ตามที่มีการเผยแพร่ข้อมูล เรื่อง สถานการณ์ภาวะลองโควิต 19 และผลกระทบของวัคซีนโควิด 19 ทางสื่อออนไลน์ และได้มีการส่งต่อข้อมูลดังกล่าวในวงกว้าง สถาบันวัคซีนเห่งชาติ กรมควบคุมโรค กระทรวงสาธารณสุขคณะแพทย์ผู้เชี่ยวขาญฉพาะทางที่เกี่ยวข้อง คณะผู้เขียวชาญทางค้านภูมิคุ้มกันกันของประเทศ รวมทั้งองค์การอนามัยโลก ประจำประเทศไทย ได้ร่วมกันพิจารณาข้อมูลดังกล่าวเล้ว พบว่า ข้อมูลดังกล่าวยังมีคลาดเคลื่อนในหลายประเด็น และการส่งต่อชัอมูลดังกล่าวในวงกว้าง อาจเป็นสาหตุทำให้ประชาชนเกิดความสับสน มีความเข้าใจที่คลาดเคลื่อน เละทำให้กิดความตื่นตระหนกในสังคมได้
ในการนี้ สถาบันวัคซีนแห่งชาติ จึงขอชี้เจงเบื้องตัน ดังนี้
ภาวะลองโควิด (Long COVID) หรือ อาการหลังโควิด 19 (Post COVID-19 condition) เป็นภาวะที่พบได้จริง หลังการป่วยด้วยโรดโควิด 19 แต่ไม่เกี่ยวข้องกับการฉีดวัคซีนโควิด 19 จากข้อมูลจององค์การอนามัยโลก ระบุว่า ความเข้าใจในปัจจุบันเกี่ยวกับสาเหตุของภาวะลองโควิค และสาเหตุที่ผู้คนใด้รับผลกระทบหนักเบาไม่เท่ากันนั้นยังมีจำกัด จึงยังคงจำเป็นต้องมีการดิดตามผลกระทบ รวมถึงการรวบรวมข้อมูลอย่างเป็นระบบอย่างต่อเนื่อง เพื่อให้เข้าใจถึงสาเหตุและการดำนินของโรคใด้อย่างแท้จริง จากข้อมูลในช่วงเวลาที่ผ่านมาพบว่า อาการที่พบบ่อยที่สุดที่เกี่ยวข้องกับกาวะลองโควิด ไดต้แก่ ความเหนื่อยล้า หายใจถี่หรือหายใจลำบาก ปัญหาด้านความจำ สมาธิ หรือการนอนหลับ ไอถาวร อาการเจ็บหน้อก ปัญหาการพูด อาการปวดเมื่อยกล้ามเนื้อ สูญเสียการรับกลิ่นหรือรสชาติ ภาวะซึมเศร้าหรือความวิตกกังวล และเป็นใข้ ซึ่งอาจส่งผลต่อความสามารถของบุคคลในการทำกิจกรรมประจำวันได้ อย่างไรก็ตาม คนส่วนใหญ่มีอาการขึ้นเมื่อเวลาผ่านไป แต่ระยะเวลาในการฟื้นตัวขึ้นอยู่กับปัจจัยส่วนบุคคล จึงทำให้ไม่สามารถระบุระยะเวลาการดำเนินของภาวะดังกล่าวใด้อย่างแน่ขัด
ทั้งนี้ ปัจจุบันมีการศึกษาจำนวนมากที่พบว่า การฉีดวัคซีนโควิด 19 ช่วยลดความเสี่ยงของภาวะลองโควิดได้ สำหรับประเด็นการปกปิดข้อมูลและข้อเท็จจริงของผู้ที่ใด้รับผลกระทบและเสียชีวิตจากวัคซีนนั้นไม่เป็นความจริง ข้อมูลผู้ได้รับผลกระทบจากวัคซีนโควิด 19 ของประเทศไทย มีการเก็บข้อมูล พิจารณา วินิจฉัยและมีการเยแพร่อย่างเป็นระบบ โดยกองระบาดวิทยา กรมคงบคุมโรค กระทรวงสาธารณสุข ได้ดำเนินการเฝ้าระวังเหตุการณ์ ไม่พึงประสงค์ภายหสังการได้รับการสร้างเสริมภูมิคุ้มกันโรคตามมาตรฐานที่องค์การอนามัยโลกแนะนำ และมีคณะกรรมการผู้เชี่ยวชาญระดับชาติหลายสาขาที่เกี่ยวข้องร่วมพิจารณา ว่าผลกระทบดังกล่าวเกิดขึ้นจากวัคซีนหรือไม่ หรีอมีปัจจัยอื่นใดที่ทำให้เกิดภาาวะดังกล่าวขึ้น ซึ่งต้องใข้ข้อมูลผลตรรจด้านการแพทย์ของผู้ใด้รับผลกระทบดังกล่าว มาพิจารณาร่วมด้วย เพื่อให้สามารถวินิจฉัยได้แน่ชัด ทั้งนี้ ผลการวินิจฉัยจะมีการเผยแพร่ในเว็บไซต์ของกองระบาดริทยา กรมควบคุมโรค กระทรวงสาธารณสุข ไม่ได้มีการปกบิดชัอมูลแต่อย่างใดการเปิดเผยชัอมูลเป็นไปตามกฎหมายอย่างถูกต้องครบถัวน
นอกจากนี้ สถาบันวัคซีนแห่งช”ติ และหน่วยงานในกระทรวงสาธารณสุข ไม่มีอำนาจใดที่สามารปิดขั้นข้อมูลข่าวสารจากโซเชียลเดีย และแอปพลิเคชั่นต่าง ๆ ได้ ดังเห็นได้จากการระบาด ของข้อมูลข่าวปลอมและข่าวบิดเบือน (Infodernkc) ที่เกี่ยวข้องกับสุขภาพ รวมถึงข้อมูล บิดเบือนด้านวัคซีนจำนวนมาก ที่เผยแพร่ในสี่อออนไลน์ในปัจจุบัน
ประเด็นอัตราการตายส่วนเกิน (excess deaths) ของประชาชนไทยในช่วงปี 2565-2566 นั้น เป็นช้อมูลการตายจากสาเหตุอื่น ๆ ในภาพรวม เช่น การเสียชีวิตจากโรคมะเร็ง หรือโรคเรื้อรังต่างๆ ที่ไม่ได้รับการรักษาที่เหมาะสม รวมทั้งจากการผ่อนคลายมาตรการปัองกันควบคุมโรค มีการเดินทางเพิ่มขึ้นอย่างมาก ส่งผลให้มีผู้เสียชีวิตจากอุบัติเหตุที่เกี่ยวเนื่องกับการจราจรเพิ่มมากขึ้นในปี 2565-2566′ ซึ่งไม่เกี่ยวกับโรคโควิด 19 และการวิเคราะห์ช้อมูลอัตราการตายส่วนเกินไม่มีหลักฐานว่าเกี่ยวกับการฉีดวัคซีนโควิด 19 แต่ประการใด จึงไม่สามารถนำมาใช้อ้างอิงว่าสาเหตุการตายเกิดจากวัคซีน
สำหรับประเทศไทย กระทรวงสาธารณสุข มีการเก็บข้อมูลอัตราการตายของประขากรไทยอย่างต่อเนื่องและเป็นระบบ โดยในรายละเอียดของอัตราการดายส่วนเกินในช่วงเวลาดังกล่าว กระทรวงสาธารณสุข จะมีการแถลงให้ประชาชนทราบข้อมูลเพิ่มเติมต่อไป
สำหรับประเด็นการติดตามผลกระทบเบื้องต้นจากการฉีดวัคซีนโควิด 19 ในผู้ที่ฉีดวัคชีนในประเทศไทยเกือบ 100 รายในระยะเวลา 1 ปี ที่มีการอ้างถึงนั้น ตามหลักวิชาการพบว่า ยังต้องมีการวางแผนแนวทางการศึกษาให้รัดกุม และต้องมีการกำหนดกลุ่มเปรียบเทียบเพิ่มติม เพื่อหลีกเสี่ยงอดติ (Bias) ในการศึกษา ซึ่งจะทำให้สามารถเปรียบเทียบข้อมูล ผลกระทบระหว่างผู้ใด้รับการฉีดวัคซีนโควิด 19 และกลุ่มผู้ที่ไม่เคยฉีควัคซีนโควิด 19 ได้อย่างแท้จริง เนื่องจาก เนื่องจากการศึกษาผลกระทบของสิ่งใดก็ตาม หากไม่มีกลุ่มควบคุมอาจทำให้มีอคติเกิดขึ้นในการศึกษานั้นได้
ประเด็นข้อมูลรายงานในวารสาร Nature Scientific Reports ที่มีการกล่าวอ้างว่า การฉีดวัคซีนหลังเข็มที่ 3 ว่าอาจจะทำให้ภูมิคุ้มกันชนิด T-Cell หมดแรงนั้น เป็นความเข้าใจที่คลาดเคลื่อน สถาบันวัคซีนแห่งชาติได้มีการประสานไปยังนักวิจัยเจ้าของข้อมูลดังกล่าว ซึ่งมีการเผยแพร่รายงานในเรื่อง “Hybrid and herd immunity 6 months after SARS‑CoV‑2 exposure among individuals from a community treatment program” ตั้งแต่วันที่ 14 มกราคม 2566 พบว่าประเด็นหลักที่นักวิจัยต้องการสื่อสารคือ การฉีดวัคซีนเข็มกระตุ้นปริมาณมาก ๆ ในช่วงระยะห่างสั้น ๆ (ฉีดวัคซีนจำนวนมาก และฉีดก่อนครบกำหนด) ไม่ทำให้เกิดการกระตุ้นภูมิคุ้มกันที่ดี การฉีดวัคซีนเข็มกระตุ้นควรมีการวางแผน และกำหนดระยะเวลาที่เหมาะสม เพื่อให้เกิดการสร้างภูมิคุ้มกันต่อโรคได้ดีที่สุด
ทั้งนี้ องค์การอนามัยโลกได้มีคำแนะนำให้ประชาชนทั่วไป ผู้สูงอายุ ผู้มีโรคประจำตัว หรือผู้มีภาวะภูมิคุ้มกันบกพร่องที่ยังไม่เคยได้รับวัคซีนโควิด-19 จำเป็นต้องได้รับวัคซีน 1 โดส และตามด้วยการฉีดวัคซีนเพิ่มเติมหลังจากฉีดเข็มแรกมาแล้ว 6 เดือนถึง 1 ปี ซึ่งเป็นระยะเวลาที่เหมาะสม เพื่อลดความเสี่ยงของการป่วยหนักและเสียชีวิต ซึ่งคำแนะนำสำหรับการฉีดวัคซีนโควิด-19 ของประเทศไทย ได้ผ่านการพิจารณาจากคณะอนุกรรมการสร้างเสริมภูมิคุ้มกันโรคของประเทศ และเป็นไปในแนวทางเดียวกันกับองค์การอนามัยโลกด้วยเช่นกัน
ทั้งนี้ สถาบันวัคซีนแห่งชาติ กรมควบคุมโรค กระทรวงสาธารณสุข คณะแพทย์ผู้เชี่ยวชาญเฉพาะทางที่เกี่ยวข้อง คณะผู้เชี่ยวชาญทางด้านภูมิคุ้มกันวิทยาของประเทศ รวมทั้งองค์การอนามัยโลก ประจำประเทศไทย จะรวบรวมข้อมูลทางวิชาการที่มีอยู่ในปัจจุบัน เพื่อตอบข้อสงสัยประเด็นต่าง ๆ ในรายละเอียด และจะเผยแพร่ให้ประชาชนได้ทราบทั่วกันอย่างต่อเนื่องต่อไป
มีการคาดการณ์สาเหตุที่สถาบันวัคซีนแห่งชาติออกแถลงการณ์ น่าจะมาจากกรณีที่ ศ. นพ.ธีระวัฒน์ เหมะจุฑา หัวหน้าศูนย์วิทยาศาสตร์สุขภาพ โรคอุบัติใหม่ คณะแพทยศาสตร์ จุฬาลงกรณ์มหาวิทยาลัย และนายปานเทพ พัวพงษ์พันธ์ คณบดีวิทยาลัยการแพทย์แผนตะวันออก มหาวิทยาลัยรังสิต ออกแถลงการณ์ร่วมกัน 8 ข้อ จะศึกษาและวิจัยทางด้านวิชาการ เกี่ยวกับผลกระทบจากวัคซีนโควิดร่วมกัน
และหนึ่งใน 8 ข้อ นั้น ระบุว่า คนไทยและทั่วโลก กำลังได้รับผลกระทบต่อเนื่อง หลังการติดเชื้อโรคโควิด-19 หรือได้รับผลกระทบจากการฉีดวัคซีนโควิด-19 ในหลายมิติ เป็นผลให้มีผู้เสียชีวิต หรือมีสุขภาพร่างกายที่อ่อนแอลง และยังมีการปกปิดข้อมูลและข้อเท็จจริง ผลกระทบจากวัคซีน
ข่าวที่เกี่ยวข้อง
'หมอเดชา' ยืนข้าง 'หมอธีระวัฒน์' เชื่อมีข้อมูลผลกระทบจากการฉีดวัคซีนโควิด
นายเดชา ศิริภัทร ประธานมูลนิธิข้าวขวัญ เจ้าของสูตรน้ำมันกัญชา (ตำรับหมอเดชา) โพสต์เฟซบุ๊ก ระบุว่า
'หมอธีระวัฒน์' ย้ำเตือน อย่าลืมคนตาย พิการมากมายจากวัคซีนโควิด ลั่นต้องถูกเยียวยา
ศ.นพ. ธีระวัฒน์ เหมะจุฑา ที่ปรึกษาวิทยาลัยการแพทย์แผนตะวันออก มหาวิทยาลัยรังสิต โพสต์ข้อความผ่านเฟซบุ๊ก ระบุว่า
สถาบันวัคซีนแห่งชาติ ชี้แจงข้อเท็จจริง 'ลิ่มเลือดสีขาว' ไม่เกี่ยวฉีดวัคซีนโควิด
สถาบันวัคซีนแห่งชาติ ชี้แจงข้อเท็จจริง เรื่อง ลิ่มเลือดสีขาว (White clot) และวัคซีนโควิด 19 ชนิด mRNA จากกรณีที่มีการเผยแพร่และส่งต่อข้อมูลเกี่ยวกับการพบสิ่งแปลกปลอมซึ่งมีลักษณะเป็นลิ่มเลือดสีขาว (White clot) ในหลอดเลือดผู้เสียชีวิตที่ได้รับการฉีดวัคซีนโควิด 19
นนท์พร้อม ชวนฉีดวัคซีนโควิด-19 เข็ม 3 และเข็ม 4 ฟรี
นนท์พร้อมพลัส เปิดลงทะเบียนฉีดวัคซีนโควิด-19 เข็ม 3 และเข็ม 4 ฟรี ให้คนไทยและทุกสัญชาติ