ชวนรู้จัก 'ภาวะสิ้นยินดี' บอกไม่ได้'วันนี้มีความสุขหรือไม่'


“คุณมีความสุขไหมวันนี้?” คำถามง่าย ๆ ที่หลายคนอาจไม่เคยย้อนถามตัวเองและอาจจะต้องนึกอยู่นานกว่าจะได้คำตอบ“มีความสุข” “ไม่มีเลย” หรือ “ไม่รู้เหมือนกัน”

ความสุข – ใคร ๆ ก็ต้องการ  การบอกกับตัวเองได้ว่า “ตัวเรามีความสุข” สะท้อนความพึงพอใจในชีวิต คุณสามารถสัมผัสรับรู้ความรู้สึกเชิงบวกในตน อันจะเป็นพลังในการดำรงชีวิตและสร้างสรรค์สิ่งที่ปรารถนาต่อไป
แต่เชื่อหรือไม่ว่ามีคนจำนวนหนึ่ง ที่ไม่สามารถรู้สึกหรือบอกตัวเองได้ว่า “ฉันกำลังมีความสุข”ซึ่งหากคุณหรือคนใกล้ตัวเป็นเช่นนี้ ขอให้ใส่ใจจับสัญญาณเพิ่มเติม เพราะคุณอาจกำลังมี “ภาวะสิ้นยินดี”อาการร่วมที่พบบ่อยในผู้มีภาวะซึมเศร้า ซึ่งมีแนวโน้มเกิดมากขึ้นในหมู่คนวัยทำงานยุคนี้

ผศ. ดร.กุลยา พิสิษฐ์สังฆการ รองคณบดีและอาจารย์ประจำแขนงวิชาจิตวิทยาการปรึกษา คณะจิตวิทยา จุฬาลงกรณ์มหาวิทยาลัยชวนทำความรู้จักและสังเกตอาการที่สะท้อนความเสี่ยงเป็น “ภาวะสิ้นยินดี” (Anhedonia)เพื่อรับการปรึกษาจากนักจิตวิทยา ก่อนที่ความสามารถในการมี “ความสุข” จะหายไป“
เป็นธรรมชาติของคนเราที่ต้องมีอารมณ์ความรู้สึก โดยเฉพาะการรับรู้หรือได้รับความรู้สึกเชิงบวก เช่นสบายใจ แช่มชื่นใจ ทั้งที่มาจากตัวเองหรือมาจากการปฏิสัมพันธ์กับคนอื่น แต่เมื่อไรที่เรามี “ภาวะสิ้นยินดี”เราจะรู้สึกเหนื่อย เนือย ไม่มีความรู้สึกเชิงบวกใด ๆ ไม่ว่ากับอะไรหรือกับความสัมพันธ์ใด”

ภาวะสิ้นยินดีเกิดขึ้นได้อย่างไร ผศ.ดร.กุลยา อธิบายว่า “ภาวะสิ้นยินดี” เป็นความผิดปกติทางอารมณ์ที่ทำให้เจ้าต้วไม่รู้สึกรู้สากับอารมณ์ความรู้สึกเชิงบวก ทั้งนี้ ภาวะดังกล่าวเกิดได้จากหลายปัจจัย กล่าวคือ  ปัจจัยทางกายภาพ ซึ่งอาจเชื่อมโยงกับการเกิดโรคภัยไข้เจ็บ หรือสารเคมีในสมอง เช่นโรคพาร์กินสัน โรคหลอดเลือดในสมอง โรคซึมเศร้า เป็นต้น  ปัจจัยทางพันธุกรรม อาจมีส่วนทำให้บางคนมีธรรมชาติและบุคลิกภาพค่อนข้างหม่นหมอง เศร้าง่าย  ปัจจัยทางสภาวะแวดล้อม เช่น ภาวะความเครียด เหตุการณ์ที่กระทบกระเทือนใจ ภาวะหมดไฟ(Burnout Syndrome) หรือผู้ที่อยู่ในภูมิประเทศที่มีฤดูหนาวเป็นระยะเวลานานเหล่านี้ทำให้เกิดความรู้สึกหม่นหมองต่อเนื่อง ก็อาจส่งผลให้คนนั้น ๆ มีแนวโน้มขรึม เก็บตัว ไม่สดใส

“ปัจจัยต่าง ๆ ทั้งกายภาพ สภาพแวดล้อม จิตใจ ล้วนเชื่อมโยงกัน การที่คนเรารู้สึกหม่นหมอง เนือย เหนื่อย เป็นเวลานาน ๆ และต่อเนื่อง ก็อาจส่งผลให้สารเคมีในสมองเกิดการเปลี่ยนแปลงลดทอนความสามารถในการรู้สึกอารมณ์เชิงบวกได้เหมือนกัน”

ภาวะสิ้นยินดีทางสังคมและทางกายภาพ  เป็นเช่นไร ผศ.ดร.กุลยา อธิบายว่า มักจะเกิดกับผู้มีปัญหาในการปฏิสัมพันธ์กับผู้คนไม่ว่าจะเป็นคนใกล้ชิดหรือคนอื่น ๆ ในสังคม“พวกเขาจะไม่สามารถตอบรับความรู้สึกด้านบวกได้ ไม่ว่าความสุข ความสนุกสนานเพลิดเพลิน ยกตัวอย่าง เพื่อน ๆหัวเราะกันสนุกสนาน แต่คนที่มีภาวะสิ้นยินดี จะไม่สามารถรู้สึกสนุกหรือหัวเราะกับคนอื่น ๆ ได้ซึ่งจะกระทบกับการเข้ากลุ่มและความสัมพันธ์กับเพื่อน ๆ นานวันเข้าก็อาจส่งผลต่อบุคลิกภาพและความสัมพันธ์กับคนอื่น

ภาวะสิ้นยินดีแสดงออกได้ 2 ลักษณะหลัก ๆ คือ 1. ภาวะสิ้นยินดีทางสังคม (Social anhedonia) คนกลุ่มนี้จะไม่รู้สึกอยากใช้เวลาร่วมกับครอบครัวคนใกล้ชิด เพื่อนฝูง คนรอบข้าง และผู้คนอื่น ๆ ในสังคม 2. ภาวะสิ้นยินดีทางกายภาพ (Physical anhedonia)ผู้ที่มีภาวะนี้จะมีการรับรู้ความรู้สึกทางกายเปลี่ยนไป หากเป็นเรื่องเพศสัมพันธ์ก็จะเหมือนหมดความรู้สึก จนคล้ายคนหมดสมรรถภาพทางเพศได้ นอกจากนี้ อาจจะไม่สนุกกับกิจกรรมที่เคยทำเหมือนก่อน อาหารที่เคยชอบก็ไม่ชื่นชอบอีกต่อไปไม่รู้สึกสนุกสนานร่าเริงและมีแนวโน้มที่จะมีอารมณ์ทางลบมากขึ้นได้

“ผู้ที่มีภาวะสิ้นยินดีทั้ง 2 แบบ จะไม่มีแรงจูงใจในการเชื่อมความสัมพันธ์กับคนอื่น ๆไม่อยากใช้เวลาหรือมีส่วนร่วมกับผู้อื่น หรืออาจจะมีอาการของโรคกลัวการเข้าสังคม (Social AnxietyD isorder) รู้สึกว่าตัวเองไม่เข้าพวกกับคนอื่น หวาดกลัว วิตกกังวลโดยเฉพาะอย่างยิ่งเมื่อต้องพบเจอรู้จักคนใหม่และสถานที่ใหม่ คนกลุ่มนี้จะเริ่มหายหน้าหายตา ปฎิเสธคำชวนไปร่วมกิจกรรมทางสังคมเริ่มมีชั่วโมงในการอยากอยู่คนเดียวนานขึ้นและถี่ขึ้นเรื่อย ๆ”ผศ.ดร.กุลยากล่าว

ภาวะสิ้นยินดี กับ ภาวะความด้านชาทางความรู้สึก  (Emotional numbness) เป็นเรื่องไม่เหมือนกัน สักทีเดียว ผศ.ดร.กุลยา แจกแจงว่า ภาวะความด้านชาทางความรู้สึก จะคล้ายกับการฉีดยาชา ไม่มีความรู้สึกใด ๆไม่ว่าอารมณ์ทางบวกหรือทางลบ เฉย เนือย ไร้อารมณ์กับทุกสิ่ง เหมือนไม่สุขไม่ทุกข์ภาวะนี้มักมาจากการที่คน ๆ นั้นมีประสบการณ์ทางลบด้านความรู้สึก จึงพยายามหลีกเลี่ยงอารมณ์ทางลบกลายเป็นไม่รับรู้ความรู้สึกอะไรเลย เฉยชาด้านอารมณ์ทั้งหมด

ส่วนภาวะสิ้นยินดีเป็นภาวะที่ไม่มีความรู้สึกทางบวก แต่ยังคงรับรู้และแสดงความรู้สึกเชิงลบได้อยู่“ผู้ที้มีภาวะสิ้นยินดีจะไม่รู้สึกถึงอารมณ์ในเชิงบวกเลย ไม่มีความรู้สึกอิ่มเอิบใจ ปลื้มใจ ไม่หัวเราะอาจดูเหมือนรู้สึกเฉย ๆ เหมือนภาวะด้านชา แต่ยังสามารถรับรู้และแสดงความรู้สึกเชิงลบได้ เช่น ความไม่สบายใจ ความกังวล กลัว เบื่อ ซึ่งอาการเหล่านี้ดูคล้ายและเกือบเป็นภาวะซึมเศร้าเลยทีเดียว

สิ้นยินดีนาน ๆ อาจทำซึมเศร้าหนักขึ้น   ผศ.ดร.กุลยา เผยว่าร้อยละ 60 ของผู้ที่มีภาวะสิ้นยินดีมีความเสี่ยงที่จะเป็นโรคซึมเศร้าได้มากขึ้น เพราะทั้งสองภาวะมีมีความเหมือนกันอยู่ 2 เรื่อง คืออารมณ์ความรู้สึกทางลบ และสิ่งที่เคยทำให้รู้สึกชื่นชอบสบายใจ ไม่ได้ทำให้มีความสุขอีกต่อไป

“เวลาเป็นซึมเศร้า ใจจะดิ่ง อารมณ์ลบจะเยอะ พยายามทำสิ่งต่าง ๆ เพื่อดึงความรู้สึกให้ดีขึ้น ไม่ว่าดูหนังฟังเพลง เล่นกับน้องแมวที่บ้าน ก็อาจจะยังไม่ดีขึ้น ซึ่งถ้าเรามีภาวะซึมเศร้าต่อเนื่องนาน ๆก็จะเกิดภาวะสิ้นยินดีได้  หรืออีกทาง หากมีภาวะสิ้นยินดีบ่อย ๆ เราก็จะหมดความรู้สึกสนใจหรือพึงพอใจในการทำสิ่งที่ชื่นชอบดึงอารมณ์เชิงบวกได้ยากหรือไม่ได้ จนในที่สุดก็จะเหลืออารมณ์เชิงลบอย่างเดียว นำไปสู่ภาวะซึมเศร้าได้” ผศ.ดร.กุลยา กล่าว

สังเกตสัญญาณ “ภาวะสิ้นยินดี”  แต่ละคนจะมีสิ่งที่อาจเรียกได้ว่าเป็น “คู่มือความสุขเฉพาะตน” คือความรู้ตัวว่าทำอะไรไปที่ไหน เจอใคร แล้วจะมีความสุข สนุก พอใจ อารมณ์ดีขึ้น เมื่อเวลามีอารมณ์ลบ เราก็จะไป ทำหรือพบกับสิ่งที่เราชอบ เพื่อจะทำให้ตัวเองรู้สึกดีขึ้นได้ แต่หากสิ่งที่เราเคยทำแล้วมีความสุข ไม่อาจทำให้เกิดความรู้สึกดีได้อีก นั่นอาจเป็นสัญญาณที่ชวนให้เราเริ่มถามตัวเองว่า

“ตัวเรามีภาวะสิ้นยินดีแล้วหรือเปล่า” เป็นเรื่องที่หลายคนอาจสงสัยตัวเอง ซึ่ง ผศ.ดร.กุลยา แนะข้อสังเกตเบื้องต้น 3 เรื่อง ได้แก่  1. สังเกตความรู้สึก – “เวลาที่ทำกิจกรรมที่ชอบ ยังรู้สึกชอบ สนุกหรือมีความสุขอยู่ไหม”  ถ้าเราอ่านหนังสือ ฟังเพลง หรือสิ่งที่เราเคยชอบทำ แล้วไม่รู้สึกสนุกหรือชอบเหมือนเดิม ก็อาจเป็นสัญญาณของภาวะสิ้นยินดีได้ แต่ก็ไม่เสมอไป  เราอาจจะต้องสังเกตต่อไปว่าอารมณ์ความรู้สึกทางบวกในเรื่องอื่น ๆ หรือช่วงอื่น ๆ มีน้อยลงด้วยหรือไม่

2. สังเกตความคิด – “ความคิดของเราเป็นเชิงลบ หม่นหมองหรือไม่ เราได้พยายามปรับมุมมองให้เป็นบวกมากขึ้นแล้วหรือยัง ปรับมุมมองให้บวกได้สำเร็จหรือไม่” ถ้าเรามีความรู้สึกเชิงบวก เราจะมองคนในเชิงบวก อยากสร้างสัมพันธ์กับผู้คน แต่ถ้าเราตกอยู่ในภาวะสิ้นยินดี เราจะรู้สึกว่าโลกไม่น่าอยู่ ไม่อยากสร้างความสัมพันธ์ใหม่ ๆหรือไม่รู้สึกกระตือรือร้นที่จะรักษาความสัมพันธ์ที่มีอยู่แล้ว

3. สังเกตร่างกาย – “รู้สึกเหนื่อยจากการทำงานหรือกิจกรรมต่าง ๆ มากกว่าปกติหรือไม่ ตื่นมาแล้วรู้สึกไม่แจ่มใส รู้สึกล้า หมดแรงหรือเปล่า”  สมรรถภาพทางกายและสมรรถภาพทางเพศเป็นเกณฑ์ประเมินภาวะสิ้นยินดีได้เหมือนกัน แต่ไม่ใช่กับทุกกรณี  สิ่งที่เราพอสังเกตได้คือร่างกายของเรายังแข็งแรงเป็นปกติดีไหม ออกกำลังกายได้เท่าเดิมหรือเปล่ามีความเปลี่ยนแปลงด้านสมรรถภาพทางเพศหรือไม่ ที่สำคัญ เวลาที่รู้สึกอ่อนล้า เหนื่อย ถ้าได้พักผ่อน นอนแล้ว ร่างกายกลับมากระชุ่มกระชวย อารมณ์ดีสดใสขึ้น แต่ถ้านอนพักแล้ว ยังรู้สึกอ่อนเพลีย เหนื่อย ล้า หมดแรงที่จะทำอะไร ก็อาจเป็นสัญญาณภาวะสิ้นยินดีได้

วิธีรับมือ “ภาวะสิ้นยินดี” หากเราสังเกตเห็นอาการเบื้องต้นของภาวะสิ้นยินดีแล้ว เราต้องรีบปรับอารมณ์เสียตั้งแต่เนิ่น ๆเพื่อให้พลังบวกกลับมาในชีวิตให้เร็วที่สุด ผศ.ดร.กุลยา แนะวิธีการรับมือกับภาวะสิ้นยินดี ดังนี้

เติมพลังบวก ซึ่งทำได้หลายรูปแบบ โดยอาจเริ่มจากลงมือทำในสิ่งที่เคยชอบ ฝึกเติมพลังบวกเรื่อย ๆทีละเล็กทีละน้อย เพิ่มอารมณ์บวกบ่อย ๆ เพื่อกันอารมณ์ลบให้ไปห่าง ๆ

หมั่นสังเกตและรับรู้อารมณ์ตามที่เป็น ไม่ว่าจะอารมณ์ด้านลบหรือบวก   โอบกอดตัวเองและหมั่นเติมความรักให้ตัวเอง  ฝึกใจ ปรับโฟกัส ให้ชื่นชมกับการกระทำและความสำเร็จเล็ก ๆ ในชีวิต ยังไม่ต้องทำกิจกรรมที่ต้องลงแรงมาก ให้เริ่มจากทำสิ่งเล็ก ๆ อย่างค่อยเป็นค่อยไป และปล่อยให้ตัวเองมีความสุขระหว่างทำกิจกรรม สุดท้าย ปรึกษานักจิตวิทยาและจิตแพทย์เพื่อรับคำปรึกษาและการรักษา

“เวลาที่เป็นภาวะสิ้นยินดี เรามักจะเก็บตัวอยู่ในห้องอยากอยู่คนเดียว ดังนั้น เราควรจะออกไปข้างนอกบ้าง ให้ร่างกายได้เจอแสงแดด ได้รับแสงสว่างบ้างลองทำอะไรเล็ก ๆ น้อยๆ แล้วสังเกตว่าอะไรที่ช่วยดึงใจเราให้ดีขึ้นได้บ้าง สิ่งที่ช่วยให้เรารู้สึกดีกับตัวเองเท่านี้ก็ดีพอแล้ว”ผศ.ดร.กุลยาสรุป

สนใจปรึกษาปัญหาสุขภาพจิต ได้ที่ศูนย์สุขภาวะทางจิต (The Center for Psychological Wellness) คณะจิตวิทยา จุฬาลงกรณ์มหาวิทยาลัย ณ ชั้น 5 อาคารบรมราชชนนีศรีศตพรรษ จุฬาลงกรณ์มหาวิทยาลัย หรือ สามารถสอบถามผ่านทางช่องทางออนไลน์ได้ที่ โทรศัพท์ 06-1736-2859   Email: [email protected]
Facebook: https://www.facebook.com/WellnessPsyCU

เพิ่มเพื่อน

ข่าวที่เกี่ยวข้อง

จุฬาฯ จับมือกรม Climate Change และเครือข่ายพันธมิตรภาคเอกชน เปิดตัวหลักสูตร “TOP Green” หลักสูตรผู้บริหารระดับสูงด้าน Sustainability

จุฬาลงกรณ์มหาวิทยาลัย ร่วมกับกรมการเปลี่ยนแปลงสภาพภูมิอากาศและสิ่งแวดล้อม หอการค้าไทย และสภาหอการค้าไทย สภาอุตสาหกรรมแห่งประเทศไทย ตลาดหลักทรัพย์แห่งประเทศไทย และ UN Global Compact Network Thailand

จุฬาฯ “เปิดแพลตฟอร์ม ฝ่าพิบัติ: Digital War Room” นวัตกรรมเตือนพื้นที่น้ำท่วมและแนวดินถล่มจากอุทกภัย

จุฬาลงกรณ์มหาวิทยาลัยจัดงานเสวนาวิชาการ Chula the Impact ครั้งที่ 25 เรื่อง “แพลตฟอร์มจุฬาฯ ฝ่าพิบัติ: Digital War Room” เพื่อนำเสนอนวัตกรรมจากคณาจารย์นักวิจัยจุฬาฯ

จุฬาฯ อันดับ 1 มหาวิทยาลัยไทย Top ของประเทศ 3 ด้าน จากการจัดอันดับโดย THE WUR 2025

จุฬาลงกรณ์มหาวิทยาลัยได้รับการจัดอันดับให้เป็นมหาวิทยาลัยอันดับ 1 ของไทย จากการจัดอันดับมหาวิทยาลัยที่ดีที่สุดในโลกโดย The Times Higher Education World University Rankings 2025 (THE WUR 2025) จากมหาวิทยาลัยต่าง ๆ ทั่วโลกที่ได้รับการจัดอันดับกว่า 2,000 แห่ง กว่า 115 ประเทศ