![](https://storage-wp.thaipost.net/2023/12/1_0-2.jpg)
โครงการวิจัยวิทยาศาสตร์ชั้นนำต่างๆ ที่กล่าวมานี้ เกิดขึ้นจากบารมีของพระองค์ท่าน ทรงช่วยประสานกับโครงการโดยตรง อย่างเช่นโครงการเซิร์น ถ้าเราจะไปเอง เขาก็จะถามว่า คุณเป็นใคร แล้วต้องใช้เงินไม่ต่ำกว่า 40 ล้าน ต้องนำเข้าครม.เพื่ออนุมัติ...
การศึกษาวิจัยเกี่ยวกับขั้วโลก อาจเป็นเรื่องไกลตัวสำหรับคนไทย เนืองจากประเทศไทยเป็นประเทศที่อยู่ในเขตร้อนใกล้เส้นศูนย์สูตร ห่างไกลจากความหนาวเย็นที่น้อยคนนีกจะได้ไปเยือนทวีปแอนตาร์กติกา ซึ่งเป็นขั้วโลกใต้ แต่ด้วยพระปรีชาญาณและพระราชวินิจฉัยของสมเด็จพระขนิษฐาธิราชเจ้า กรมสมเด็จพระเทพรัตนราชสุดาฯ สยามบรมราชกุมารี พระองค์ทรงเล็งเห็นถึงความสำคัญการวิจัยด้านดาราศาสตร์ที่เชื่อมโยงกับการศึกษาวิทยาศาสตร์ขั้วโลก จึงมีพระราชดำริให้นักวิทยาศาสตร์ไทยเข้าร่วมการศึกษาวิจัย ด้านวิทยาศาสตร์ขั้วโลกกับสาธารณรัฐประชาชนจีน
ประเทศไทย โดยสำนักงานพัฒนาวิทยาศาสตร์และเทคโนโลยีแห่งชาติ (สวทช.) ได้มีการลงนามในความร่วมมือกับสำนักงานบริหารอาร์กติกและแอนตาร์กติกแห่งสาธารณรัฐประชาชนจีน ( Chinese Arctic and Antractic Administration :CAA ) เมื่อวันที่ 30ก.ค.2556 และขยายขอบเขตความร่วมมือด้านงานวิจัย ไปยังวิทยาศาสตร์สาขาต่างๆรวมถึงฟิสิกส์อนุภาคพลังงานสูงจากอวกาศ
![](https://storage-wp.thaipost.net/2023/12/2-11.jpg)
นอกจากนี้ พระองค์ยังสนพระทัยในงานวิจัยด้านดาราศาสตร์ โดยเฉพาะอย่างยิ่งโครงการหอสังเกตุการณ์ นืวทริโนไอซ์คิวป์ ( IceCube Neutrio Obversavation ) ณ ขั้วโลกใต้ ซึ่งเป็นโครงการที่มีความร่วมมือกับนักวิจัยทั่วโลกกว่า 350 คน จาก 14 ประเทศ 58 สถาบัน จึงทรงมีพระราชดำริให้เกิดโครงการวิจัย เพื่อสร้างความร่วมมือกับกลุ่มวิจัย นิวทริโนไอซ์คิวป์ ภายใต้การประสานงานของมูลนิธิเทคโนโลยีสารสนเทศ ตามแนวพระราชดำริกรมสมเด็จพระเทพฯ โดยมีพระราชประสงค์ให้นักวิทยาศาสตร์ไทย ได้มีโอกาสไปทำวิจัย ณ บริเวณขั้วโลก ทั้งแถบอาร์กติกและทวีปแอนตาร์กติก ซึ่งเป็นพื้นที่ ที่มีองค์ความรู้มากมาย ให้ศึกษา แต่หากประเทศไทยจะดำเนินการเอง จะต้องใช้งบประมาณที่ สูงมาก ซึ่งการวิจัยของนักวิทยาศาสตร์ไทย เป็นการวิจัยร่วมกับนักวิทยาศาสตร์ชั้นนำของโลก
![](https://storage-wp.thaipost.net/2023/12/7-2.jpg)
ปัจจุบันมีนักวิทยาศาสตร์ไทย 23 คน ที่ร่วมวิจัยขั้วโลก กับนักวิทยาศาสตร์ประเทศอื่นๆ โดยล่าสุดไทยจะส่งนักวิทยาศาสตร์อีก 2คน ไปวิจัยนิวทริโนไอซ์คิวป์ คือ นางสาวอัจฉราพร ผักหวาน ซึ่งจะเป็นนักฟิสิกส์อนุภาคหญิง จะร่วมเดินทางไปแอนตาร์กติก ร่วมเดินทางไปกับคณะวิจัยของสถานีวิจัยขั้วโลกเกาหลี ในโครงการสำรวจตัดข้ามละติจูดร่วมกับสถาบันวิจัยขั้วโลกเกาหลี เพื่อศึกษาอัตราการเปลี่ยนแปลงรังสีคอสมิกในระดับละติจูดต่างๆตามเส้นทางจากประเทศนิวซีแลนด์ เขตวิจั้ยทางทะเลอามันด์เชน (Amundsen Sea Research Area )สถานีวิจัย จางโบโก (Jang Bogo Station )สิ้นสุดการเดินทางที่เมืองกวางยาง ประเทศเกาหลี
![](https://storage-wp.thaipost.net/2023/12/8-2.jpg)
นักกวิทยาศาสตร์อีกคน ที่จะเดินทางไปวิจัยโครงการความร่วมมือไทย-ไอซ์คิวป์ ตามพระราชดำริฯ คือ เรือโท ดร.ชนะ สินทรัพย์วโรดม จากภาควิชาวิศวกรรมโยธา คณะวิศวกรรมศาสตร์ มหาวิทยาลัยเชียงใหม่ โดยดร.ชนะจะปฎิบัติงานร่วมกับนักวิจัยนิวทริโนไอซ์คิวป์ ระดับโลกกว่า 350 คน จาก 14ประเทศ 58 สถาบัน ภารกิจสำคัซญคือการขุดเจาะน้ำแข็ง ณ สถานีตรวจวัดนิวทริโนไอซ์คิวป์ ใจกลางทวีปแอนตาร์กติก สูงประมาณ 2,835 เมตร จากระดับน้ำทะเล สูงกว่ายอดดอยอินทนนท์ ประมาณ 300 เมตร ซึ่งถือว่าเรือโท ดร.ชนะ เป็นนักวิจัยไทยคนแรกที่ได้เดินทางไปถึงบริเวณขั้วโลกใต้ ณ ละติจูด 90 องศาใต้ ใจกลางทวีปแอนตาร์กติก
โครงการทั้งหลายดังกล่าวข้างต้น ถือว่าเป็นพัฒนาและเตรียมความพร้อมกำลังคนของประเทศ ในการก้าวสู่วิทยาศาสตร์และเทคโนโลยีแนวหน้า ยกระดับประเทศซึ่งจะนำประเทศไปสู่การพัฒนาอุตสาหกรรมและเศรษฐกิจต่อไปในอนาคต
![](https://storage-wp.thaipost.net/2023/12/ศ.พร.ไพรัช.jpg)
ศ.ดร.ไพรัช ธัชยพงษ์ เลขาธิการมูลนิธิเทคโนโลยีสารสนเทศตามพระราชดำริ กรมสมเด็จพระเทพฯ กล่าวว่ามูลนิธิแห่งนี้ ตั้งมาเป็นเวลา 30 ปี ซึ่งช่วงนั้นโทรศ้พท์มือถือก็ไม่มี ส่วนอินเตอร์เน็ตก็หายาก ทรงเกรงว่า การใช้อินเตอร์เน็ต จะตกกับคนบางกลุ่มที่มีโอกาสเท่านั้น จึงทรงตั้งมูลนิธิเทคโนโลยีสารสนเทศฯ ขึ้นมา โดยเน้น4กลุ่ม คนในชนบท คนพิการ ผู้ต้องขังในทัณฑสถาน เด็กเจ็บป่วยในโรงพยาบาล จากโรคเรื้อรัง ต่อมาทรงโปรดให้เป็นมูลนิธิทางด้านวิทยาศาสตร์ด้วย ไม่ใช่แค่อินเตอร์เน็ตอย่างเดียว
โดยจากการที่ทรงเสด็จขั้วโลกก่อนใครและเป็นคนไทยคนแรกที่เสด็จขั้วโลก โดยในพ.ศ.2536 ทรงเสด็จ ไปที่แอนตาร์กติก ทอดพระเนตรการศึกษาวิจัย ของคณะนักวิทยาศาสตร์ ทั้งด้านชีววิทยา ธรณีวิทยาอุตุนิยมวิทยาและสภาวะแวดล้อม หลังจากการเสด็จครั้งนั้น ทรงมีพระราชกระแส อยากให้คนไทยไปวิจัยขั้วโลก ซึ่งหลายคนอาจสงสัยว่า ทำไมต้องไปวิจัยขั้วโลก ทั้งที่บ้านเราเป็นเมืองร้อนอยู่เส้นศูนย์สูตร ก็เพราะชั้วโลกยังเป็นพื้นที่ ที่บริสุทธิ์ แต่ขั้วโลกมีความสำคัญ เพราะทั้งภาวะโลกร้อน การละลายของน้ำแข็งจากขั้วโลก ล้วนมีผลกระทบกับสิ่งแวดล้อม
![](https://storage-wp.thaipost.net/2023/12/1701844928343.jpg)
ต่อมาในเดือนมีนาคม 2556 ทรงเสด็จอาร์ตติก เสด็จไปยังหมู่เกาะสวาลบาร์ด (Svalbard) ทอดพระเนตรคลังเก็บเมล็ดพันธุ์พืชโลก ศูนย์วิทยาศาสตร์สวาลบาร์ด และศูนย์มหาวิทยาลัยแห่งสวาลบาร์ด (UNIS: University Center in Svalbard) นอกจากนี้ ยังเสด็จเมืองนีอัลลีชนด์ (Ny-Alesund) ซึ่งเป็นศูนย์รวมของที่ตั้งสถานีวิจัยชั้วโลกของประเทศต่าง ๆ ที่ชุมนุมของนักวิทยาศาสตร์ระดับโลก และสถาบันวิจัยขั้วโลกแห่งนอร์เวย์ เมื่อเสด็จกลับยังกรุงออสโลทรงเข้าเฝ้ากษัตริย์ฮาราลด์ แห่งนอร์เวย์
จากความสนพระทัยในวิทยาศาสตร์ และการวิจัยขั้วโลกของพระองค์ท่าน . ซึ่งเป็นผลจากการเสด็จเยือนขั้วโลกและโครงการวิจัยต่างๆ ทำให้ทรงประสานความร่วมมือระหว่างไทย กับประเทศแนวหน้าของโลก เช่น จีน ญี่ปุ่น เกาหลีใต้ ยักษ์ใหญ่ในการวิจัยขั้วโลก ซึ่งมีเรือตัดน้ำแข็งและสถานีวิจัยที่ทวีปแอนตาร์กติก เพื่อให้นักวิจัยไทยเข้าไปร่วมวิจัยกับประเทศเหล่านั้น
![](https://storage-wp.thaipost.net/2023/12/3-5.jpg)
"การที่นักวิจัยไทยได้มีโอกาสเข้าไปวิจัยขั้วโลก ก็เพราะอาศัยบารมีของพระองค์ท่าน เราได้ขอเข้าเป็นสมาชิก Asia Forum Polar Science เราไปแบบมือเปล่าไม่มีอะไรเลย และมีมาเลเซียอีกประเทศ ที่ขอเข้าเป็นสมาชิก แต่เขาก็ยังมีทรัพยากรมากกว่า ต่อมาในปี 2556 ทรงเสด็จไปที่อาร์ตติก ทรงเสด็จไปที่สวาร์บาร์ด ที่มีพวกยักษ์ใหญ่วิจัยขั้วโลกชุมนุมอยู่ที่นั่น ทรงเข้าเฝ้ากษัตริย์ของนอร์เวย์ ทรงทอดพระเนตรคลังเก็บเมล็ดพันธุ์พืช เป็นที่มาของการวิจัยขั้วโลกในแง่มุมอื่นๆตามมา" ศ.ดร.ไพรัช กล่าว
![](https://storage-wp.thaipost.net/2023/12/9-2.jpg)
ต่อมาไทยได้ส่งนักวิจัยไปวิจัยขั้วโลกเหนือและขั้วโลกใต้หลายชุดด้วยกันรวม 23 คน โดยนักวิจัยไทยได้ทำงานร่วมกับนักวิจัยชั้นแนวหน้าของโลก ล่าสุด เป็นการวิจัยเรื่องของไอซ์คิวบ์ ที่นักวิทยาศาสตร์ทั่วโลกกำลังให้ความสนใจ นอกเหนือจากการวิจัยเรื่องเซิร์น โดย ไอซ์คิวป์ เกิดมาปีสองปี โดยไอซ์คิวบ์ มีชื่อเต็มว่าสถานีตรวจวัดนิวทริโนไอซ์คิวป์ ซึ่งเป็นของสหรัฐอเมริกา ตั้งอยู่ที่สถานีขั้วโลกใต้ อมันเซนสก็อตต์ในทวีปแอนตาร์กติก สร้างเสร็จเมื่อปี 2553 มีอุปกรณ์ประกอบด้วยหน่วยตรวจวัดแสงนับพันตัวกระจายอยู่ในหนึ่งลูกบาศก์กิโลเมตรของน้ำแข็งใต้พื้นผิวหน้าของแอนตาร์กติก ทำหน้าที่ตรวจวัดนิวทริโนว่ามาจากแหล่งกำเนิดใด นอกระบบสุริยะ สาเหตุที่ต้องตั้งอยู่ที่แอนตาร์กติกา เพราะต้องอาศัยน้ำแข็งในการทำอันตกิริยากับนิวทริโน เกิดแสงให้ตรวจวัดได้
"การวิจัยนิวทริโนไอซ์คิวบ์ เป็นเรื่องใหม่ เป็นเรื่องลึกลับ เพราะเป็นอนุภาคที่ไม่มีมวลหรือประจุ วิ่งเร็วเกือบเท่าแสง ทะลุทะลวงออกนอกโลกได้ สามารถเป็นตัวนำข้อมูล จากนอกโลกมาให้เรา "ศ.ดร.ไพรัช กล่าว
ในพ.ศ.2564 ทรงมีพระราชดำริ ให้เกิดความร่วมมือในโครงการความร่วมมือไทย-ไอซ์คิวบ์ ตามพระราชดำริฯ กับสหรัฐอเมริกา ประกอบด้วยโครงการนักศึกษาภาคฤดูร้อน และโครงการวิจัย โครงการนี้ ดำเนินการสอนพระราชดำริ โดยคณะกรรมการความร่วมมือการวิจัยนิวทริโนไอซ์คิวบ์ประเทศไทย (Thai-Icecube ) ตั้งอยู่ที่มหาวิทยาลัยเชียงใหม่ การทำงานเป็นการบูรณาการหน่วยงานในประเทศ ได้แก่ จุฬาลงกรณ์มหาวิทยาลัย สถาบันวิจัยดาราศาสตร์แห่งชาติ สถาบันการจัดการปัญญาภิวัฒน์ หน่วยงานในต่างประเทศ ได้แก่ สถานีตรวจวัดนิวทริโนไอซ์คิวบ์ ที่รัฐบาลสหรัฐมอบหมายให้มหาวิทยาลัยวิสคอนซิน เป็นผู้บริหาร
![](https://storage-wp.thaipost.net/2023/12/4-5.jpg)
"โดยเมื่อวันที่ 21 มกราคม 2566 ที่ผ่านมา ผมได้นำคณะผู้บริหาร และคณะนักวิจัยทั้งจาก IceCube และไทยเข้าเฝ้าถวายรายงาน ความก้าวหน้าความร่วมมือระหว่าง IceCube โดยมี ศ.เจมส์ เมดสัน (Prof.James Madsen) จากมหาวิทยาลัยวิสคอนซิน-เมดิสัน และนายพอล อีเวนสัน (Paul Evenson )จากมหาวิทยาลัยเดลาแวร์ เข้าเฝ้า กราบบังคมทูลเรื่องการทำไอซ์คิวบ์" ศ.ดร.ไพรัช กล่าว
![](https://storage-wp.thaipost.net/2023/12/6-3.jpg)
โครงการลักษณะความร่วมมือกับประเทศวิจัยชั้นนำ ยังมีโครงการละติจูดข้ามประเทศของไทยเอง เป็นการตรวจวัดรังสีคอสมิกจากท้องฟ้า ที่เริ่มดำเนินการตั้งแต่ปี 2531 แต่พัฒนาโครงการขึ้นอีกระดับ โดยในปี 2566 ได้ร่วมมือกับกลุ่มวิจัยจากประเทศเกาหลี ได้แก่ มหาวิทยาลัยชอนนัม สถาบันดาราศาสตร์ และวิทยาศาสตร์อวกาศของประเทศเกาหลี และสถานีวิจัยขั้วโลกเกาหลี เพื่ออาศัยการเดินทางของเรือตัดน้ำแข็งเกาหลี บรรทุกอุปกรณ์ตรวจวัดของไทยที่ชื่อว่า "ช้างแวน" ซึ่งเป็นอุปกรณ์คล้ายคอนเทนเนอร์ จะทำหน้าที่เก็บข้อมูลการตรวจวัดรังสีคอสมิกที่ละติจูดต่างๆ ขณะเดินทางไปทวีปแอนตาร์กติก
ศ.ดร.ไพรัช กล่าวอีกว่า นอกเหนือจากส่งนักวิจัยไทยไปวิจัยขั้วโลกและโครงการความร่วมมือไอซ์คิวบ์แล้ว กรมสมเด็จพระเทพฯยังทรงขับเคลื่อนงานวิชาการที่เป็นความก้าวหน้าทางวิทยาศาสตร์ และผลักดันให้นักวิทยาศาสตร์ไทยเข้าไปอยู่ในวงการวิทยาศาสตร์สำคัญของโลก ไม่ว่าจะเป็น โครงการความสัมพันธ์ไทย-เชิร์นตามพระราชดำริฯ โครงการความร่วมมือไทย - สภาวิทยาศาสตร์แห่งชาติจีน (Chinese Academy of Sciences : CAS) เพื่อพัฒนากำลังคนและการวิจัยพัฒนาตามพระราชดำริฯโครงการความร่วมมือไทย สิงคโปร์ เรื่องนาฬิกาอะตอมเพื่อพัฒนากำลังคนและการวิจัยพัฒนาตามพระราชดำริฯ ,โครงการความร่วมมือไทย - GS/FAR ตามพระราชดำริฯ, โครงการไทย-เดซีเพื่อพัฒนากำลังคนและการวิจัยพัฒนาตามพระราชดำริฯ ซึ่งจะทรงประชุมคณะกรรมการตามโครงการต่างๆ ในเดือนมีนาคมของทุกปี
![](https://storage-wp.thaipost.net/2023/12/5-2.jpg)
เพื่อพัฒนากำลังคนด้านวิทยาศาสตร์ ทรงสนับสนุนให้คนไทย เข้าร่วมกิจกรรมกับ สถาบันวิจัยระดับโลก 4 แห่ง ซึ่งเปิดโอกาสให้ประเทศไทยคัดเลือกนักศึกษาคณะวิทยาศาสตร์และคณะวิศวกรรมศาสตร์เข้าร่วมค่ายภาคฤดูร้อน ให้ได้มีโอกาสเข้าร่วมทำงานวิจัยกับนักวิทยาศาสตร์ชั้นนำของโลกที่ทำการวิจัยเกี่ยวกับฟิสิกส์อนุภาคพลังงานสูง ฟิสิกส์ดาราศาสตร์พลังงานสูง และวิศวกรรมซอฟต์แวร์ ได้แก่ 1. โครงการนักศึกษาภาคฤดูร้อนเซิร์น (CERN Summer Student Program) ประเทศสวิสเซอร์แลนด์ 2. โครงการนักศึกษาภาคฤดูร้อนเดซี (DESY Summer Student Program) ประเทศเยอรมนี 3. โครงการนักศึกษาภาคฤดูร้อนจีเอสไอ (GSI/FAIR Summer Student Program) ที่ประเทศเยอรมนี 4. โครงการนักศึกษาภาคฤดูร้อนไอซ์คิวบ์ (Icecube Summer Student Program) ประเทศสหรัฐอเมริกา
"โครงการวิจัยวิทยาศาสตร์ชั้นนำต่างๆ ที่กล่าวมานี้ เกิดขึ้นจากบารมีของพระองค์ท่าน การที่พระองค์ท่านเสด็จไปที่โครงการวิจัยต่างๆ ทรงช่วยประสานกับโครงการโดยตรง อย่างเช่นโครงการเซิร์น ถ้าเราจะไปเอง เขาก็จะถามคุณเป็นใคร แล้วต้องใช้เงินไม่ต่ำกว่า 40 ล้าน ต้องนำเข้าครม.เพื่ออนุมัติ แต่พอพระองค์ท่านเสด็จโครงการพวกนี้ ก็ทำให้ทุกอย่างง่ายขึ้น "ศ.ดร.ไพรัช กล่าว
![](https://storage-wp.thaipost.net/2023/12/10-1.jpg)
ข่าวที่เกี่ยวข้อง
กรมสมเด็จพระเทพฯ พระราชทานพระราชวโรกาสให้คณะบุคคลเฝ้าฯ
13 มี.ค.66 - เวลา 09.00 น. สมเด็จพระกนิษฐาธิราชเจ้า กรมสมเด็จพระเทพรัตนราชสุดา ฯ สยามบรมราชกุมารี เสด็จออก ณ วังสระปทุม พระราชทานพระราชวโรกาสให้ศาสตราจารย์ไพรัช ธัชยพงษ์ กรรมการและเลขาธิการมูลนิธิเทคโนโลยีสารสนเทศตามพระราชดำริสมเด็จพระเทพรัตนราชสุดา