ปลัดกระทรวงสาธารณสุข เผย ไทยเข้าสู่ฤดูร้อนแล้ว ปีนี้อากาศจะร้อนกว่าปีก่อน อุณหภูมิสูงสุดถึง 44.5 องศาเซลเซียส ห่วงประชาชนเสี่ยงภาวะ “ฮีทสโตรก” อันตรายถึงขั้นเสียชีวิตได้ แนะกลุ่มเสี่ยง เด็กเล็ก หญิงตั้งครรภ์ ผู้สูงอายุ ผู้มีโรคประจำตัว อยู่ในที่อากาศถ่ายเทสะดวก เลี่ยงอยู่กลางแดดนานๆ ส่วนคนทำงานกลางแจ้งให้สลับเข้าที่ร่มเป็นระยะ แนะวิธีป้องกัน สังเกตอาการและปฐมพยาบาล
28 ก.พ. 2567 – นพ.โอภาส การย์กวินพงศ์ ปลัดกระทรวงสาธารณสุข เปิดเผยว่า ประเทศไทยได้เข้าสู่ฤดูร้อนตั้งแต่วันที่ 21 กุมภาพันธ์ที่ผ่านมา โดยตามประกาศของกรมอุตุนิยมวิทยา คาดการณ์ว่าอุณหภูมิปีนี้จะสูงขึ้นกว่าปีก่อน อาจถึง 44.5 องศาเซลเซียส ซึ่งมีความเสี่ยงส่งผลกระทบต่อสุขภาพของประชาชน โดยดูได้จากค่าดัชนีความร้อน ซึ่งเป็นค่าที่สะท้อนความรู้สึกร้อนของร่างกาย จากการนำอุณหภูมิของอากาศมาคิดร่วมกับความชื้นสัมพัทธ์ เนื่องจากเมื่อความชื้นสัมพัทธ์สูงจะทำให้เหงื่อระเหยยาก และส่งผลให้รู้สึกร้อนกว่าอุณหภูมิจริงของอากาศ หากค่าดัชนีความร้อนเกิน 40 องศาเซลเซียส จะมีความเสี่ยงเกิดโรคลมแดด หรือโรคฮีทสโตรก (Heat Stroke) ซึ่งเป็นภาวะที่ร่างกายร้อนจัดจนส่งผลกระทบต่อระบบต่างๆ ในร่างกาย และเป็นอันตรายถึงขั้นเสียชีวิตได้
“กลุ่มเสี่ยงที่อาจเกิดโรคฮีทสโตรก ได้แก่ เด็กเล็ก หญิงตั้งครรภ์ ผู้สูงอายุ และผู้ที่มีโรคประจำตัว เช่น โรคหัวใจ โรคความดันโลหิตสูง และโรคอ้วน จึงควรอยู่ในพื้นที่ที่มีอากาศถ่ายเทสะดวก ส่วนผู้ที่มีร่างกายแข็งแรงแต่ต้องอยู่กลางแจ้งเป็นเวลานาน จะมีโอกาสเกิดฮีทสโตรกได้เช่นกัน ดังนั้น หากต้องทำงานกลางแจ้ง ควรเลี่ยงการสวมชุดที่มีสีเข้ม เนื่องจากจะดูดซับความร้อนได้ดี ดื่มน้ำมากๆ และสลับเข้าพักในที่ร่มเป็นระยะ เช่น ทุก 30 นาที หรือทุกชั่วโมง” นพ.โอภาสกล่าว
นพ.โอภาสกล่าวต่อว่า อาการสำคัญของโรคฮีทสโตรค คือ วิงเวียน อ่อนเพลีย ร่างกายมีความร้อนเพิ่มขึ้น เหงื่อไม่ค่อยออก ผิวร้อน แดง แห้ง หากเริ่มมีอาการดังกล่าว ขอให้รีบเข้าที่ร่มหรือห้องที่มีความเย็น และดื่มน้ำมากๆ การปฐมพยาบาลเบื้องต้น ให้ผู้ป่วยนอนราบ ยกเท้าและสะโพกสูง คลายเสื้อผ้าให้หลวม ถอดเสื้อผ้าออกเท่าที่จำเป็น ใช้ผ้าชุบน้ำเย็นเช็ดตามตัว ซอกคอ รักแร้ และศีรษะ ร่วมกับใช้พัดลมเป่าระบายความร้อน หากผู้ป่วยหมดสติ ให้จับนอนตะแคงเพื่อป้องกันโคนลิ้นอุดตันทางเดินหายใจ และหากปฐมพยาบาลแล้วอาการไม่ดีขึ้นให้รีบนำส่งโรงพยาบาล หรือโทรแจ้งสายด่วน 1669 ทั้งนี้ สามารถป้องกันไม่ให้เกิดโรคฮีทสโตรคได้ด้วยการดื่มน้ำอย่างเพียงพอ หลีกเลี่ยงการอยู่ในที่ที่มีแดดนานเกินไป หรือหลีกเลี่ยงการทำกิจกรรมที่ต้องใช้พลังงานมาก โดยเฉพาะการออกกำลังกายกลางแจ้ง แต่หากต้องการออกกำลังกาย ควรปฏิบัติดังนี้ 1.ดื่มน้ำสะอาดบ่อยๆ หากสูญเสียเหงื่อมากควรดื่มเครื่องดื่มประเภทเกลือแร่ 2.หลีกเลี่ยงการออกกำลังกายอย่างหนักติดต่อกันเป็นเวลานาน 3.ออกกำลังกายในช่วงเช้าหรือช่วงเย็น หรือเปลี่ยนมาออกกำลังกายภายในอาคาร หรือบริเวณที่มีอากาศถ่ายเท 4.สวมชุดออกกำลังกายที่ระบายความร้อนได้ดี และ 5.ออกกำลังกายเป็นกลุ่ม เพื่อหากมีอาการผิดปกติได้รีบแจ้งบุคคลใกล้ชิด
ข่าวที่เกี่ยวข้อง
กรุงเทพฯ เมืองอยู่ยาก อนาคตวันอากาศร้อนพุ่ง 3 เท่า
2 เดือนมานี้คนไทยเผชิญกับสภาพอากาศร้อนจัดในหลายพื้นที่ รวมทั้งกรุงเทพมหานครและปริมณฑล ร้อนโหดจนทำให้มีผู้เสียชีวิตจากฮีทสโตรกตามที่ปรากฎเป็นข่าว ซึ่งล่าสุดรายงานกระทรวงสาธารณสุขระบุ
อากาศร้อนดับสองรายซ้อน หนุ่มวัย 39 หมดลมหายใจต่อหน้าญาติ อีกรายชายอายุ 61 เสียชีวิตในบ้าน
ผู้สื่อข่าวรายงานว่า มีผู้เสียชีวิตจำนวน 2 รายในสภาพอากาศร้อนจัดอุณหภูมิพุ่ง 43 องศา รายแรกนายพงษ์ศักดิ์ เงินมี อายุ 39 ปี หมดสติและหยุดหายใจหงายหลัง
อากาศร้อนผลผลิตน้อยลง ทำราคาพืชผักพุ่งสูง 'ผักชี' กิโลกรัมละ 180 บาท
ผู้สื่อข่าวลงพื้นที่ที่ตลาดสดบางลำภู เขตเทศบาลนครขอนแก่น หลังพบว่าจากสภาพอากาศที่ร้อนจัดอย่างต่อเนืองล่าสุดวันนี้อุณหภูมิพุ่งสูงกว่า 42องศาเซลเซียส ในทุกพื้นที่ ทำให้ราคาผักสดพุ่งสูงขึ้น ล่าสุดวันนี้ถั่วฝักยาว กก.ละ80 บาท ผักชี กก. 180 บาท
อากาศร้อนจัด! หนุ่มเมืองคอนวัย 30 นอนเสียชีวิตในบ้าน คาดฮีทสโตรก
ร.ต.อ.อภินันท์ พลศรพ.ร้อยเวร สภ.เมือง จ.นครศรีธรรมราช ไดรับแจ้งมีผู้เสียชีวิตไม่ทราบสาเหตุในบ้านหลังหนึ่ง หนึ่งบริเวณหลังตลาดสดคูขวาง ถนนปากนคร ต.ท่าวัง อ.เมือง เขตเทศบาลนคร นครศรีธรรมราช จึงพร้อมด้วยพญ.ฤณฐารัตน์ วิจิตรพงศ์จินดา