป็น 6 บทเพลง          'สะท้อนเรื่องราวดินแดนแห่งทองคำ'

10,000 เสียงที่สะท้อนให้ได้รับฟัง ส่วนหนึ่งในนิทรรศการ 

“สุวรรณภูมิ” มีความหมายว่าเป็น” ดินแดนแห่งทองคำ “ที่ถูกกล่าวขานมาอย่างยาวนานในบันทึกทางประวัติศาสตร์และหลักฐานทางโบราณคดีทั้งในประเทศไทยและต่างประเทศ โดยทางสำนักงานพัฒนาเทคโนโลยีอวกาศและภูมิสารสนเทศ (องค์การมหาชน) หรือ GISTDA ได้มีการทำหนังสือสุวรรณภูมิ ภูมิอารยธรรมเชื่อมโยงโลก ที่ผ่านการศึกษาวิจัยมาอย่างเข้มข้น ทั้งภายในและต่าง ประเทศในระยะ 100 ปีที่ผ่านมา ซึ่งเริ่มจากการสืบสวนจากนิทานชาดกของอินเดีย ตลอดจนพงศาวดาร และบันทึกต่างๆ ทั้งของอินเดีย ศรีลังกา กรีก โรมัน และจีน โดยยังมีส่วนของฝ่ายเปอร์เซียและอาระเบีย 

ข้อความส่วนหนึ่งในหนังสือที่สำคัญต่อพิกัดของดินแดนสุวรรณภูมิ.  ซึ่งในวงวิชาการไทย มีข้อคิดความเห็นว่าสุวรรณภูมินั้นมีจริงผ่านพัฒนาการ. ก่อนประวัติศาสตร์หลายพันปี จนอาจถึงระดับนคร รัฐ หรืออาณาจักร เมื่อประมาณ 2,000 ปีที่แล้ว มีที่ตั้งอยู่ในภูมิภาคตะวันออกเฉียงใต้ทั้งหมด ที่เรียกว่าอินโดจีน ระหว่างอินเดียกับจีน ตั้งแต่เขตลุ่มน้ำพรหมบุตร ผ่านดินแดนเมียนมา มอญ ไทย ไปตลอดแหลมมลายู ไปจนถึงเขตแม่น้ำโขงรวมถึงในดินแดนยูนนาน รวมทั้งมีข้อเสนอในชื่อโลกแห่งสุวรรณภูมิที่มีภาคพื้นดินเป็นศูนย์กลางแวดล้อม ด้วยอ่าวเบงกอลและอ่าวเมาะตะมะ แหลมมลายูและหมู่เกาะอินโดนีเซีย และทะเลจีนใต้ มีการกำหนดอายุว่าอยู่ ในช่วง พุทธศตวรรษที่ 2 ซึ่งสัมพันธ์กับช่วงเวลาของสุวรรณภูมิ แต่ยังขาดหลักฐานที่ยืนยันอย่างชัดเจนจนกว่าจะมีการค้นพบ หลักฐานใหม่หรือมีการตีความหลักฐานเก่าด้วยวิธีใหม่ๆ ในอนาคต 

มีการกล่าวอีกว่า “สุวรรณภูมิ “นับเป็นดินแดนที่เนื้อหอมเป็นจุดนับพบของชาวตะวันออกและตะวันตกในการเข้ามาค้าขาย แลกเปลี่ยนสิ่งสินค้า และสิ่งที่นำมาด้วยคือการแลกเปลี่ยนทางศิลปวัฒนธรรม 

เพื่อให้ประวัติศาสตร์ถูกนำกลับมาเล่าใหม่ให้คนในยุคปัจจุบันได้ตระหนักถึงมรดกอันทรงคุณค่าที่ผสมผสานความหลากหลายอย่างไร้การแบ่งแยก ศูนย์สุวรรณภูมิศึกษา มหาวิทยาลัยรังสิต จึงได้ทำโครงการ “หมื่นเสียงสุวรรณภูมิ ความรักไปได้ทุกที่ (Sounds Of Suvarnabkumi)” ภายใต้การสนับสนุนจากกระทรวงการอุดมศึกษา วิทยาศาสตร์ วิจัยและนวัตกรรม (อว.) โดยวิทยสถานด้านสังคมศาสตร์ มนุษยศาสตร์ และศิลปกรรมศาสตร์แห่งประเทศไทย(ธัชชา) มหาวิทยาลัยศิลปากร และเครือข่ายมหาวิทยาลัย เพื่อสร้างสรรค์บทเพลงจากลักษณะเฉพาะของเสียงพื้นถิ่นทั่วทั้ง 4 ภาคในประเทศไทยจำนวน 10,000 เสียง นำมาร้อยเรียงเป็นบทเพลงพิเศษ เพื่อสร้างการรับรู้เรื่องราวของสุวรรณภูมิที่เข้าถึงง่ายมากยิ่งขึ้น

สำหรับบทเพลงในโครงการหมื่นเสียงสุวรรณภูมิฯ ประกอบด้วย เพลงอู้วว ฮูวว, เพลงสุวรรณภูมิล้านนา (เสียงจากภาคเหนือ), เพลงบูรพา สุวรรณภูมิ (เสียงจากภาคตะวันออก), เพลง นิราศบางกอก (เสียงจากทุกภาคของไทย), เพลงซาลามัตดาตังสุวรรณภูมิ (เสียงจากภาคใต้) และเพลงวิถีไทเฮา (เสียงจากภาคอีสาน) ที่ได้ถูกบรรเลงขึ้นในกิจกรรม “คอนเสิร์ตเสียงแห่งสุวรรณภูมิและนิทรรศการการสร้างการรับรู้ของสถาบันสุวรรณภูมิศึกษา” ที่ผ่านมา เพื่อสร้างการรับรู้ผ่านนิทรรศการ

คอนเสิร์ตจากบทเพลงในโครงการวิจัยหมื่นเสียงสุวรรณภูมิ และการแสดงแฟชั่นโชว์เครื่องประดับสุวรรณภูมิ  และการแสดงชุด รากสุวรรณภูมิ โดยนายมานพ มีจำรัส ศิลปินศิลปาธร สาขาการแสดงร่วมสมัย ขับเคลื่อนบูรณาการผลงานศาสตร์และศิลป์ให้เป็นที่ประจักษ์

 ผศ.ชวลิต ขาวเขียว

 ผศ.ชวลิต ขาวเขียว ผู้อํานวยการสถาบันสุวรรณภูมิศึกษา กล่าวว่า เมื่อศึกษาเรื่องราวความเป็นไปของอารยธรรมสุวรรณภูมิที่เคยเกิดขึ้น การติดต่อปฏิสัมพันธ์อย่างใกล้ชิดระหว่างกลุ่มคนในแต่ละพื้นที่ของดินแดนสุวรรณภูมิ ทำให้เข้าใจภาพรวมทางประวัติศาสตร์ และบริบทของผู้คนในเอเชียตะวันออกเฉียงใต้ ซึ่งเชื่อกันว่าเป็นชาติพันธุ์ที่มีความใกล้เคียงกัน ทั้งทางสายเลือด ความคิด วิถีวัฒนธรรม และภูมิปัญญาเชิงช่าง ผู้คนในดินแดนแห่งนี้ล้วนมีรากฐานทางมรดกวัฒนธรรมร่วมกัน ซึ่งเป็นพื้นฐานแห่งการพัฒนาความเป็นรัฐแรกเริ่ม รวมไปถึงการสร้างสรรค์งานศิลปะด้วยแรงศรัทธา ซึ่งสืบสานรากประเพณีมาอย่างยาวนาน เพื่อสร้างบริบทใหม่ทางการศึกษา ต่อยอด ขยายผลงานวิจัยเชิงวิชาการ สู่ทิศทางเศรษฐกิจสร้างสรรค์ ด้วยการผสานพหุศาสตร์ หวังผลักดันคุณค่า Soft Power บนรากฐานแห่งอารยธรรมสุวรรณภูมิ ผ่านการสร้างแรงบันดาลใจ กระบวนการสื่อสารที่ทันสมัย ปรับกระบวนทัศน์ทางประวัติศาสตร์ใหม่ และส่งเสริมกิจกรรมที่สร้างการรับรู้ เพื่อถ่ายทอดมรดกทางวัฒนธรรมที่คงเหลือให้ถูกสืบทอดและต่อยอด  เพื่อกระตุ้นโครงสร้างทางเศรษฐกิจ บนฐานแห่งคุณค่า 5 มิติ และการวิวัฒน์อย่างไม่มีวันจบสิ้น

อรวินท์ ลิขิตวิเศษกุล 

ด้าน อรวินท์ ลิขิตวิเศษกุล ผู้อำนวยการศูนย์สุวรรณภูมิศึกษา มหาวิทยาลัยรังสิต กล่าวว่า จุดประสงค์ของโครงการนี้ เพื่อสร้างการรับรู้เกี่ยวกับเรื่องราวของดินแดนสุวรรณภูมิไปยังกลุ่มคนรุ่นใหม่และประชาชนทั่วไป ดังนั้นการนำเนื้อหาประวัติศาสตร์ที่มีเนื้อหาค่อนข้างใช้เวลาในการทำความเข้าใจ การทำให้เข้าใจง่ายจึงเป็นโจทย์ที่มีความท้าทาย โดยในการศึกษาวิจัยยใช้เวลากว่า 6 เดือนในการลงพื้นที่รวบรวมเสียงพื้นถิ่นทั้ง 4 ภาคของประเทศไทย ภาคละ 2,500 เสียง เป็น 10,000 เสียง หากนำมาทำเป็นรายงานวิจัยก็คงยากที่จะมีคนสนใจ ดังนั้นเพื่อให้เกิดเป็นงานศิลปะที่เสพได้ จึงได้เลือกการนำมาทำเป็นเพลง รวมไปถึงการผสมผสานระหว่างดนตรีพื้นถิ่นและความสมัยใหม่รวมเข้าด้วยกัน โดยทั้ง 6 เพลงเป็นเพลงที่แต่งขึ้นใหม่ทั้งหมด อย่างเพลง นิราศบางกอก ที่มีการแร็ปของแต่ละภาค และการทำนองที่ดูแปลกใหม่ ซึ่งได้ทั้งสุนทรียะในการฟังและการเรียนรู้ควบคู่ไปด้วย  สำหรับก้าวต่อไปจะเป็นการนำเสนอเป็นสารคดีที่จะนำเสนอเรื่องราวของสุวรรณภูมิจำนวน 5 ตอน ที่ยิ่งทำให้เข้าใจคำว่าสุวรรณภูมิมากยิ่งขึ้น 

ผศ.บุญรัตน์ ศิริรัตนพันธ 

ผศ.บุญรัตน์ ศิริรัตนพันธ วิทยาลัยดนตรี มหาวิทยาลัยรังสิต  หัวหน้าโครงการหมื่นเสียงสุวรรณภูมิ ได้อธิบายความสัมพันธ์ของดินแดนสุวรรณภูมิพื้นที่แห่งความหลากหลายทางวัฒนธรรมว่า หากจะหานิยามคำว่าสุวรรณภูมิ ที่แท้จริงนั้นคืออะไร ก็คงไม่สามารถระบุชี้ชัดได้ แต่ที่เห็นได้อย่างชัดเจนคงจะเป็นความหลากหลายของประเพณี ศิลปวัฒนธรรม เปรียบเทียบให้เห็นภาพที่สุด คือการสะท้อนผ่านเครื่องดนตรีที่มีหลากหลายประเภทและชนิด เพราะอย่างที่ทราบในอดีตพื้นที่สุวรรณภูมิคือเมืองท่าเป็นสถานีการค้ามีการคนหลากหลายเชื้อชาติเข้ามาแลกเปลี่ยนค้าขายการการไหลเวียนทางวัฒนธรรม อย่างเครื่องดนตรีโบราณที่มีอายุเกาแก่คือ กลองมโหระทึก ที่นอกจากจะพบในไทย ก็ยังพบที่มณฑลยูนนาน จีนตอนใต้ พม่า เวียดนาม อินเดีย  และฆ้อง จะพบในแถบประเทศเวียดนาม เขมร อินโดนีเซีย โดยเฉพาะที่อินโดนีเซียจะมีการใช้ฆ้องประกอบการเล่นดนตรีจำนวนมาก เช่นเดียวกับไทยที่มีการเล่นฆ้องวง ฆ้องมอญ หรือโหม่ง ซึ่งเครื่องดนตรีทั้ง 2 ชนิดเปรียบเสมือนของมีค่าของไทย เพราะหากพื้นที่ใดพบก็จะสันนิษฐานได้ว่าเคยเป็นเมืองท่ามาก่อน 

กลองมโหระทึก

“ไทยยังรับวัฒนธรรมการเล่นเครื่องดนตรีมาจากประเทศอื่นด้วย เช่น ปี่ มาจากลังกา หอยสังข์ กลองแขก กลองชนะ มาจากศรีลังกา แต่เครื่องดนตรีที่มีต้นกำเนิดในไทยอย่างชัดเจนเลย คือ แคน หรือโปงลาง เป็นต้น หรือไวโอลิน ที่มีต้นกำเนิดมาจากเปอร์เซีย สะท้อนให้เห็นว่าดนตรีเป็นวัฒนธรรมที่ไทยรับมาจากหลากหลายแห่งผสมผสานจนเป็นเราทุกวันนี้” ผศ.บุญรัตน์  กล่าว 

ผศ.บุญรัตน์ กล่าวต่อว่า ดังนั้นเพื่อให้เกิดการผสมผสานอย่างลงตัวของเครื่องดนตรีที่หลากหลายในแต่ละเภท แต่ละภูมิภาค รวมไปถึงการผนวกเสียงวิถีชีวิตและเสียงธรรมชาติที่รวมกันเป็น 10,000 เสียง มาประพันธ์เป็นบทเพลงขึ้นใหม่จากผู้ที่มีความเชี่ยวชาญด้านทำนองและคำร้องยิ่งสะท้อนให้เห็นถึงความหลายของคำว่าสุวรรณภูมิผ่านบทเพลงต่างๆ และเสียงดนตรีจากประเทศไทย จีนตอนใต้ อินโดนีเซีย ลาว มอญ  อาทิ ซอบั้ง กลองยาว โทน  ไวโอลิน ปี่ โหม่ง มโหระทึก ฯลฯ เป็นทำนองได้ความแปลกใหม่เข้ากับยุคสมัย เพราะได้มีการรังสรรค์เข้ากับการแร็ป บีตบ็อกซ์ ที่ร่วมสมัยแต่ยังคงใช้คำพื้นถิ่น 

การแสดงรากสุวรรณภูมิ

“ดังนั้นไม่ว่าจะเป็นเครื่องดนตรีพื้นถิ่น เสียงจากวิถีชีวิต เสียงธรรมชาติ หรือแม้แต่เครื่องดนตรีสมัยใหม่ การทำเพลงแบบยุคปัจจุบันก็สามารถนำมาประยุกต์ร่วมกันใช้ได้ และยังเป็นประโยชน์เพราะเสียง 10,000 เสียงที่ถูกเก็บมาจะเป็นสมบัติของชาติ และนักดนตรีได้เห็นความเป็นไปได้ในการทำเพลงที่ใช้เครื่องดนตรีพื้นบ้าน หรือนักร้องที่สามารถร้องเพลงได้การทำนองที่มีความเป็นเอกลักษณ์และตัวตนของวัฒนธรรมพื้นถิ่นของตัวเอง” ผศ.บุญรัตน์ ทิ้งท้าย 

อย่างไรก็ตามสามารถรับฟัง 6 บทเพลงพิเศษจากโครงการหมื่นเสียงสุวรรณภูมิฯ ได้ที่ YouTube และ Spotify 

การแสดงเครื่องดนตรีซอบั้ง 

การแสดงเครื่องดนตรีเป่าปี่
การแสดงดนตรีหลากหลายประเภท ที่มาจากดินแดนสุวรรณภูมิ

เพิ่มเพื่อน

ข่าวที่เกี่ยวข้อง

วันนี้ 'วันครีษมายัน' กลางวันยาวสุดของปี พระอาทิตย์อยู่บนท้องฟ้าเกือบ 13 ชม.

สถาบันวิจัยดาราศาสตร์แห่งชาติ (องค์การมหาชน) (สดร.) หรือ NARIT กระทรวงการอุดมศึกษา วิทยาศาสตร์ วิจัยและนวัตกรรม (อว.) แจ้งว่า ในวันที่ 21 มิถุนายน 2567 เป็น “วันครีษมายัน”