“ผ้าขาวม้า” ภูมิปัญญาท้องถิ่นไทยที่มีมายาวนานกว่า 500 ปี มีเอกลักษณ์โดดเด่นของลายผ้าตาหมากรุกหรือลายทาง ตัดกับการเล่นสีสันสดใสฉูดฉาด เป็นผ้าสารพัดประโยชน์ที่คนไทยใช้ในชีวิตประจำวัน และมีหลายชุมชนทั่วประเทศที่ยึดอาชีพทอผ้าขาวม้าสร้างรายได้ ผ้าขาวม้าแต่ละท้องถิ่นมีความแตกต่างกันทั้งในด้านวัตถุดิบ ลวดลาย คุณภาพ ที่ผ่านมา มีการพัฒนาผ้าขาวม้าให้มีลวดลายสีสันทันสมัย ทำให้ผ้าขาวม้าได้รับความนิยมมากขึ้น
เพื่อยกระดับ ผ้าขาวม้า ต่อยอดซอฟต์พาวเวอร์ทางภูมิปัญญาไทย ทาง บริษัท ประชารัฐรักสามัคคี วิสาหกิจเพื่อสังคม (ประเทศไทย) จำกัด ร่วมกับ กรมการพัฒนาชุมชน กระทรวงมหาดไทย เครือข่ายบริษัท ประชารัฐรักสามัคคี วิสาหกิจเพื่อสังคม ทั่วประเทศ ภาคีเครือข่ายสถาบันการศึกษา และภาคเอกชน ดำเนินโครงการ “ผ้าขาวม้าท้องถิ่น หัตถศิลป์ไทย” ปีนี้จัดต่อเนื่องปีที่ 7 ผลักดันให้เกิดการสร้างมูลค่าเพิ่มให้กับผ้าขาวม้าทอมือ ช่วยเพิ่มรายได้และพัฒนาทักษะอาชีพให้กับชุมชนผู้ผลิตผ้าขาวม้าทั่วไทย
ผลงานออกแบบผ้าขาวม้าสุดสร้างสรรค์เพื่อพัฒนาสินค้าผ้าขาวม้าทอมือของชุมชนผ่านโครงการ Creative Young Designers Season 3 จาก 16 มหาวิทยาลัย ร่วมกับ 18 ชุมชน ทั่วประเทศไทย นำมาจัดแสดงและอวดโฉมผ่านแฟชั่นโชว์งาน “ผ้าขาวม้าวิถีไทย ทอใจอย่างยั่งยืน” ปี 2566 ด้วยแนวคิด Nature’s Diversity สะท้อนคุณค่าของผ้าขาวม้าที่ได้แปรรูปเป็นผลิตภัณฑ์ไลฟ์สไตล์และเสื้อผ้าที่เหมาะกับทุกเพศและทุกวัย นอกจากนี้ จัดแสดงนิทรรศการ cultural heritage, กิจกรรมTalk หัวข้อ ผ้าขาวม้า มรดกภูมิปัญญาและการพัฒนาอย่างยั่งยืน งานดังกล่าวเป็นส่วนหนึ่งของมหกรรมด้านความยั่งยืนที่ยิ่งใหญ่ที่สุดในอาเซียน SUSTAINABILITY EXPO 2023 (SX 2023) ตั้งแต่วันนี้ – 8 ต.ค. 2566 ณ ศูนย์ประชุมแห่งชาติสิริกิติ์
ฐาปน สิริวัฒนภักดี กรรมการผู้อำนวยการใหญ่ บริษัท ไทยเบฟเวอเรจ จำกัด (มหาชน) และประธานคณะกรรมการโครงการผ้าขาวม้าท้องถิ่นหัตถศิลป์ไทย กล่าวว่า โครงการผ้าขาวม้าท้องถิ่น หัตถศิลป์ไทย เป็นการสร้างความตระหนักถึงคุณค่าของผ้าขาวม้าในเชิงศิลปวัฒนธรรมให้เกิดขึ้นในสังคม ด้วยการนำเสนออัตลักษณ์ของผ้าขาวม้าจากชุมชนต่างๆ และเสริมสร้างผ้าขาวม้าทอมือให้มีความโดดเด่น พร้อมพัฒนาผลิตภัณฑ์แปรรูปจากผ้าขาวม้าให้มีความหลากหลายและตรงต่อความต้องการของตลาด เพื่อสร้างอาชีพและเสริมสร้างรายได้ให้คนในชุมชน
สำหรับการขับเคลื่อนโครงการผ้าขาวม้าที่ผ่านมานั้น ฐาปน กล่าวว่า โครงการฯ มุ่งเน้น 5 มิติ คือ 1. การสร้างรายได้ให้กับชุมชนผ้าขาวม้าทอมือ 2. การสร้างเครือข่ายภาควิชาการและภาคเอกชนที่พร้อมสนับสนุนชุมชนในการสั่งซื้อ ให้ความรู้เชิงธุรกิจ และการออกแบบ 3. การสร้างอัตลักษณ์ของชุมชน 4.การสานต่องานผลิตและแปรรูปผ้าขาวม้าสู่คนรุ่นใหม่ และ 5. การสร้างห่วงโซ่การผลิตผ้าขาวม้าทอมือที่เข้มแข็งมีความเกื้อกูลกันระหว่างชุมชน นับเป็นก้าวสำคัญในการขยายเครือข่ายความร่วมมือ
“ จากจุดเริ่มต้นเพียง 2 ชุมชน 2 มหาวิทยาลัย ในปี 2562 ขยายไปสู่ 18 ชุมชน 16 สถาบันการศึกษาในปี 2565 โดยรวมพลังคนรุ่นใหม่ผ่านโครงการ Creative Young Designer ร่วมสร้างสรรค์ส่งเสริมให้เกิดการแลกเปลี่ยนเรียนรู้ระหว่างชุมชนผู้ผลิตผ้าขาวม้าทอมือกับกลุ่มนักศึกษา อาทิ การนำเส้นใยและสีธรรมชาติมาใช้กับการย้อมผ้าขาวม้า นอกจากต่อยอดความร่วมมือในการออกแบบและพัฒนาผลิตภัณฑ์เสื้อผ้า ของใช้ ของที่ระลึกชุมชนผู้ผลิตผ้าขาวม้าทอมือให้มีความทันสมัยแล้ว ยังมุ่งพัฒนาด้านการตลาดและช่องทางการจัดจำหน่ายผลิตภัณฑ์ สร้างนวัตกรรมผ้าขาวม้าทอมือ เพิ่มศักยภาพการผลิตและต่อยอดทางธุรกิจให้แก่ชุมชนผ้าขาวม้า เกิดผลิตภัณฑ์ต้นแบบนำไปต่อยอดด้านการตลาด รวมถึงสโมรสรฟุตบอลร่วมสนับสนุนนำผ้าขาวม้าทอมือมาร่วมออกแบบสินค้าที่ระลึกสโมสร ส่งผลให้ระบบเศรษฐกิจชุมชนมีความเข้มแข็ง พึ่งพาตนเองได้ โครงการนี้ไม่เพียงสืบสานมรดกทางวัฒนธรรมจากรุ่นสู่รุ่น แต่สร้างระบบเศรษฐกิจฐานรากให้เข้มแข็ง ที่สำคัญคนในชุมชนผู้ผลิตผ้าขาวม้าทุกแห่งมีความรัก สามัคคี และภูมิใจในคุณค่าภูมิปัญญาของตนเอง ร่วมพัฒนาบนความยั่งยืน ” ฐาปน กล่าว
ผลผลิตจาก Creative Young Designers Season 3 ปุณยวีร์ รัตนวิมล น.ศ.ปี 4 คณะศิลปกรรมศาสตร์ จุฬาลงกรณ์มหาวิทยาลัย บอกว่า เป็นโอกาสที่ดีได้ลงพื้นที่เรียนรู้วิถีการทอผ้ากับกลุ่มทอผ้าบ้านใหม่ราษฎร์บำรุง จ.พะเยา ทั้งยังได้ร่วมกับคณะบัญชีสำรวจกลุ่มเป้าหมายที่นิยมใช้ผ้าขาวม้า ส่วนใหญ่จะเป็นกลุ่มวัยทำงานและข้าราชการ ดังนั้น รูปแบบการดีไซน์เหมาะสำหรับสวมใส่ในทุกโอกาส ทั้งในชีวิตประจำวันและออกงานต่างๆ ผสมผสานกับแรงบันดาลใจที่ได้จากเนื้อเพลงมนต์รักดอกคำใต้ สื่อถึงรักแรกพบมีความสดใส ประกอบกับนำดอกสารภี ดอกไม้ประจำ จ.พะเยา มาตกแต่งให้ชุดดูโดดเด่น
ส่วน กวินลลิตา นิตยภูติพัฒน์ น.ศ.ปี 4 ภาควิทยาการสิ่งทอ คณะอุตสาหกรรมเกษตร มหาวิทยาลัยเกษตรศาสตร์ กล่าวว่า การออกแบบผ้าขาวม้าที่ร่วมกับกลุ่มผ้าทอมือบ้านหนองขาว จ.กาญจนบุรี นำผ้าขาวม้าร้อยสีเอกลักษณ์ชุมชนสร้างสรรค์เป็นผลงาน แรงบันดาลใจจากแตกต่างกันของผิวงูและการลอกคราบของงูตามธรรมชาติ มาเป็นแนวคิดสร้างสรรค์สีของผ้าขาวที่มีหลายสี ชุดที่ออกมาจึงมีความเก๋และเท่ ผู้หญิงหรือผู้ชายสามารถส่วมใส่ได้
ด้าน นิตยา ใจโต ประธานกลุ่มทอผ้าบ้านหนองลิง อ.สองพี่น้อง จ.สุพรรณบุรี เผยว่า ดีใจที่มีกลุ่มคนรุ่นใหม่จากมหาวิทยาลัยธรรมศาสตร์เข้ามาเรียนรู้ในชุมชนทอผ้าบ้านหนองลิง เมื่อได้เห็นผลงานของคนรุ่นใหม่ที่ได้การออกแบบชุดจากผ้าขาวม้า ยอมรับว่าน่ารักมากๆ เป็นรูปแบบที่ทางชุมชนไม่มี ทั้งเด็กหรือวัยรุ่นสามารถสวมใส่ได้ ปกติชุมชนจะทอเป็นผ้าผืนและตัดเย็บเป็นเสื้อรูปแบบธรรมดาทั่วไป จากต้นแบบทางชุมชนสามารถใช้ในการพัฒนาสินค้าผ้าขาวม้าให้เกิดความหลากหลายและตอบโจทย์กลุ่มลูกค้าให้มากขึ้น
ข่าวที่เกี่ยวข้อง
โครงการ ไทยเบฟ…รวมใจต้านภัยหนาว สานต่อปณิธานแห่งการ “ให้” ปีที่ 25 “มากกว่าความอบอุ่น คือสังคมแห่งการให้ที่ยั่งยืน”
จากความผันผวนของสภาพภูมิอากาศ อีกทั้งภัยพิบัติรุนแรงหลายรูปแบบที่ต้องเผชิญในยุคของ Global Boiling (สภาวะโลกเดือด) กระทบต่อหลายพื้นที่ตอนบนของประเทศไทยในแถบภาคเหนือ
4 CEO ชั้นนำ เปิดแนวคิดฝ่าความท้าทายอนาคตที่ยั่งยืน บนเวที SX2024
ความพยายามของประชาคมโลกที่จะบรรลุเป้าหมายการพัฒนาที่ยั่งยืน หรือ SDGs 2030 (Sustainable Development Goals) ในอีก 6 ปีข้างหน้า
ไทยเบฟขับเคลื่อนการเติบโตที่ยั่งยืนสู่ PASSION 2030
บริษัท ไทยเบฟเวอเรจ จำกัด (มหาชน) (“ไทยเบฟ” หรือ “กลุ่ม”) เผยแผนงาน PASSION 2030 ซึ่งต่อยอดการดำเนินงานของกลุ่มในการเสริมความแข็งแกร่งสถานะผู้นำที่
กรมสมเด็จพระเทพฯ ทรงเปิดเทศกาลศิลปะร่วมสมัยนานาชาติ 'บางกอก อาร์ต เบียนนาเล่'
1 ต.ค.2567 - เวลา 9.04 น. สมเด็จพระกนิษฐาธิราชเจ้า กรมสมเด็จพระเทพรัตนราชสุดา ฯ สยามบรมราชกุมารี เสด็จพระราชดำเนินทรงเปิดงาน เทศกาลศิลปะร่วมสมัยนานาชาติ บางกอก อาร์ต เบียนนาเล่ Bangkok Art Biennale 2024 (BAB 2024) ภายใต้แนวคิด "รักษา กายา
งานศิลป์จาก'ขยะ' เพิ่มมูลค่า ดีต่อโลก
การเปลี่ยนวัสดุเหลือใช้ให้กลายเป็นงานศิลปะหรือของใช้สร้างสรรค์เป็นแนวทางการทำงานที่พบเห็นได้ของศิลปินร่วมสมัยชื่อดังไทยและต่างประเทศ รวมถึงเป็นเทรนด์ที่มาแรงในสังคมไทย เพื่อกระตุ้นให้เกิดไอเดียศิลปะจากสิ่งของเหลือใช้ที่หลายคนมองไม่เห็นคุณค่า
โครงการ ไทยเบฟ…รวมใจต้านภัยหนาว ก้าวสู่ปีที่ 25 พร้อมสานต่อปณิธานแห่งการ “ให้” “มากกว่าความอบอุ่น คือสังคมแห่งการให้ที่ยั่งยืน”
จากความผันผวนของสภาพภูมิอากาศ อีกทั้งภัยพิบัติรุนแรงหลายรูปแบบที่ต้องเผชิญในยุคของ Global Boiling (สภาวะโลกเดือด) กระทบต่อหลายพื้นที่ตอนบนของประเทศไทยในแถบภาคเหนือ