'ออสเตรีย' ประเทศโรแมนติก เส้นทาง'เวียนนา- ซัลซ์บวร์ก - ฮัลสตัทท์ '  

มุมโค้งริมทะเลสาปของหมู่บ้านฮัลสตัทที่แสนจะงดงาม

มีหลายคนที่ไปกรุงเวียนนา เมืองหลวงของประเทศออสเตรียแล้วก็หลงใหล ว้าวุ่นกับความงดงามของเมืองโดยเฉพาะจตุรัสของเมืองที่เป็นย่านเมืองเก่า ทำให้ไปแล้ว อยากไปอีก 

เมื่อ 8ปีก่อน ได้มีโอกาสไปแวะเวียนนา ในช่วงเวลาสั้นๆแค่หนึ่งวันหนึ่งคืน แต่นั่นก็เพียงพอให้จดจำว่าเวียนนา ได้เป็นอย่างดี ว่าเป็นเมืองที่สวยงามขนาดไหน  เสียงรถม้า เสียงกระดิ่งดังกรุ๊งกริ๊งๆ เวลารถม้าวิ่ง พานักท่องเที่ยวชมเมือง ยังตราตรึงในความทรงจำ

 ไปเล่าให้ใครฟัง ก็จะบอกว่าบรรยากาศของเมืองเก่า หรือจัตุรัสสเตฟาน (Stephansplatz) ซึ่งเหมือนหลุดเข้าไปในยุคศตวรรษที่ 18-19  ราวกับเรื่องทวิภพนะ ไม่ใช่พรหมลิขิต หรือแม่การะเกด ด้วยสถาปัตยกรรมที่วิจิตรสุดๆ ทำให้การได้ไปเดินย่านจตุรัสเมืองเก่า  เหมือนได้ไปยืนอยู่ตรงกลางโรงละครฝรั่งที่ใหญ่ที่สุด ยังไงยังงั้น

แต่ไปคราวนี้เหมือนจะมีการเปลี่ยนแปลงในบางสิ่งบางอย่าง  โดยเฉพาะช่วงเมืองใหม่ ก่อนเข้าสู่โซนเมืองเก่า บอกไม่ถูกเหมือนกัน ว่าเป็นเพราะรถม้า คันใหม่ หรือการปิดซ่อมทางเเข้าจตุรัส มีการกั้นพื้นที่ถนนก่อสร้าง ทำให้พื้นที่ริมถนนที่เคยเป็นโรงพักให้น้ำให้อาหารม้า ซึ่งตรงนี้เคยมีโซ่เหล็กกั้น  มีถังเหล็กสีดำ ดูเก่าๆโบราณ พร้อมกับกลิ่นขี้ม้าและขี้ม้าเรี่ยราดบนพื้น มันดูขลังโบราณๆบอกไม่ถูก เหมือนที่เราเห็นในหนังยุโรปยุคร้อยกว่าปีก่อน แต่นี่คือของจริง แต่ไปคราวนี้โรงพักม้า กลับถูกย้ายไปหลบอยู่อีกด้านของถนน ความรู้สึกโบราณจึงถูกลดทอนไป

ย่านเมืองเก่าเวียนนา

แต่เอาเถอะ นี่เป็นแค่ส่วนเล็กๆ เทียบไม่ได้กับความน่าตื่นตาตื่นใจของจตุรัสเมืองเก่า ที่มองไปทางไหนก็เห็นแต่ความวิจิตรงดงาม ของอาคารสองข้างทาง แม้ว่าส่วนใหญ่จะเป็นร้านค้าขายของแบรนด์เนมก็ตาม และเนืองแน่นไปด้วยนักท่องเที่ยว


อีกมุมของเมืองเก่าเวียนนา


เรามีเวลาที่เวียนนาแค่ 2คืน ตอนแรกเมื่อไปถึงจตุรัสเมืองเก่า กะว่าจะไปดู มหาวิหาร  St.Stephen  ที่ถือว่างดงามที่สุด แต่เอาเข้าจริงเวลาไม่พอ ถ้าต้องการไปปราสาทเชินบรุนน์ (Schoenbrunn Palace) พระราชวังฤดูร้อนอันยิ่งใหญ่ของราชวงศ์ฮับส์บวร์ก   เพราะปราสาทเชินบรุนน์ จะเปิดให้เข้าชมเป็นรอบๆ ถ้าไปช้าก็อาจจะพลาดได้  ในที่สุดก็ตัดสินใจ ไปปราสาทเชินบรุนน์   เพราะบางคนในกรุ๊ปทัวร์ยังไม่เคยไป    จากจตุรัสกลางเมืองนั่งรถไฟ ก่อนไปต่อรถแทรม เรียกว่าไปไม่ยาก เพียงแต่ต้องเดินเยอะหน่อยจากป้ายรถแทรม เพื่อเข้าไปเขตปราสาท

รถม้าพานักท่องเที่ยวชมเมือง

การเข้าชมปราสาทเชินบรุนน์คราวนี้ มีความแตกต่างจากสมัยที่เคยดูครั้งแรก คิดว่า มีการเก็บข้าวของเครื่องใช้ของกษัตริย์ฟรานโจเซฟที่ 1  และราชินี ออกไปบ้าง และมีการทำแนวเชือกกั้นจุดทางเดินกับเยี่ยมชม ชัดเจนขึ้น

ตั๋วที่ซื้อเป็นการเข้าชมระดับกลางๆ ดูได้ประมาณ 20 ห้อง จากทั้งหมดของพระราชวังที่มี1,441 ห้อง แต่ห้องที่ให้เข้าชมถือว่าเป็นห้องสำคัญๆ เช่นห้องบรรทม ห้องทรงงาน  ห้องนั่งเล่น ห้องรับประทานอาหาร ห้องที่เป็นส่วนของเจ้านายผู้หญิง ทั้งหมดหรูหราอลังการ เพราะพระราชวังแห่งนี้มีพระราชวังแวร์ซายน์เป็นต้นแบบ ดังที่ปรากฎในประวัติศาสตร์ว่า พระนางมารีอังตัวเนตต์ และพระเจ้านโปเลียน ก็เคยมาประทับที่พระราชวังแห่งนี้

ด้านหลังพระราชวังเชินบรุนน์

 ส่วนห้องเต้นรำที่อยู่ท้ายสุดของการทัวร์  และถือว่าเป็นไฮไลท์ก็ยังดูหรูหราเรืองรอง ด้วยแชนดาเลียร์ขนาดใหญ่ ที่ห้อยระย้าจากเพดาน ภาพวาดบนเพดานและผนังที่ดูวิจิตรตระการตา ทำให้จินตนาการว่าห้องนี้คงเคยมีราชวงศ์ เชื้อพระวงศ์หรือขุนนาง ชนชั้นสูงยุโรป แต่งตัวกันอย่างหรูหรา พากันกรุยกรายเต็มรำกันอย่างสนุกสนาน

ถ้ามาปราสาทเชินบรุนน์แล้ว ไม่ไปชมสวนดอกไม้ด้านหลังปราสาท หรือเดินไปไม่ถึง CAFE GLORIETTE หรือ กลงรีเอตต์ อาคารในสวนที่สร้างขึ้นบนเนินสูง ในรูปแบบศาลาทรงโรมัน  ก็น่าเสียดาย นอกจากนี้ CAFE GLORIETTE   ถือว่าเป็นหนึ่งในร้านกาแฟที่มีชื่อเสียงที่สุดของออสเตรีย และที่นี่ยังเคยเป็นห้องเสวยอาหารเช้าของ พระเจ้าฟรานโจเซฟที่ 1 อีกด้วย

กลงรีเอตต์ตั้งตระหง่านบนเนินด้านหลังปราสาทเชินบรุนน์ ระยะทางเดินไปถึงราวหนึ่งกม.ด้านบนมีคาเฟ่เลื่องชื่อที่สุดในเวียนนา

การเดินไปกลงรีเอตต์ เราเดินจากทางด้านข้างสวนดอกไม้ ซึ่งไม่ค่อยมีคนเดิน แม้แต่คนออสเตรียเอง เมื่อเดินไปแล้วก็พบว่าเป็นพื้นที่กว้างใหญ่มากๆ มีสภาพคล้ายป่า มีต้นไม้อายุเก่าแก่เต็มไปหมด  ตามประวัติบริเวณนี้น่าจะเป็นพื้นที่ล่าสัตว์ของกษัตริย์เจ้าของปราสาท  เพราะพระราชวังเชินบรุนน์ นั้นสร้างขึ้นเพื่อเป็นพระราชวังฤดูร้อน ไว้พักผ่อนในหน้าร้อน  

 การเดินค่อยๆชันขึ้นๆ ผ่านจุดที่เคยเป็นสวนสัตว์ ซึ่งมีอนุสรณ์เป็นรูปปั้นสิงโตขนาดยักษ์หลงเหลืออยู่ เนื่องจาก ที่ปราสาทเชินบรุนน์นี้ ได้ชื่อว่าเป็นสวนสัตว์แห่งแรกของโลก

กลงรีเอตต์ มองระยะไกลจากสวนด้านหลังปราสาทเชินบรุนน์


อากาศในปลายเดือนกันยายน ยุโรปยังค่อนข้างร้อน การเดินขึ้นที่สูงที่เปรียบเสมือนยอดเขาเล็กๆ เล่นเอาเหนื่อยไม่ใช่เล่น แต่เมื่อไปถึงแล้วอากาศข้างบนกลับเย็นสบาย ลมพัดแรงมากๆ ถ้าใครใส่หมวกมีสิทธิ์ปลิวหายไป ถ้าไม่จับดีๆ

เมื่อถึง CAFE GLORIETTE ก็ต้องไปชิมเค้ก ที่มีเอกลักษณ์เฉพาะตัวของที่นี่ พร้อมกับ ชา กาแฟ เค้กก็อร่อยนะ เสียแต่ว่าห้องที่นั่งซึ่งเป็นห้องกระจก กลับไม่ได้เปิดหน้าต่าง (ไม่รู้ว่าเปิดได้หรือเปล่า)ซึ่งพนักงานก็คงรู้ว่าอากาศในร้านมันร้อนอบอ้าว  แต่ก็ไม่ได้ทำอะไร เพื่อให้ลมจากข้างนอกเข้ามา  กว่าเราจะลงมาจากคาเฟ่ ก็เกือบเย็น พระอาทิตย์ใกล้ตกดิน มองจากด้านล่างลงมาเห็นสวนดอกไม้เบื้องล่าง สีสันจัดจ้าน

ต้องบอกว่า ปราสาทเชินบรุนน์ กลางวันก็ดูสวยสง่าแล้ว กลางคืนยิ่งสวยกว่ากลางวัน เพราะมีการเปิดไฟรอบๆปราสาท ทำให้ดูน่าหลงใหลมากยิ่งขึ้น

ด้านหน้าปราสาทเชินบุรนน์ยามค่ำคืนสว่างไสวด้วยแสงไฟ

เช้าวันรุ่งขึ้น ออกจากโรงแรมมุ่งสู่ Salzburg   บ้านเกิดของโมสาร์ท คีตกวีเอกของโลก ได้รับการขึ้นทะเบียนเป็น มรดกโลก  ซึ่งจุดมุ่งหมายมาซัลซบวร์ก  ไม่ได้กะเที่ยวที่นี่เท่าไหร่ แม้จะมีสถานที่ท่องเที่ยวหลายแห่งที่น่าสนใจ น่าเสียดายเหมือนกัน แต่เวลาจำกัด ทำให้ต้องเลือก    แต่เป้าหมายถัดไปของเราอยู่ที่   Hallstatt อันเลื่องชื่อ

 แต่ก่อนที่เราจะไปHallstattในอีกวัน ก็ได้มีโอกาสเดินท่อมๆ กรุบกริบไปตามตรอกซอกซอยของ ซัลซบวร์ก เล็กน้อย ชมบรรยากาศเมือง ที่สวยงาม ที่น่าประทับใจก็คือ สวนมิราเบลล์ (Mirabell Garden) เป็นส่วนหนึ่งของพระราชวังมิราเบลล์ สถาปัตยกรรมบาโรคสุดคลาสสิก   ซึ่งดอกไม้สะพรั่งมาก เพราะอยู่ในช่วงปลายหน้าร้อน สวนมิราเบลนี้ เคยเป็นหนึ่งในฉากหนังเรื่อง The  Sound of Music ด้วย

กลางเมืองซัลซบวร์ก

และแล้วเราก็มาถึงหมู่บ้านฮัลล์สตัทท์ ซึ่งตั้งอยู่ในเมือง Salzkammergut การไป  Hallstatt ใช้รถไฟอีกตามเคย ไปลงที่สถานีที่จะมีท่าเรือข้่ามฟาก ซึ่งอยู่ตรงสถานีเลย เพียงแต่เดินลงไปท่าเรือนิดหน่อยเท่านั้น

ยามเช้าในช่วงวันหยุดในซัลซบวร์กที่แสนเงียบเหงา
โบสถ์เก่าแก่กลางเมืองซัลซบวร์กㆍCollegiate Church
โปรแกรมแสดงคอนเสิร์ตโมสาร์ท ตั้งย่านจตุรัสกลางเมือง
ปฎิมากรรมที่อยู่กลางเมืองซัลซบวร์ก ดูลึกลับน่ากลัว ทำให้คิดถึงดาร์ธ เวเดอร์ในสตาร์วอร์
สวนมิราเบล
อีกมุมของสวนมีคนมานั่งรับแดดในสวนมิราเบล ที่เคยเป็นฉากในหนัง The Sound of music
Marko feingold steg bridge ในซัลซบวร์ก มีคู่รักเอากุญแจมาแขวนเต็มไปหมด


ต้องบอกเลยว่าทริปยุโรป ที่ไปช่วงปลายเดือนกันยายน ที่ใกล้สิ้นสุดหน้าร้อน เริ่มเข้าสู่ฤดูใบไม้ร่วงหรือหน้าหนาว อากาศที่ว่าหนาวที่สุดของทริปนี้ก็คือที่ Hallstatt นี่แหละ อาจจะเป็นเพราะว่า วันนั้น ฝนตกเกือบตลอดทั้งวัน  มีหนัก มีเบาพรำๆสลับกันไป และถึงมื้อเที่ยงพอดี ก่อนชมเมือง ก็ต้องให้ท้องแน่นๆ ไว้ก่อน ไม่อย่างนั้นอาจจะทั้งหิว ทั้งหนาว
เพราะฝนตกแล้วตกอีก ทำให้เลือกได้ร้านอาหารได้ร้านหนึ่งที่เขียนป้ายหราว่าเป็น Restaurant  พวกเราสั่งซุปปลามาซดร้อนๆ หวังสู้ความหนาวเย็น แต่จินตนาการกับความจริง สวนทางกัน ซุปชามใหญ่มีควันขึ้นฉุยๆ ซดไปคำแรก แทบจะสำลักความเค็ม รสชาติเหมือนกินปลากระป๋องต้มยำที่เน้นเค็มอย่างเดียว  จนต้องเรียกขนมปังมากินแกล้มเพื่อลดความเค็ม และพยายามควานหาเนื้อปลา หลีกเลี่ยงน้ำซุป  ดีที่ยังมีอีกเมนูนึงคือ ข้าวกับหมูอบ ที่พอมาแก้ตัวได้บ้าง แต่ถ้าถามว่าอร่อยมั๊ย หมูกระเทียมพริกไทยบ้านเราอร่อยกว่าเยอะเลย ซึ่งค่าอาหารมื้อนี้ ไม่ถูกเลย  ซึ่งเป็นเรื่องปกติของเมืองท่องเที่ยว อีกทั้งฝนก็ตกมาแบบไม่หยุดไม่หย่อน ทำให้การเลือกร้านทำได้ยาก

บ้านเรือนในฮัลสตัทท์

มาว่ากัน เรื่อง Hallstatt ที่เป็นหมู่บ้านเล็กๆ แต่จำนวนนักท่องเที่ยวไม่เล็กเลย เท่าที่เดินสวนกันไปมา มีทั้งฝรั่ง เอเชีย แต่เกาหลีเยอะมากกว่าจีน ที่มีประปราย  ส่วนคนไทยคงจะมีพวกเราเป็นกรุ๊ปเดียวในวันนั้น

มา Hallstatt  ต้องบอกเลยว่าต้องแชะๆๆๆๆ ถ่ายรูปกันให้สนั่นไปเลย  มุมสวยๆอยู่ที่บ้านเรือนของที่นี่ ที่มีคนอยู่อาศัยจริง  การไปดูบ้านเรือนถ้าให้ดี ต้องปีนขึ้นสูงไปเรื่อยๆ แต่ละบ้านมีเอกลักษณ์ ความสวยงามในตัวเอง นักท่องเที่ยวจึงพากันเดินท่อมๆส่องตามบ้านต่างๆ  

มุมโค้งที่แสนจะงดงาม

ถ้าดูตามเว็บไซต์ตางๆ จะบรรยายว่าHallstatt เป็นหมู่บ้านริมทะเลสาบอันแสนเงียบสงบ สวยที่สุดในโลก  แต่นั่นมันอาจจะเป็นสภาพก่อนที่คนจะแห่กันมาเที่ยว   อย่างที่เคยเป็นข่าวมาแล้ว การที่นักท่องเที่ยวมาที่นี่กันมากๆ ทำให้ชาวเมือง  Hallstatt รู้สึกชีวิตเสียความเป็นส่วนตัว เรื่องความสงบไม่ต้องพูดถึง ชาวเมืองจึงโวยไปที่เทศบาลเมือง ทำให้เทศบาลต้องออกกฎห้ามนักท่องเที่ยวเดินไปเยี่ยมๆมองๆ ตามบ้านหลังต่างๆ  พอประกาศอย่างนี้ปุ๊บ จะเหลือเหรอ นักท่องเที่ยวก็หายหมด ผลที่ตามมาคือ รายได้ที่หดหาย   ทั้งโรงแรม ร้านอาหาร ของฝาก เดือดร้อนกันไปหมด จนในที่สุด ต้องมีการยกเลิกกฎนี้ไป

ยอดแหลมของโบสถ์Evangelische Pfarrkirche Hallstatt สร้างทัศนียภาพให้งดงามยิ่งขึ้น

 วันที่ไปบังเอิญว่ามีงานแต่งงานที่นี่ จัดกันตรงกลางหมู่บ้าน ที่เป็น Town Square เล็ก ๆ ของหมู่บ้านมีเสาหิน Holy Trinity อยู่ตรงกลาง รายล้อมด้วยอาคารบ้านเรือนสีหวาน ๆ  งานแต่งมีกิจกรรมละคร เจ้าสาว-เจ้าบ่าว สวยหล่อมากๆ  ซึ่งหลังจากยืนสั่นๆเพราะหนาวมากๆ กลางจตุรัสเมืองดูงานแต่งงานได้สักพัก ก็เห็นว่าควรกลับได้แล้ว เพราะมีเรือออกใกล้ๆเวลานั้น จึงโบกมือลาHallstatt

ส่วนตัวเห็นว่า วิวหลักล้านของ Hallstatt  นั้นอยู่ที่ การมองหมู่บ้านจากอีกฟากหนึ่งเข้ามา ด้วยรูปทรงสีสันของบ้านเรือนที่ทาสีสวยหวานหลากสี เหมือนลูกกวาดในขวดโหล  ยอดแหลมของโบสถ์ ที่มีภูเขาเป็นฉากหลัง หมอกลอยอ้อยอิ่ง ยิ่งมุมโค้งน้ำ ยิ่งสวยมาก  เป็นภาพราวกับเมืองในฝัน  

ฮัลสตัทท์มองจากระยะไกล



การเล่าถึงเวียนนา Salzburg และHallstatt เหมือนเป็นการย้อนเส้นทาง เพราะเป็นจุดแรกๆของทริปนี้ ก่อนที่เราจะไปเชสกี้ ครุมลอฟ  กรุงปราก เมือง  Decin เมืองที่อยู่เหนือสุดของประเทศเช็ก มีพรมแดนติดกับเยอรมัน และเมือง Dresden ของเยอรมันที่ห่างจากDecin เพียงแค่ประมาณ 60 กิโลเมตร.

เพิ่มเพื่อน

ข่าวที่เกี่ยวข้อง

ปฏิกิริยาที่หลากหลายในรัฐสภาสหภาพยุโรปต่อชัยชนะของ 'โดนัลด์ ทรัมป์'

ชัยชนะที่ชัดเจนของโดนัลด์ ทรัมป์ในการเลือกตั้งประธานาธิบดีสหรัฐฯ กระตุ้นให้เกิดปฏิกิริยาผสมปนเปในรัฐสภายุโรป

ไขข้อข้องใจ! ทำไมกินช็อกโกแลตแล้วสุขภาพดี

ศ.นพ.ธีระวัฒน์ เหมะจุฑา ที่ปรึกษาวิทยาลัยการแพทย์แผนตะวันออก มหาวิทยาลัยรังสิต โพสต์ข้อความผ่านเฟซบุ๊กว่า กินช็อกโกแลตแล้วสุขภาพดี…… สนใจมั้ย?

ศูนย์จีโนมฯ จับตาโอมิครอน KP.2.3/XEC ลูกผสมพันธุ์ใหม่ แพร่เร็วกว่าเดิม 2 เท่า

ศูนย์จีโนมทางการแพทย์ คณะแพทยศาสตร์ โรงพยาบาลรามาธิบดี โพสต์ข้อความผ่านเฟซบุ๊กว่า โอมิครอน KP.2.3/XEC : ลูกผสมสายพันธุ์ใหม่แพร่เร็วกว่าเดิม 2 เท่า

ยุโรปหวังเอาชนะสหรัฐ รักษาแชมป์'โซลไฮม์ คัพ' สี่สมัยติด

ทีมนักกอล์ฟสาวยุโรปพร้อมบุกไปเอาชนะสหรัฐอเมริกาในรัฐเวอร์จิเนีย ประเทศสหรัฐอเมริกา เพื่อการรักษาแชมป์สี่สมัยติดต่อกัน ในศึกกอล์ฟทีมหญิง โซลไฮม์ คัพ ครั้งที่ 19 ระหว่างวันที่ 13-15 กันยายน นี้ ด้านทีมสหรัฐอเมริกานั้นแต่ละคนฟอร์มในทัวร์กำลังดี ต่างหวังจะหยุดยุโรปให้ได้