ปัญหาสุขภาพที่เป็นภัยเงียบคุกคามสตรีที่มีแนวโน้มเพิ่มขึ้นต่อเนื่อง คือ โรคมะเร็งเต้านม และมะเร็งปากมดลูก ซึ่งผู้หญิงส่วนใหญ่กว่าจะรู้ตัวมะเร็งตัวร้ายก็ได้คุกคามไปสู่ระยะรุนแรง ดังนั้นไม่อาจจะปฏิเสธได้ว่ามะเร็งเต้านมได้ครองอันดับ 1 และมะเร็งปากมดลูกเป็นอันดับ 5 ที่พบในผู้หญิงไทยมากที่สุด โดยข้อมูลจากสถาบันมะเร็งแห่งชาติพบว่า มะเร็งปากมดลูกถือเป็นภัยร้ายที่คุกคามต่อสุขภาพผู้หญิงทั่วโลก ในแต่ละปีมีผู้หญิงไทยที่เจ็บป่วยด้วยมะเร็งปากมดลูกรายใหม่ปีละกว่า 5,000 ราย หรือเฉลี่ยวันละ 15 ราย และเสียชีวิตปีละกว่า 2,200 ราย หรือวันละ 6 ราย แต่มะเร็งปากมดลูกนั้นเป็นมะเร็งที่รักษาให้หายได้หากพบในระยะเริ่มต้น และสามารถป้องกันได้ด้วยการตรวจหาเชื้อเอชพีวี ที่เป็นสาเหตุของโรคตั้งแต่ระยะเริ่มแรก
ในขณะที่สถานการณ์มะเร็งเต้านมในประเทศไทย พบว่าแต่ละปีมีผู้หญิงที่ป่วยเป็นมะเร็งเต้านมรายใหม่อยู่ที่ 37.8 ต่อแสนประชากร ซึ่งปี 2563 อยู่ที่จำนวน 22,158 รายหรือร้อยละ 22.8 ของจำนวนผู้หญิงที่ป่วยเป็นมะเร็งทุกชนิด ขณะที่อัตราการเสียชีวิตจากมะเร็งเต้านมอยู่ที่ 12.7 ต่อแสนประชากร ปี2563 อยู่ที่จำนวน 8,266 ราย หรือร้อยละ 14.6 ของผู้หญิงที่เสียชีวิตจากมะเร็งทุกชนิด
ดังนั้นทั้งโรคมะเร็งเต้านมและมะเร็งปากมดลูกที่เป็นสาเหตุการเสียชีวิตอันดับต้นๆ ของมะเร็งในสตรี และเป็นปัญหาสาธารณสุขสำคัญที่ควรได้รับการแก้ไข เนื่องจากทำให้เกิดการสูญเสียทรัพยากรบุคคล และส่งผลกระทบต่อเศรษฐกิจและสังคม ซึ่งมะเร็งทั้ง 2 ชนิดนี้สามารถ ป้องกัน ดูแลรักษาซึ่งจะได้ผลดีในระยะแรกๆ โดยการค้นหาผู้ป่วยให้เร็วที่สุด
โดยในปัจจุบัน คณะกรรมการหลักประกันสุขภาพแห่งชาติ(สปสช.) ได้พิจารณาและเห็นชอบ ข้อเสนอการตรวจคัดกรองมะเร็งเต้านม ด้วยเครื่องแมมโมแกรมและอัลตราซาวด์ และบริการตรวจคัดกรองมะเร็งปากมดลูกด้วยวิธี การตรวจหาเชื้อเอชพีวีดีเอ็นเอ (HPV DNA testing) ที่มีความแม่นยำสูง พร้อมเพิ่มทางเลือกในการตรวจคัดกรองมะเร็งปากมดลูกแบบเก็บตัวอย่างด้วยตนเอง (HPV DNA Self-sampling) ฟรี ไม่เสียค่าใช้จ่ายสำหรับทุกสิทธิ์การรักษา ในชุดสิทธิประโยชน์หลักประกันสุขภาพแห่งชาติหรือสิทธิบัตรทองแล้วเป็นที่เรียบร้อย
เพื่อขยายโอกาสในการเข้าถึงการป้องกันและรักษาทาง สมาคมมะเร็งนรีเวชไทย ร่วมกับภาคีเครือข่ายภาครัฐและเอกชน สมาคมโรคเต้านมแห่งประเทศไทย มูลนิธิเครือข่ายมะเร็ง และชมรมผู้ป่วยมะเร็งเต้านมแห่งประเทศไทย จึงได้ร่วมจัดการประชุมเพื่อหารือและเสริมสร้างนโยบายมะเร็งในสตรีและโอกาสของการดูแลมะเร็งในสตรี ภายใต้หัวข้อ “Enhancing Women’s Cancer Care: Thailand Women Cancer Policy Forum” ครั้งที่ 2 เนื่องในวันสตรีสากล เพื่อหารือถึงการเสริมสร้างแนวทางการป้องกัน การรักษา และการขยายโอกาสการดูแลผู้ป่วยมะเร็งปากมดลูกและมะเร็งเต้านม ให้สามารถต่อยอดสู่การพัฒนายุทธศาสตร์และระบบบริการด้านมะเร็งในสตรี
นพ.ชลน่าน ศรีแก้ว รัฐมนตรีว่าการกระทรวงสาธารณสุข(สธ.) กล่าวว่า ตามนโยบายมะเร็งครบวงจร เพื่อขับเคลื่อนการดำเนินงานครบทุกมิติตั้งแต่การส่งเสริมป้องกัน การคัดกรอง การตรวจวินิจฉัย การรักษา ตลอดจนการดูแลประคับประคองอย่างเป็นระบบ ซึ่งในปัจจุบันผู้ป่วยมะเร็งรายใหม่มีมากถึง 140,000 รายต่อปี และมะเร็งในสตรีที่พบมากที่สุดคือ มะเร็งปากมดลูก และมะเร็งเต้านม ดังนั้นในการประชุมในครั้งนี้สอดคล้องกับการขับเคลื่อนก้าวต่อไปในการดำเนินนโยบายเชิงรุกด้านมะเร็งในสตรีของสธ. หลังจากสปสช.มีการบรรจุสิทธิประโยชน์ด้านการตรวจคัดกรองมะเร็งปากมดลูกและการตรวจคัดกรองมะเร็งเต้านม ในสตรีอายุ 40 ปีขึ้นไปทุกสิทธิการรักษาพยาบาลที่มีประวัติญาติสายตรงเป็นมะเร็งเต้านม และกำหนดเป้าหมายบริการตรวจคัดกรองในปี 2567 จำนวน 40,600 ราย สามารถเริ่มตรวจได้ในเดือนเมษายนนี้เป็นต้นไป นอกจากนี้ได้ขยายกลุ่มเป้าหมายดำเนินการฉีดวัคซีน HPV เพื่อป้องกันมะเร็งปากมดลูกในเด็กนักเรียน ผู้หญิงไทยที่มีอายุระหว่าง 11-20 ปี ตลอดจนวิธีการดำเนินการอย่างเป็นรูปธรรม อาทิ การเพิ่มการเข้าถึงการตรวจคัดกรองฯ การจัดให้มีกองทุนมะเร็งเพื่อความเท่าเทียมในการเข้าถึงยานวัตกรรมสำหรับรักษามะเร็งได้ตั้งแต่ระยะเริ่มต้นโดยไม่มีค่าใช้จ่ายเป็นอุปสรรครวม ทั้งการเตรียมระบบรองรับการตรวจคัดกรองมะเร็งเต้านมตามสิทธิประโยชน์เพิ่มเติม
“ถือเป็นก้าวสำคัญของการดำเนินงานตามแผนที่ยุทธศาสตร์ในการเสริมสร้างแนวทางการป้องกัน การรักษา และการขยายโอกาสการดูแลมะเร็งในสตรี ซึ่งก่อให้เกิดการบูรณาการความร่วมมือของทุกภาคส่วน ทั้งระหว่างภาครัฐ หน่วยงานองค์การบริหารส่วนจังหวัด ภาคีภาคเอกชน และองค์กรเพื่อสังคม ได้มีส่วนร่วมและมีบทบาทในการสร้างความเปลี่ยนแปลงเชิงบวกต่อนโยบายด้านสาธารณสุขให้ขับเคลื่อนไปข้างหน้าอย่างมีประสิทธิภาพ พร้อมทั้งยังช่วยสร้างความตระหนักเกี่ยวกับปัญหามะเร็งต่อชุมชนและประชาชน ส่งเสริมเกิดพฤติกรรมที่เป็นประโยชน์ต่อสุขภาพ เพื่อให้ประชาชนเข้าถึงระบบสุขภาพและระบบสุขภาวะที่ดีและยั่งยืนต่อไป” รมว.สธ. กล่าว
ด้าน ศ.พญ. ศิริวรรณ ตั้งจิตกมล นายกสมาคมมะเร็งนรีเวชไทย กล่าวว่า ระบบสาธารณะสุขจะเกิดการพัฒนาอันเป็นประโยชน์สูงสุด ต้องอาศัยความร่วมมือจากทุกภาคส่วน ซึ่งยังพบปัญหาความไม่เท่าเทียมด้านนวัตกรรมการรักษา โอกาสในการเข้าถึงบริการและการรับรู้ข้อมูลข่าวสารด้านสุขภาพ ซึ่งหนึ่งในภารกิจที่สำคัญคือการส่งเสริมด้านสุขภาพ โดยเฉพาะมะเร็งในสตรี เพราะยังมีกลุ่มสตรีไทยอีกจำนวนมากที่ยังไม่ได้รับการตรวจคัดกรองมะเร็งปากมดลูก การเพิ่มการเข้าถึงการตรวจคัดกรองมะเร็งปากมดลูกด้วยชุดเก็บสิ่งส่งตรวจมะเร็งปากมดลูกด้วยตัวเอง หรือ HPV DNA Self-sampling เป็นการขยายการตรวจคัดกรองมะเร็งปากมดลูกเชิงรุกในเขตกรุงเทพมหานคร ผ่านการสร้างกลไกเพื่อประสานความร่วมมือระหว่างหน่วยงานภาคีภาครัฐและเอกชน รวมทั้งการหารือร่วมกันระหว่างหน่วยงานที่เกี่ยวข้องในการพิจารณาแนวทางการจัดทำและบริหารทะเบียนข้อมูลจาก 3 กองทุน ประกอบด้วย กองทุนหลักประกันสุขภาพแห่งชาติ กองทุนสวัสดิการรักษาพยาบาลข้าราชการ สิทธิ์ประกันสังคม รวมไปถึงข้อมูลจากโรงพยาบาลเอกชน เพื่อให้แสดงภาพรวมการตรวจคัดกรองมะเร็งปากมดลูกในระดับประเทศได้อย่างถูกต้อง จะช่วยแก้ปัญหาข้อจำกัดในการดำเนินงานได้อย่างตรงจุด ตลอดจนขับเคลื่อนการดำเนินงานเชิงรุกได้อย่างมีประสิทธิภาพ
ศ.พญ. ศิริวรรณ กล่าวต่อว่า นอกจากนี้การผลักดันการสร้างความตระหนักรู้ให้แก่สังคมในเรื่องการป้องกันและการตรวจคัดกรองเพื่อการตรวจพบโรคในระยะเริ่มต้น จัดสรรงบประมาณ เทคโนโลยีและทรัพยาการเพื่อการเข้าถึงประชาชนในเชิงรุกบูรณาการฐานข้อมูลกองทุนด้านสุขภาพ เพื่อขับเคลื่อนการเปลี่ยนแปลงระบบสาธารณสุขของไทย สนับสนุนการเข้าถึงการรักษาอย่างเท่าเทียมด้วยยานวัตกรรมผ่าน กองทุนมะเร็งเพื่อเพิ่มการเข้าถึงการรักษาสำหรับโรคมะเร็งในระยะเริ่มต้น โดยเน้นการบูรณาการความร่วมมือในรูปแบบของการร่วมลงทุนระหว่างรัฐและเอกชน หรือ Public Private Partnership (PPP) เพื่อเพิ่มความรวดเร็วและคล่องตัวในการบริการ รวมทั้งไม่เพิ่มภาระหน้างานของโรงพยาบาลรัฐมากจนเกินไป ผ่านการอภิปรายแบบปิด (Closed Group Discussion) โดยระดมผู้เชี่ยวชาญและผู้ทรงคุณวุฒิจากทั่วประเทศ
ศิรินทิพย์ ขัติยะกาญจน์ ประธานมูลนิธิเครือข่ายมะเร็ง กล่าวว่า ต้องการเรียกร้องมีการดำเนินการขับเคลื่อนกองทุนมะเร็งอย่างเร่งด่วน เพื่อให้มีวิธีการใหม่ๆ ในการเพิ่มการเข้าถึงการรักษาสำหรับผู้ป่วยที่ดื้อต่อการรักษาและผู้ป่วยที่รักษาแล้วไม่ตอบสนองต่อคีโมด้วยยานวัตกรรม เช่นยามุ่งเป้า และยาภูมิคุ้มกันบำบัด ซึ่งให้ผลการรักษาดีแต่มีค่าใช้จ่ายสูง เข้าสู่บัญชียาหลักจะช่วยยืดอายุและคุณภาพชีวิตของผู้ป่วยมะเร็งได้ เพราะผู้ป่วยมะเร็งมี Golden Time ต้องต่อสู้กับเวลาเพราะก้อนมะเร็งโตขึ้น ลุกลามขึ้นเรื่อยๆ แต่ต้องใช้เวลากว่า 7-10 ปีกว่าจะสามารถนำยานวัตกรรมเข้าสู่บัญชียาหลักเพื่อให้สามารถเบิกจ่ายได้นั้นจะมีผลต่อผู้ป่วยมะเร็งมาก เพราะทุกวินาทีของผู้ป่วยมะเร็งนั้นมีค่ามาก รวมทั้งคุณภาพชีวิตของผู้ป่วยและครอบครัวในระหว่างการต่อสู้กับโรคมะเร็งได้อย่างเป็นรูปธรรม ซึ่งจะช่วยให้ผู้ป่วยตัดสินใจเข้ารับการตรวจคัดกรอง และเข้าสู่กระบวนการรักษาอย่างทันท่วงที เนื่องจากการตรวจพบโรคมะเร็งและการดูแลรักษาผู้ป่วยในระยะเริ่มต้น มีความสำคัญในการเพิ่มโอกาสการรอดชีวิต
อย่างไรก็ตาม เพื่อยกระดับมาตรฐานการรักษามะเร็งเต้านมแบบองค์รวมและทัดเทียมกันของประเทศไทย สมาคมโรคเต้านมแห่งประเทศไทย จึงได้ทำการลงนามความร่วมมือทางวิชาการเพื่อยกระดับมาตรฐานการรักษามะเร็งเต้านมแบบองค์รวมและทัดเทียมกันของประเทศไทย ระหว่างสมาคมโรคเต้านมแห่งประเทศไทย กับโรงพยาบาลทั้ง 8 แห่ง ได้แก่ รพ.ราชบุรี,รพ.สุรินทร์, รพ. วชิระภูเก็ต, รพ. นมะรักษ์,สถาบันมะเร็งแห่งชาติ, รพ.ศรีนครินทร์มหาวิทยาลัยขอนแก่น, รพ. พุทธชินราช และ รพ. กลาง นอกจากนี้ ในการเพิ่มการเข้าถึง การรักษามะเร็งเต้านมระยะเริ่มต้นด้วยการตั้งกองทุนยามะเร็งในระหว่างที่ยายังไม่เข้าบัญชียาหลัก และมีวิธีการใหม่ๆ ในการเร่งระบบพิจารณายาเข้าบัญชียาหลักให้รวดเร็วมากยิ่งขึ้น เพื่อเพิ่มโอกาสให้ผู้หญิงไทยเข้าถึง วิธีการรักษา และนวัตกรรมใหม่ๆในการรักษามะเร็งเต้านมระยะเริ่มต้นมากขึ้น เช่น การได้รับยาเพื่อลดขนาดก้อนก่อนการผ่าตัด, การรับยาในกลุ่มคนไข้ที่เหลือก้อนหลังการผ่าตัด และยากลุ่มมุ่งเป้าต่างๆ ที่มีประสิทธิภาพสูง.
ข่าวที่เกี่ยวข้อง
ขอเชิญชาวกรุงเทพมหานคร ตรวจคัดกรองมะเร็งเต้านม ฟรี ทั่วเขตกรุงเทพมหานคร
ขอเชิญชาวกรุงเทพมหานคร ตรวจคัดกรองมะเร็งเต้านม ฟรี ทั่วเขตกรุงเทพมหานคร โดยมีการออกให้บริการดังนี้
อนิจจา! 2 นักการเมือง สู้อุตส่าห์ดูแลพรรค วันนี้กลับไม่มีเยื่อใยให้
นายต่อตระกูล ยมนาค อดีตนายกสมาคมวิศวกรรมสถานแห่งประเทศไทยในพระบรมราชูปถัมภ์ โพสต์ข้อความผ่านเฟซบุ๊กว่า อนิจจา 2 นักการเมือง คุณภาพดี สู้อุตส่าห์ดูแลพรรคมาให้ วันนี้ไม่มีเยื่อใยให้
'อุ๊งอิ๊ง' ตรวจน้ำท่วมวัดภูมินทร์ ดูภาพกระซิบรักบรรลือโลก น้ำลดลงสู่ภาวะปกติแล้ว
น.ส.แพทองธาร ชินวัตร นายกรัฐมนตรี ในฐานะหัวหน้าพรรคเพื่อไทย พร้อมด้วยนายภูมิธรรม เวชยชัย รองนายกรัฐมนตรีและรัฐมนตรีว่าการกระทรวงพาณิชย์ปฏิบัติหน้าที่แทนนายกรัฐมนตรี และนายอนุทิน ชาญวีรกูล