'Personalised Learning 'เรียนแบบสั่งตัด

รร.เลิร์นสาธิตพัฒนา

ในยุคนี้การศึกษาเป็นอีกหนึ่งสนามการแข่งขันของเด็กและเยาวชน รวมไปถึงผู้ปกครองที่ต้องการให้บุตรได้เข้าสู่โรงเรียนหรือมหาวิทยาลัยที่ดีเพื่ออนาคตในการทำงาน แต่สิ่งที่ผู้ปกครองคาดหวังในตัวเด็กและเยาวชน ทำให้นอกจากจะเรียนในโรงเรียนวันละ 8-9 ชั่วโมงแล้ว หลังเลิกเรียนหรือวันหยุดเสาร์อาทิตย์ยังมีตารางเรียนพิเศษวิชาหลักและทักษะเสริมอีกจนกลายเป็นความกดดันซึ่งเป็นหนึ่งในสาเหตุที่ส่งผลกระทบต่อสุขภาพทางจิตใจและร่างกาย

 ดังนั้นการศึกษาหนึ่งรูปแบบ ไม่สามารถเป็นสิ่งที่เรียกว่า” One-Size-Fits-All” หรือตอบโจทย์เป้าหมายและแนวทางการเรียนของเด็กได้ทุกคน ด้วยปัจจัยมากมายที่อาจกลายเป็นอุปสรรคระหว่างเส้นทางการการศึกษาของเด็กไทย จนส่งผลให้เขาเหล่านั้นต้องถูกทอดทิ้งหรือต้องพ่ายแพ้ต่อระบบการศึกษาที่ถูกตั้งไว้เป็นหลักมาตรฐานแบบดิ้นไม่ได้ ทั้งในเชิงทักษะการเรียนที่ไม่ได้รับการพัฒนาอย่างเหมาะสม และสภาวะอารมณ์ที่ต่อต้านการเรียนรู้ที่ไม่ตรงกับความต้องการ อาจกลายเป็นหนึ่งต้นตอของความไม่ประสบผลสำเร็จการศึกษาของเด็กไทย

การปรับเปลี่ยนระบบการเรียนการสอนให้ตอบโจทย์ทั้งเด็กและผู้ปกครองอาจเป็นอีกทางออกที่โรงเรียนเลิร์นสาธิตพัฒนา(LSP School) ภายใต้การบริหารงานของ LEARN Corporation เล็งเห็นปัญหาในระบบการศึกษาไทย จึงมีเป้าหมายยกระดับการศึกษาเพื่อสร้างเด็กไทยให้ประสบความสำเร็จอย่างมีความสุข ด้วยการเรียนแบบ “Personalised Learning” คำตอบของแนวทางการศึกษาที่เด็กทุกคนได้เลือกเรียนตามความชอบและความถนัดของตัวเอง พร้อมต่อยอดพัฒนาศักยภาพของเด็กให้เติบโตสูงสุดภายใต้แนวคิด Be the best in your way ผ่านโซลูชันการศึกษาที่ตอบโจทย์ทั้งด้านการค้นหาตัวเอง ภาษา ผสานจุดแข็งด้านความเข้มข้นทางวิชาการ มุ่งสู่การเป็นต้นแบบอนาคตของการศึกษาไทย

เศรษฐพล ไกรคุณาศัย ผู้อำนวยการโรงเรียนเลิร์นสาธิตพัฒนา

เศรษฐพล ไกรคุณาศัย ผู้อำนวยการโรงเรียนเลิร์นสาธิตพัฒนา กล่าวว่า การเข้ามาบริหารโรงเรียนเลิร์นสาธิตพัฒนา ฝ่ายมัธยมเป็นความท้าทายอย่างมาก เพราะแตกต่างจากการทำสถาบันกวดวิชาซึ่งเป็นงานที่ถนัด แต่เมื่อได้ใบอนุญาตให้เข้ามาบริหารฝ่ายมัธยมที่โรงเรียนแห่งนี้ตั้งแต่ปีพ.ศ.2563 จนถึงปัจจุบัน ซึ่งเป็นโรงเรียนขนาด 900 คน มีครูชาวไทย 80 คน ครูชาวต่างชาติ 40 คน โจทย์แรกที่ต้องทำคือ ทำให้ทุกอย่างจบครบในที่เดียว นักเรียนเข้ามาเรียนในโรงเรียนแล้วไม่ต้องออกไปเรียนกวดวิชาข้างนอกเพิ่ม เพื่อให้นักเรียนมีเวลาว่างในการทำกิจกรรมอื่นๆ และบูรณาการวิชาที่สอนให้ตรงกับความต้องการของนักเรียนมากที่สุด ดังนั้นสิ่งที่จะเป็นคำตอบทุกอย่างได้ดีที่สุด โรงเรียนเลิร์นสาธิตพัฒนา ต้องเป็น Personalised Learning ตามมาตรฐานโรงเรียนสากลมาใช้ เพื่อปลดล็อกศักยภาพสูงสุดของนักเรียน และช่วยให้บรรลุเป้าหมายความสำเร็จตามที่ตั้งใจได้อย่างมีความสุข

จัดการเรียนการสอนให้ตรงประเด็นและเป้าหมายของเด็ก  เศรษฐพล กล่าวต่อว่า การเรียนรู้แบบ Personalised Learning ตั้งแต่ระดับชั้นมัธยมศึกษาปีที่ 1-6 จะต้องมีแนวทางในการค้นหาความชอบหรืออาชีพที่เด็กอยากทำที่ถูกต้อง ดังนั้นเด็กๆทุกคนจึงมีตารางเรียนเป็นการเรียนแบบรายบุคคล เพื่อให้เด็กได้เรียนตรงตามเป้าหมาย ตัวอย่าง นักเรียนที่ต้องการเข้าคณะวิศวกรรมศาสตร์กับคณะสถาปัตยกรรมศาสตร์ ก็จะเรียนวิชาไม่เหมือนกันแต่ทุกคนต้องเรียนให้ครบตามหน่วยกิตตามมาตรฐานของระบบการศึกษาไทย

การเรียนรู้ในTrack 1 วิทยาศาสตร์สุขภาพ

โดยผลสอบล่าสุดในปีการศึกษา 2566 ที่ผ่านมา ผอ.รร.เลิร์นสาธิตพัฒนา กล่าวว่า มีนักเรียนระดับชั้นม.6 ผ่านการคัดเลือกเข้ามหาวิทยาลัยชั้นนำทั้งในและต่างประเทศกว่า 99% โดยในจำนวนนี้มี 70% ที่ผ่านตั้งแต่รอบ Portfolio และรอบ Quota จากความร่วมมือของคุณครู นักจิตวิทยา และทีมผู้เชี่ยวชาญเฉพาะทางด้านการศึกษามากมาย อาทิ OnDemand, Ignite by OnDemand, Premier Prep, EduSmith รวมทั้งได้แนะแนวการสอบและปรึกษาการเลือกอันดับมหาวิทยาลัยกับ TCASter ตลอดจนความร่วมมือกับสถาบันชั้นนำเพื่อเสริมความแข็งแกร่งด้านวิชาการ เช่น จุฬาลงกรณ์มหาวิทยาลัย มหาวิทยาลัยมหิดล มหาวิทยาลัยธรรมศาสตร์ และอีกมากมาย ความสัมพันธ์ระหว่างเด็กและผู้ปกครองมีความเข้าใจกันมากขึ้น เนื่องจากเด็กได้ค้นพบแนวทางที่เหมาะสมและมีความสุข ในขณะที่ผู้ปกครองได้มีโอกาสทำความเข้าใจถึงความต้องการและความถนัดของเด็ก เพื่อร่วมกันวางแผนสู่เส้นทางอนาคตที่ต้องการ รวมทั้งในอนาคตยังเตรียมขยายโอกาสในการเข้าถึง Personalised Learning ให้มากขึ้น โดยการขยายสาขาเพิ่มในกรุงเทพฯ

Track 3 ศิลป์พาณิชย์ ฝึกฝนในสิ่งที่ชอบและอยากทำ

ในส่วนของหลักสูตร ผอ.รร.เลิร์นสาธิตพัฒนา  อธิบายว่า มาจากแนวคิด Be the best in your way นำมาสู่การออกแบบ 3 หลักสูตร ได้แก่  Signature Program , International  Signature Program ที่สามารถตอบโจทย์ของนักเรียนตั้งแต่ในช่วงชั้นม.1-3 ในการค้นหาอาชีพที่ทำแล้วมีความสุขเพื่อให้สามารถเลือกแผนการเรียนในชั้นมัธยมศึกษาตอนปลายได้ง่ายขึ้นสามารถแบ่งได้เป็น 3 มิติ ได้แก่  Explorations การค้นหาตัวตน นักเรียนทุกคนจะได้ค้นหาตัวตนในแง่มุมต่าง ๆ ตามความสนใจ ความชอบ และความถนัด ผ่านการพูดคุยกับครูที่ปรึกษา การประเมินบุคลิกภาพและความถนัด หรือ RIASEC  แบ่งเป็นงานช่างฝีมือและกลางแจ้ง (Realistic) งานวิทยาศาสตร์และเทคนิค (Investigative) งานศิลปะ ดนตรีและวรรณกรรม (Artistic) งานบริการการศึกษาและสังคม (Social) งานจัดการและค้าขาย (Enterprising) และงานสำนักงานและเสมียน (Conventional) เพื่อให้นักเรียนได้รู้แนวทางอาชีพที่อยากทำในอนาคต โดยทีมครูจิตวิทยา และเปิดโอกาสให้เด็กได้เลือกเรียนตามความสนใจด้วยวิชาเลือกกว่า 40 วิชาในหลากหลายแขนง เปิดสอนทั้งภาษาไทยและอังกฤษ ตลอดจนการทำกิจกรรม I-Career Workshop ซึ่งเป็นการเวิร์คช็อป 6 อาชีพต่อเทอม เท่ากับ 6 ภาคเรียนจะได้เวิร์คช็อป 36 อาชีพ เด็กจะได้รู้จักอาชีพที่หลากหลาย ผ่านการสวมบทบาทตามสถานการณ์จำลอง และต่อยอดไปสู่การฝึกงานในสถานประกอบการต่าง ๆ เพื่อสัมผัสประสบการณ์จริงตามสายอาชีพที่สนใจ

 อีกสิ่งที่ขาดไม่ได้คือ Language ภาษา นักเรียนสามารถใช้ภาษาได้อย่างคล่องแคล่วทั้งภาษาไทยและภาษาอังกฤษ ผ่านหลักสูตรที่ได้มาตรฐานสากลอย่าง Cambridge International School และเตรียมความพร้อมสู่รั้วมหาวิทยาลัยนานาชาติและต่างประเทศ โดยการฝึกทำข้อสอบ IELTS พร้อมฝึกฝนการสัมภาษณ์ภาษาอังกฤษ นอกจากนี้ ยังมีการเปิดโอกาสสู่โลกกว้างผ่านซัมเมอร์แคมป์และกิจกรรมเวิร์กชอปต่าง ๆ ร่วมกับ APPA

Track 2 วิศวกรรมศาสตร์และเทคโนโลยี พัฒนาทักษะด้วยการลงมือทำ 

เมื่อนักเรียนเข้าสู่การเรียนในระดับชั้นม.4-6 การเรียนในหลักสูตร Academic Rigour and Matriculation ความเข้มข้นทางด้านวิชาการและการสอบเข้า เพื่อผลักดันให้นักเรียนทุกคนเข้าเรียนต่อระดับอุดมศึกษาได้ตามความฝัน โดยมีแผนการเรียน(Career Track) ให้เลือกทั้ง 4 แผน ได้แก่ Track 1 วิทยาศาสตร์สุขภาพ(General Health Science), Track 2 วิศวกรรมศาสตร์และเทคโนโลยี(Engineering & Technology), Track 3 ศิลป์พาณิชย์(Commercial Arts) และ Track 4 ธุรกิจ สังคมศาสตร์และภาษาที่ 3 (Business Social Sciences & 3rd Language) เพื่อให้นักเรียนได้รู้แนวทางอาชีพที่อยากทำในอนาคต

“ส่วนหลักสูตรที่3 ได้มีการพัฒนาหลักสูตรใหม่ล่าสุด International Program (US Dual Diploma) หลักสูตรควบ 2 วุฒิการศึกษา ที่เกิดจากการลงนามความร่วมมือกับโรงเรียน Washington Academy ประเทศสหรัฐอเมริกา โดยผู้เรียนจะได้รับวุฒิ High School Diploma ควบคู่กับวุฒิการศึกษาระดับชั้นมัธยมศึกษาตอนปลายด้วย”  ผอ.รร.เลิร์นสาธิตพัฒนา กล่าว

เพิ่มเพื่อน

ข่าวที่เกี่ยวข้อง