'มูเตลู' ในวิถีเมือง ตัวช่วยรับมือ ' โลกป่วน- เปลี่ยวเหงา'

สี่แยกใหญ่ใจกลางเมืองอย่างแยกราชประสงค์ – แหล่งเศรษฐกิจการค้าและการชอปปิ้ง เป็นศูนย์รวมของเทพเจ้าต่าง ๆ ที่คนไทยและต่างประเทศนิยมมากราบไหว้ขอพรเพื่อความสำเร็จในการงาน โชคลาภ และความรักความสัมพันธ์  ยิ่งในช่วงกว่าทศววรรษหลังมานี้ กระแสความนิยมสิ่งศักดิ์สิทธิ์และวัตถุมงคลยิ่งเพิ่มและขยายตัว เกิดสิ่งศักดิ์สิทธิ์หน้าใหม่ ๆ อาทิ พญานาค พญาครุฑ ท้าวเวสสุวรรณ พระราหู ตลอดจนไอ้ไข่ และครูกายแก้ว ที่เป็นประเด็นถกเถียงกันในสังคม  หรือในสื่อโซเซียลมีเรื่องราวที่เกี่ยวกับไสยศาสตร์มากมาย อีกทั้งมีช่องทางรวบรวมและอัปเดท “เทรนด์สายมู” ในแต่ละปี และล่าสุดก็มีเว็บไซต์ที่จะพาผู้สนใจเดินทางไปในโลกออนไลน์เพื่อสักการะสิ่งเคารพอินเทรนด์ต่าง ๆ

นอกจากนี้ ยังมีเรื่องโหราศาสตร์ วิธีแก้ปีชง เครื่องลางของขลัง หินนำโชค น้ำมันเสริมเสน่ห์ ผ้ายันต์ของทีมฟุตบอลระดับโลก และการนำเสนอข่าวใกล้วันออกผลสลากกินแบ่งรัฐบาล อาทิ เลขทะเบียนรถของนายกรัฐมนตรี หรือเรื่องแปลก เช่น ปลาช่อนสีทอง จอมปลวกรูปเหมือนพญานาค  นี่เป็นเพียงส่วนหนึ่งของพื้นที่ไสยศาสตร์ในเมืองที่หลากหลายและขยายตัวตามการเติบโตของเมือง

ด้วยเหตุนี่ คณะอักษรศาสตร์ จุฬางกรณ์มหาวิทยาลัย จึงได้จัดเสวนาหัวข้อ “เคลือบแคลง ย้อนแย้ง แสวงหา: ไสยศาสตร์ในวิถีเมือง “ในงานอักษรศาสตร์สู่สังคม ซึ่งจัดขึ้นโดยคณะ อักษรศาสตร์ จุฬาฯ เมื่อไม่นานมานี้ โดยมี ผศ. ดร.กัญญา วัฒนกุล ศูนย์ไทยศึกษา คณะอักษรศาสตร์ จุฬาฯ ผศ. ดร.เกษม เพ็ญภินันท์ ภาควิชาปรัชญา คณะอักษรศาสตร์ จุฬา และผศ. ดร.พิพัฒน์ กระแจะจันทร์ คณะศิลปศาสตร์ มหาวิทยาลัยธรรมศาสตร์ ร่วมแสดงทัศนะเพื่อทำความเข้าใจปัจจัยที่ส่งเสริมวิถีปฏิบัติต่อสิ่งเหนือธรรมชาติในบริบทเมือง

ในแง่ทำไมไสยศาสตร์งอกงามในสังคมเมือง ผศ.ดร.กัญญา เปิดประเด็นว่า เป็นเรื่องที่ต้องตั้งคำถามว่าเกิดอะไรขึ้นในสังคมเมือง ที่ทำให้ผู้คนเข้าหาและพึ่งพิงไสยศาสตร์ ผู้คนกำลังแสวงหาอะไรหรือรู้สึกอย่างไรในสังคมนี้  

ขณะที่ ผศ.ดร.พิพัฒน์ กล่าวว่า หลายคนอาจจะมองว่าไสยศาสตร์เป็นเรื่องลี้ลับ งมงาย แต่หากทำความเข้าใจให้ลึกลงไป ก็จะเห็นว่าไสยศาสตร์เป็นเครื่องมือที่ตอบโจทย์วิถีชีวิตเมือง ที่มีความผันผวนและเปลี่ยวเหงา ความเข้าใจหน้าที่ของไสยศาสตร์จะทำให้เราเข้าใจสภาวะจิตใจของคนที่อยู่ในเมือง ไสยศาสตร์ไม่ใช่สิ่งงมงาย จนเมื่อสังคมเข้าสู่ยุคสมัยใหม่ และความรู้ทางวิทยาศาสตร์แพร่กระจายเข้ามา  โลกทัศน์ของคนโบราณสมัยก่อน ร.4 ไม่ได้มองไสยศาสตร์จำกัดอย่างปัจจุบัน ไสยศาสตร์ไม่ใช่ความลี้ลับหรือมนต์ดำ หากแต่เป็นศาสนาและความเชื่อที่มีองค์ประกอบเกี่ยวกับอิทธิฤทธิ์ ปาฏิหารย์ ความวิเศษซึ่งเป็นความหมายของคำว่าไสยศาสตร์ การท่องมนต์และพิธีกรรม นอกจากนี้ ไสยศาสตร์ในไทยยังมีการผสมผสานความเชื่อในท้องถิ่นเข้าไปด้วย

“ในโลกทัศน์สมัยใหม่ หลักคิดแบบคู่ตรงข้าม (binary opposition) ทำให้วิทยาศาสตร์ตรงข้ามกับไสยศาสตร์ ไสยศาสตร์จึงกลายเป็นเรื่องงมงาย เหลวไหล ไม่น่าเชื่อถือ นอกจากนี้ ไสยศาสตร์ก็ยังอยู่ตรงข้ามกับพุทธศาสน์ด้วย โดยไสยศาสตร์แปลว่าผู้หลับ ความเชื่อที่หลับใหล ตรงข้ามกับพุทธศาสน์ซึ่งเป็นศาสนาแห่งความตื่นรู้”  ผศ.ดร.พิพัฒน์กล่าว

ส่วน ผศ.ดร. เกษม  กล่าวเสริมว่า ไสยศาสตร์ไม่ใช่เรื่องโบราณล้าสมัย หากเป็นสิ่งที่ตอบโจทย์มนุษย์ในทุกยุคทุกสมัยนับแต่โบราณมา โดยเฉพาะอย่างยิ่งในช่วงเวลาที่สังคมเผชิญกับความปั่นป่วนโกลาหล เนื่องจาก ไสยศาสตร์เป็นระบบความเชื่อของมนุษย์ที่ตอบโจทย์ความต้องการทางใจและจิตวิญญาณ หน้าที่ของไสยศาสตร์ในสังคมสมัยใหม่คือ spiritual exercise ที่ช่วยให้มนุษย์เข้มแข็งขึ้น มีความหวัง มีชีวิตอยู่ต่อไปได้ในโลกที่มีความไม่แน่นอน เมื่อเทียบกับวิทยาศาสตร์ ไสยศาสตร์ จึงไม่แตกต่างจากวิทยาศาสตร์  ในแง่เป็นระบบความคิดของมนุษย์ ไสยศาสตร์เป็นภูมิปัญญา ระบบความคิดความเชื่อของมนุษย์ที่พยายามสร้างคำอธิบายให้กับสิ่งที่มนุษย์ไม่เข้าใจ เช่น ฝนตก ฟ้าร้อง ทำให้เราเข้าใจโลกเข้าใจตัวเอง ตอบโจทย์อนาคตที่เราไม่รู้ว่าจะเกิดอะไรขึ้นบ้าง และบางสิ่งที่เราอาจจะเข้าไปแก้ไขไม่ได้ ชุดความเชื่อทางไสยศาสตร์ทำให้เราคิดกับสิ่งเหล่านี้ได้ ซึ่งไม่ว่าโลกสมัยใหม่จะผลักไสยศาสตร์ให้เป็นคู่ตรงข้ามกับพุทธศาสน์และวิทยาศาสตร์ แต่หน้าที่และความหมายของไสยศาสตร์ในพื้นที่ชีวิตและจิตวิญญาณของมนุษย์ก็ยังคงเดิม ซ้ำในบริบทเมืองในโลกยุคนี้ กลับทวีความสำคัญ

ผศ. ดร.กัญญา วัฒนกุล

ผศ.ดร. กัญญา มีมุมมองทำนองเดียวกันว่า  ในโลกสมัยใหม่ ความรู้ทางวิทยาศาสตร์อาจให้คำตอบและสะท้อนความจริงหลายอย่าง แต่สิ่งที่วิทยาศาสตร์ไม่อาจทำหน้าที่แทนไสยศาสตร์ได้คือมิติด้านความรู้สึก ซึ่งแม้มนุษย์ในปัจจุบันจะมีความรู้และความเข้าใจเชิงเหตุผล มีความรู้ทางวิทยาศาสตร์ และเข้าใจความเป็นจริง แต่บางครั้งความจริงก็ไม่ตอบโจทย์ทางอารมณ์ เช่น ความเศร้า ความหวัง — ไสยศาสตร์ แม้จะไม่เมคเซ้นส์ (make sense) แต่ก็ทำให้อุ่นใจ

ไสยศาสตร์ดำรงอยู่ในวิถีชนบทและบริบทเมือง หากแต่ตอบโจทย์และตอบสนองเป้าหมายและความต้องการของผู้คนต่างกัน ผศ.ดร.เกษม กล่าวว่าในสังคมชนบท ไสยศาสตร์รับใช้ “ความเป็นชุมชน” (collective) ในขณะที่ชุมชนเมือง ไสยศาสตร์ตอบสนอง “ความเป็นปัจเจกชน” โดยไสยศาสตร์มีบทบาทค่อนข้างมากและสำคัญกับสังคมชนบท กิจกรรมของไสยศาสตร์อยู่ในโลกพิธีกรรม ประเพณี ซึ่งโยงกับกลุ่มคนที่มีความเชื่อร่วมกัน ตอบโจทย์การดำรงอยู่ของชุมชน ในบริบทเช่นนี้ พิธีกรรมสำคัญกว่าความเชื่อ บางความเชื่อ คนอาจไม่เชื่อเรื่องนั้นแล้ว แต่พิธีกรรมยังดำรงอยู่เป็นเครื่องมือยึดโยงคนในชุมชน

“ยกตัวอย่าง “พิธีกรรมแห่นางแมว” ซึ่งยังคงมีปฏิบัติอยู่ในหลายพื้นที่ในปัจจุบัน แม้จะยังมีพิธีกรรมนี้ แต่ไม่ได้หมายความว่าชุมชนและผู้ที่ทำพิธีกรรมนี้จะเชื่อว่าแห่นางแมวแล้ว ฝนจะตก แต่พิธีกรรมช่วยตอบโจทย์สภาพจิตใจและความหวังร่วมของชุมชน”ผศ.ดร.เกษมกล่าว

ผศ.ดร.เกษม อ้างถึงยุคหนึ่งในประวัติศาสตร์ทางปรัชญา ที่ความเชื่อสิ่งเหนือธรรมชาติ ความลี้ลับ (mysticism) ไสยศาสตร์ เกิดขึ้นมากมาย  เช่น ยุคหลังเมืองเอเธนส์ล่มสลายและก่อนโรมเอมไพร์จะก่อตั้งขึ้น ยุคนั้นทางปรัชญามองว่าเป็นยุคที่ยุ่งเหยิงและโกลาหลที่สุด ซึ่งในยุคนี้นี่เอง ที่เกิดระบบ mysticism หรือความเชื่อเหนือธรรมชาติมากมาย นั่นหมายความว่าในยามที่บ้านเมืองปั่นป่วน ชีวิตไม่นิ่ง ผันผวนและมีความไม่มั่นคง มนุษย์จะเข้าหาสิ่งที่คิดว่านิ่งที่สุด เป็นหลักพึ่งพิงเพื่อที่จะสร้างความมั่นคงของชีวิต  จึงไม่น่าแปลกใจที่พื้นที่เมืองในปัจจุบัน นอกจากจะเป็นศูนย์กลางของความเจริญทางวัตถุ เทคโนโลยี วิชาการความรู้และความหลากหลายทางวัฒนธรรมแล้ว ยังเป็นแหล่งรวมความเชื่อและวิถีปฏิบัติเชิงไสยศาสตร์ที่หลากหลายด้วย

ในแง่ว่า ไสยศาสตร์เป็นเครื่องมือบริหารความเสี่ยงในชีวิตของคนในสังคมเมือง ผศ.ดร.กัญญา อธิบายเชื่อมโยงความเฟื่องฟูของไสยศาสตร์กับบริบทสังคมเมืองที่เต็มไปด้วยความไม่มั่นคง ไม่แน่นอน ไม่ปลอดภัย และความเหลื่อมล้ำทางเศรษฐกิจและโอกาสในชีวิตว่า  ในเศรษฐกิจแบบทุนนิยมของเมือง รวยกระจุก จนกระจาย ช่องว่างทางรายได้มาก ความเหลื่อมล้ำสูง ทำให้ผู้คนจำนวนมากจึงเข้าหาความเชื่อเชิงไสยศาสตร์เพื่อรับมือกับเหตุฉุกเฉินและความไม่แน่นอนของชีวิต ไม่ว่าจากสภาวการณ์ทางการเมือง เศรษฐกิจ และสังคม  เช่น  คนต่างจังหวัดที่เข้ามาทำงานเป็นคนงานก่อสร้างในเมือง รับค่าแรงรายวัน ซึ่งชีวิตในบริบทเช่นนี้มีความไม่มั่นคง ความไม่แน่นอน และความไม่ปลอดภัยสูง

ผศ. ดร.เกษม เพ็ญภินันท์

“ลำพังรายได้ก็อาจไม่เพียงพอต่อค่าใช้จ่ายรายวันอยู่แล้ว ไม่ต้องกล่าวถึงเงินเก็บเพื่อใช้ในยามมีเหตุฉุกเฉิน เช่ย ขิงในไซต์งานก่อสร้างหล่นลงมา เขาก็ต้องการใช้เงินในการรักษาและดูแลความเป็นอยู่ในเวลาที่ป่วย ไปทำงานไม่ได้ ในสภาวะชีวิตที่มีความเสี่ยงเยอะ ไม่มีต้นทุน ไม่มีทรัพยากรที่จะสามารถช่วยให้คนเหล่านี้รับมือกับเหตุฉุกเฉินในชีวิตได้ คนก็จะหันไปหาที่พึ่งทางใจ สิ่งศักดิ์สิทธิ์ต่างๆ เพื่อสร้างความอุ่นใจในชีวิต”

ไม่เพียงกลุ่มคนที่เข้ามาเป็นแรงงานในเมือง (blue collar) ที่พึ่งพาไสยศาสตร์ แม้แต่คนในสถานภาพทางสังคมและเศรษฐกิจที่ดูเหมือนจะมั่นคง (white collar) ก็พึ่งพิงไสยศาสตร์เช่นกัน ผศ.ดร.เกษม กล่าวว่า แต่ก่อน ตนไม่คิดว่าหมอ วิศวกร กลุ่มคนที่อาชีพดูมั่นคง จะให้ความสำคัญกับการดูดวงหรือเรื่องอะไรแบบนี้ แต่กลายเป็นว่าพวกเขาให้ความสำคัญกับเรื่องพวกนี้ เหมือนกับว่ามันมีสิ่งที่วิทยาศาสตร์ไม่อาจตอบได้ แม้คนที่ดูว่าสถานภาพทางสังคมและเศรษฐกิจมั่นคงแล้ว ก็ยังต้องเผชิญกับความไม่แน่นอน ความรู้สึกไม่มั่นคงในชีวิต มีสิ่งที่ไม่รู้ และไสยศาสตร์ก็อาจจะช่วยให้พวกเขาอยู่กับความไม่รู้และความไม่แน่นอนได้

มิติด้านเศรษฐกิจและสังคม ยังเป็นปัจจัยที่ทำให้คนเดินเข้าสู่พื้นที่ของไสยศาสตร์มากที่สุด ผศ.ดร.พิพัฒน์ อธิบายว่า ไสยศาสตร์ในสังคมเมืองเน้นตอบสนองความต้องการและเป้าหมายเชิงปัจเจก และวนเวียนอยู่กับเรื่องความมั่งคั่งร่ำรวย ความสำเร็จ มิติความรักความสัมพันธ์ ซึ่งเป็นสิ่งที่คนเมืองในโลกทุนนิยมแสวงหา   ความปรารถนาในความมั่งคั่งทำให้เกิดสิ่งศักดิ์สิทธิ์ พิธีกรรม และวัตถุมงคลใหม่ ๆ ที่เชื่อและคาดหวังว่าจะนำโชคลาภและความสำเร็จทางด้านวัตถุมาให้โชคเป็นที่นิยม เช่นเดียวกับ การใบ้หวยและนำเสนอข่าวเรื่องราวสิ่งแปลกประหลาด ที่อาจจะนำไปตีเป็นตัวเลขได้ และการไหว้เทพเจ้าที่เชื่อว่าจะให้โชคลาภ

“สภาวะทางสังคมแบบไหนที่ทำให้คนหันไปหาที่พึ่งจากสิ่งเหนือธรรมชาติมากกว่าแสวงหาความช่วยเหลือจากโครงสร้างทางสังคม เศรษฐกิจ หรือจากคนในสังคมด้วยกันเอง” ผศ.ดร.กัญญา ตั้งคำถามและเสนอข้อคิดเห็นว่า “มันเป็นเพราะโครงสร้างทางเศรษฐกิจและสังคมหรือไม่ ที่ไม่โอบไม่เอื้อ ไม่มีสวัสดิการที่จะมาช่วยเหลือผู้คนเวลาที่ตกอยู่ในภาวะวิกฤตหรืออยู่ในสังคมที่ความเหลื่อมล้ำต่าง ๆ ถ้าเราอยากรวยเท่ากับคนรวย 10% ของประเทศ ดูเหมือนมันไม่มีทางอื่นเลย นอกจากต้องถูกลอตเตอรี่เท่านั้นหรือเปล่า”

เมืองหลวงมีผู้คนจากทั่วประเทศและประเทศใกล้เคียง หลั่งไหลเข้ามาหาโอกาสในการทำงาน การที่อยู่ห่างไกลบ้านและถูกตัดขาดจากครอบครัวและชุมชนที่คุ้นเคย ทำให้ “ไสยศาสตร์” ทำหน้าที่เป็น “ที่พึ่งทางใจ” และ “สิ่งยึดเหนี่ยว” ให้อยู่ในสังคมเมืองอันโกลาหล  ผศ.ดร.พิพัฒน์ กล่าวในมุมมองนี้ว่า  แม้ในเมืองจะมีผู้คนจากต่างถิ่นเข้ามาอยู่มากมาย แต่เมืองไม่เป็นพื้นที่รองรับความเปลี่ยวเหงา พวกเขารู้สึกถูกตัดขาดจากชุมชน จากความเชื่อที่ยึดโยงเขากับรากฐานของชีวิตและวัฒนธรรม ไสยศาสตร์จึงเป็นที่พึ่งและตอบสนองด้านจิตใจได้

“การขอพรเรื่องความรัก ความสัมพันธ์ ครอบครัว เป็นสิ่งที่เด่นชัดมากในวิถีของคนเมืองในเมือง ผู้คนรู้สึกโดดเดี่ยว ก็อยากจะมีคู่  เพื่อคลายความโดดเดี่ยว และไสยศาสตร์พยายามตอบโจทย์ภาวะทางความรู้สึกนี้ “ผศ.ดร.เกษมกล่าว

มูเตลูฉบับโมเดิร์น  ที่ปรากฎในเมือง  เนื่องจาก เมืองเป็นแหล่งรวมความหลากหลายของผู้คนและวัฒนธรรม กลายเป็นชุดความเชื่อ วิถีปฏิบัติย่อย ๆ และวัตถุทางความเชื่อมากมายและหลากหลาย เทพเจ้าและผีตนใหม่ ๆ ปรากฎขึ้นเรื่อย ๆ ให้คนเมืองได้ชอปปิ้งตามสะดวกและตามใจปรารถนา มีทั้งเทพดั้งเดิมที่เป็นเทพเจ้าฮินดู จีน และพุทธ ผีโบราณและผีใหม่ ๆ ที่หลุดมาจากโลกการ์ตูนและวรรณคดี อย่างเช่นที่มีร่างทรงโดเรมอน ร่างทรงพ่อปู่ไจแอ้นท์ และร่างทรงผีเสื้อสมุทร

ผศ.ดร.พิพัฒน์ กระแจะจันทร์

“การแลกเปลี่ยนทางวัฒนธรรมและภูมิหลังอันหลากหลาย ซึ่งก็มีความเชื่อมีวิธีปฏิบัติบางอย่าง จิตวิญญาณติดมากับตัวเอง พอมาเจอกันในบริบทเมือง ย่อมนำไปสู่ผสมผสานก่อให้เกิดเป็นความเชื่อหรือวิถีปฏิบัติใหม่ ๆ ขึ้นมา นำไปสู่การเติบโตของความเชื่อหรือวิถีปฏิบัติทางจิตวิญญาณรูปแบบใหม่ ๆ” ผศ.ดร.เกษม กล่าวและว่า นอกจากนี้ คนเมืองสมัยใหม่นิยมเรียกชุดความเชื่อเชิงไสยศาสตร์ว่า “สายมู” หรือ “มูเตลู” ทำให้เรื่องนี้ดูทันสมัยขึ้น ลดความลี้ลับหรือความมืดดำ (ดาร์ค)    

คำพูดที่ว่า“ไม่เชื่ออย่าลบหลู่”มีส่วนช่วยเปิดพื้นที่ให้ไสยศาสตร์และความเชื่อเหนือธรรมชาติดำรงอยู่ และขยายตัวในสังคม ผศ.ดร.กัญญา กล่าวว่า ด้วยคำๆนี้ ทำให้ความเชื่อใหม่ ๆ  เข้าไปอยู่ในการรับรู้ของคนจำนวนมากได้อย่างรวดเร็ว กลายเป็นกระแสของสังคมไปโดยปริยาย   เช่น กรณีเกิดเทพหรือผีตนใหม่ ๆ หรือวิถีปฏิบัติใหม่ ๆ คำว่า “ไม่เชื่ออย่าลบหลู่” ก็ดูเหมือนจะช่วยเปิดพื้นที่ให้คนได้ทดลอง “ถ้าไม่เสียหาย ไม่ผิดกฎหมาย และศีลธรรม ก็น่าจะลองดู

“โลกปัจจุบันเต็มไปด้วยความผันผวน ไม่แน่นอน มีปัจจัยมากมายและซับซ้อนเกินกว่ามนุษย์จะควบคุมได้ ความรู้เชิงวิทยาศาสตร์ หลักเหตุผลไม่เพียงพอ และหลายครั้งก็ไม่อาจตอบสนองความต้องการของเราได้ ผู้คนต่างหาแนวทางในการตอบโจทย์การมีชีวิตและไสยศาสตร์เป็นหนึ่งในคำตอบ คู่ไปกับหลักศาสนาและหลักเหตุผล”ผศ.ดร.กัญญากล่าวสรุป.

เพิ่มเพื่อน

ข่าวที่เกี่ยวข้อง

BEM ชวนเปิดจักรวาลมูเตลูตลอด 3 วันกับงาน Mutiverse 27-29 ก.ย.67 ที่ Metro Art สถานีพหลโยธิน

บริษัท ทางด่วนและรถไฟฟ้ากรุงเทพ จำกัด (มหาชน) หรือ BEM เนรมิต Metro Art MRT สถานีพหลโยธิน จัดงาน “Mutiverse” เปิดจักรวาลมูเตลู’

'ต้นหอม' ฝากถึงคู่แข่งทางธุรกิจ หลังเจอวัตถุคล้ายโดนทำของใส่บาร์โฮสต์

จากลูกค้าสู่เจ้าของ สำหรับ ต้นหอม-ศกุนตลา เทียนไพโรจน์ ที่ล่าสุดหันมาทำธุรกิจบาร์โฮสต์ แต่กลับเจอเหตุการณ์ที่ไม่คาดคิด กับสิ่งของที่ดูเหมือนเส้นผมและสิ่งที่คล้ายเทียนและเชือกในกล่องเล็กๆที่โดนซ่อนอยู่ใต้โซฟาในร้าน

'หุ่นพยนต์' มอบประสบการณ์สุดล้ำค่า ทำ 'อัพ ภูมิพัฒน์' เข้าใจเด็กพิเศษมากขึ้น

เรียกได้ว่าเป็นการพิสูจน์ฝีมือครั้งใหม่ของนักแสดงหนุ่ม อัพ-ภูมิพัฒน์ เอี่ยมสำอาง ที่ล่าสุดต้องมารับบทเป็นเด็กพิเศษในภาพยนตร์สยองขวัญอย่างเรื่อง “หุ่นพยนต์” ค่ายไฟว์สตาร์ กำกับภาพยนตร์โดย ไมค์-ภณธฤต โชติกฤษฎาโสภณ งานนี้เจ้าตัวถึงกับออกปากว่าทำการบ้านหนักมาก ทั้งการค้นคว้าข้อมูลและการไปศึกษากับน้องๆ เด็กพิเศษที่เจ้าตัวบอกว่าบท "เต๊ะ" ในวันแรกที่แคสกับวันนี้นั้น "ต่างกัน" อย่างมาก พร้อมสัญญาจะไม่หยุดพัฒนาตัวเอง

'หญิงหน่อย' แนะรัฐหนุน 'มูเตลู-ความเชื่อ' ต่อยอดเศรษฐกิจ ท่องเที่ยว

คุณหญิงสุดารัตน์ เกยุราพันธุ์ หัวหน้าพรรคไทยสร้างไทย โพสต์เฟซบุ๊คส่วนตัวว่า มูเตลู ทุกวันนี้เป็นมากกว่าความเชื่อ แต่พัฒนามาสู่เศรษฐกิจและการท่องเที่ยว จำนวนมหาศาล ไปลงพื้นที่ บึงกาฬ ได้ไปกราบปู่อือลือ และได้พุดคุยกับ ธนวณิช ชัยชนะ ว่าที่ผู้สมัคร ส.ส. บึงกาฬ เขต 1

รองหัวหน้าพรรคกล้า ชู 'เครื่องราง-ของขลัง' เป็นซอฟท์พาวเวอร์ไทยดูดเงินเข้าประเทศ

“วรวุฒิ” เสนอ เครื่องราง-ของขลัง เป็นซอฟท์ พาวเวอร์ สร้างเศรษฐกิจไทย ดึงนักท่องเที่ยวสายมูจากต่างประเทศ ชี้ มีฐานรากจากวัฒนธรรมโบราณ มูลค่ามหาศาล เติบโตถึง 40,000 กว่าล้านบาทต่อปี