![](https://storage-wp.thaipost.net/2023/09/Z6J_9554.jpg)
ต้องยอมรับว่า “ล้ง” หรือผู้ประกอบการรายใหญ่ที่รับซื้อผลไม้ในไทย อันหมายถึงผลไม้พวก ทุเรียน มังคุด ลองกอง ที่ส่งออก เจ้าของกิจการมักจะเป็นของคนจีน หรือเป็นคนไทยส่วนน้อย แต่”ล้ง”ที่เป็นวิสาหกิจชุมชน ซึ่งเกิดจากการรวมตัวของชาวบ้าน ไม่ใช่ของใครคนใดคนหนึ่ง โดยเฉพาะถ้าเป็นธุรกิจส่งออกทุเรียนไปจีน ถือว่าน้อยมากหรีอแทบไม่มีเลยก็ว่าได้ แต่สำหรับที่บ้านบาดูปูเต๊ะ อ.ธารโต จ.ยะลา ถือว่าเป็นกรณีตัวอย่าง เป็นปรากฎการณ์ เพราะชาวบ้านลุกขึ้นมารวมตัวกันทำ”ล้ง”ในรูปแบบวิสาหกิจชุมชน ที่ชื่อว่า”วิสาหกิจชุมชนพัฒนาคุณภาพทุเรียนบ้านบาดูปูเต๊ะ” ขับเคลื่อนธุรกิจส่งออกทุเรียนที่มีผลลัพธ์น่าพอใจ พลิกสถานการณ์ทุเรียนชายแดนใต้ ชาวบ้านลืมตาอ้าปากได้เต็มที่
แต่กว่าจะเกิดเป็นวิสาหกิจชุมชนแห่งนี้ได้ ส่วนหนึ่งเป็นผลงานการเข้าไปช่วยเหลือผลักดัน จากหน่วยบริหารและจัดการทุนด้านการพัฒนาระดับพื้นที่ (บพท) หน่วยงานในสังกัด กระทรวงอุดมศึกษา วิทยาศาสตร์และนวัตกรรม (อว) ที่เข้าไปนำงานวิจัยมาช่วยเหลือเกษตรกรธารโต ที่ปลูกทุเรียนเป็นส่วนมาก
ก่อนหน้านี้ ในหน้าทุเรียนใต้ ผลผลิตออกสู่ตลาดประมาณเดือน ก.ค.-ก.ย. ซึ่งจะออกหลังจากทุเรียนภาคตะวันออก หมดฤดูไปแล้ว การส่งออกทุเรียนไปจีนในช่วงนี้จึงเป็นทุเรียนใต้เกือบทั้งหมด แต่ทุเรียนยะลาส่วนใหญ่ กลับไม่ได้ รับการยอมรับ เหมือนทุเรียนชุมพร ที่ส่งออกไปจีนเกือบทั้งหมด ปัญหาหลักของทุเรียนยะลาอยู่ที่ “หนอนรู” ที่เจาะชอนไชเข้าไปในลูกทำให้ไม่ผ่านมาตรฐานส่งออก ผลผลิตที่ได้มีเพียง 20% เท่านั้น ที่สามารถส่งไปล้งที่ชุมพรที่ถือว่าเป็นตลาดใหญ่ เพื่อส่งออกไปจีนได้ ที่เหลือขายในประเทศ นอกจากนี้ ผลผลิตของทุเรียนยะลายังน้อยกว่าทุเรียนจันทรบุรี ระยอง และตราดหลายเท่าตัว โดยผลิตได้ 200-300 กิโลกรัมต่อไร่ ขณะที่ สวนแถบภาคตะวันออก ผลิตได้ 2,000 กิโลกรัมต่อไร่
ปัญหาดังกล่าว ทำให้บพท.ได้ร่วมมือกับสภาเกษตรกร จ. ยะลา เพื่อช่วยเหลือเกษตรกร โดยนำงานวิจัยเข้าไปช่วย เริ่มตั้งแต่จากสำรวจ การเก็บข้อมูล สถิติ ก่อนสรุปปัญหาและหาทางออกให้กับเกษตรกร หลังผ่านไป 3 ปี ผลผลิตเกษตรกรเพิ่มขึ้นอย่างชัดเจน
![](https://storage-wp.thaipost.net/2023/09/Z6J_9625.jpg)
ดร.กิตติ สัจจาวัฒนา ผู้อำนวยการ บพท. กล่าวว่า บพท. ได้ใช้ชุดความรู้จากงานวิจัย ตลอดจนกระบวนการวิจัยที่สอดคล้องกับวิถีชีวิต และบริบทพื้นที่เข้าไปสนับสนุนให้เกิดการพัฒนาคุณภาพและสร้างมูลค่าเพิ่มแก่ทุเรียนในจังหวัดชายแดนใต้ ควบคู่ไปกับการเสริมพลังให้เกษตรกรชาวสวนทุเรียนรวมกลุ่มกันในลักษณะเครือข่ายเป็นวิสาหกิจชุมชน เชื่อมโยงกับกลไกรัฐ และกลไกธุรกิจ กระทั่งส่งผลให้ทุเรียนเป็นพืชเศรษฐกิจสำคัญของจังหวัดชายแดนใต้ โดยเฉพาะอย่างยิ่งที่จังหวัดยะลา ซึ่งเป็นพื้นที่ที่มีการปลูกทุเรียนมากที่สุดเมื่อเทียบกับจังหวัดชายแดนใต้อื่น
“ทุกวันนี้ชุดความรู้จากงานวิจัย เพื่อพัฒนาคุณภาพผลผลิตทุเรียน ซึ่ง บพท. ให้การสนับสนุน และพลังจากภาคีความร่วมมือหลายภาคส่วน โดยเฉพาะอย่างยิ่งศูนย์อำนวยการบริหารจังหวัดชายแดนใต้ (ศอ.บต.) และสภาเกษตร ทำให้เกษตรกรชาวสวนทุเรียน สามารถขายทุเรียนได้ราคาดีขึ้นมาก มีความมั่นคงทางอาชีพ”
ผู้อำนวยการ บพท. กล่าวต่อไปว่า ผลพลอยได้จากชุดความรู้ในการพัฒนาคุณภาพและผลผลิตทุเรียน มีส่วนอย่างสำคัญต่อการสร้างคุณภาพสิ่งแวดล้อมที่ดี เป็นการช่วยเสริมพลังแก่วิสาหกิจชุมชนชาวสวนทุเรียน โดยเฉพาะวิสาหกิจชุมชนพัฒนาคุณภาพทุเรียนบ้านบาตูปูเต๊ะ(ธารโต) ซึ่งผลจากการยกระดับการพัฒนาคุณภาพ ประสิทธิภาพ และเสริมขีดความสามารถแก่เกษตรกรในการเป็นผู้ประกอบการ เป็นการสร้างความเป็นธรรมและลดช่องว่างความเหลื่อมล้ำของการกระจายรายได้อย่างแท้จริง
“ตอนแรกที่บพท.เข้ามาในพื้นที่พบว่า ที่นี่มีเกษตรกรรายย่อยเยอะมาก ชาวบ้านไม่มีการจัดการสวน ทุเรียนมีปัญหาหนอนเยอะ ไม่มีล้งรับซื้อผลผลิต ที่เป็นของชาวบ้าน ชาวบ้านจึงถูกกดราคา เพราะคุณภาพส่วนใหญ่ยังไมได้ ซึ่งตอนแรกเราคิดที่จะช่วยเขาเรื่องตลาด คิดแค่ทำในรูปแบบของสหกรณ์ ไม่ได้คิดว่า จะต้องเป็นล้งใหญ่โต เหมือนที่เห็นทุกว้นนี้ “ดร.กิตติกล่าว
![](https://storage-wp.thaipost.net/2023/09/Z6J_9368.jpg)
งานวิจัยที่เข้าไปช่วย นายมะเสาสดี ไลสากา หัวหน้าสำนักงานสภาเกษตรกรจ.ยะบา กล่าวว่า การช่วยชาวสวนทุเรียนธารโต ถือว่าเป็นการใช้ประโยชน์จากงานวิจัย ผสมผสานกับหลักทางศาสนา ไปพัฒนาศักยภาพเกษตรกร ทำให้ทุเรียนมีคุณภาพดีขึ้น ขายได้ราคามาก ส่วนความรู้ในการพัฒนาทุเรียน ใช้ข้อมูลจากทั้งที่เก็บเอง เพื่อนำมาวางแผน และนำความรู้เรื่องการบริหารจัดการที่ดี ที่บพท.แนะนำมาให้ชาวบ้าน
“ที่สำคัญ การพัฒนายังนำมาประยุกต์เข้ากับหลักศาสนา 5 ประการ ได้แก่ 1.อามานะ คือ ความรับผิดชอบต่อโลกและเพื่อนมนุษย์ 2.ชูรอ คือ การปรึกษาหารือร่วมกัน 3.นาซีฮัต คือการตักเตือนซึ่งกันและกัน 4.มูฮาซาบะห์ คือการตรวจสอบติดตามประเมินผล 5.ญามาอะห์ คือ การร่วมหมู่ “
ประเด็นปัญหาคุณภาพทุเรียน ซึ่งมีการเข้าไปให้ความรู้ชาวบ้าน เรื่องการกำจัดหนอนรู ซึ่งทางบพท.และสภาเกษตรฯ ชี้ให้ชาวบ้านเห็นว่า ทำไมทุเรียนภาคตะวันออก แก้ปัญหาหนอนรูได้ แต่ทำไมทุเรียนยะลาทำไม่ได้ และการแก้ปัญหาหนอนต้องทำอย่างไร โดยเฉพาะการให้ยาฆ่าหนอน ต้องทำสม่ำเสมอ นอกจากนั้น ยังเป็นเรื่องการให้ปุ๋ย เพื่อบำรุงต้นและผลผลิต ซึ่งก่อนหน้านี้ ชาวบ้านไม่ได้สนใจเรื่องการทำนุบำรุงทุเรียน เพราะทุเรียนส่วนใหญ่ปลูกบนเชิงเขา การปลูกเป็นไปไนลักษณะปล่อยไว้ตามธรรมชาติ เหมือนให้เทวดาเลี้ยงผลผลิตจึงต่ำ
![](https://storage-wp.thaipost.net/2023/09/Z6J_9646.jpg)
แต่หลังจากแก้ปัญหาคุณภาพทุเรียนได้ ช่วงแรก ผลผลิตเพิ่มเป็น 470-500 กก./ไร่ ปัจจุบันเพิ่มเป็นประมาณ 1พันกว่ากก./ไร่ นอกจากนี้ เกษตรกรขายทุเรียนในราคาที่สูงขึ้นกว่าเดิม2-3เท่าตัว จากเดิม 50 บาท/กก. ก็เพิ่มมาเป็น 100-150บาท/กก.
อย่างที่กล่าวไว้แล้วว่า ชาวบ้านที่นี่ปลูกทุเรียนกระจัดกระจาย ไม่มีการรวมตัวกัน การจะให้ชาวบ้านเปลี่ยนวิถีดั้งเดิมทั้งการปลูกดูแลทุเรียน ไปสู่ระบบใหม่ที่เป็นไปตามหลักวิชา ไม่ใช่เรื่องง่าย ซึ่งทางการโครงการวิจัย ได้โน้มน้าวเกษตรกรปลูกทุเรียน 5ราย ให้หันมาปลูกดูแลทุเรียนตามหลักวิชาการ ซึ่งต่อมาสวนของเกษตรกรกลุ่มนี้มีผลผลิตมากขึ้น และสามารถแก้ปัญหาหนอนได้อย่างชัดเจน ต่อมา ทั้ง 5 คนดังกล่าวได้รวมตัวกันตั้ง “วิสาหกิจชุมชน”รับซื้อทุเรียน
จากจุดเริ่มต้นที่มีสมาชิกแค่ 5 คน ปัจจุบัน กลุ่มมีสมาชิกทั้งสิ้น 398 ราย ใน 11ชุมชน ละ20เครือข่าย ครอบคลุมพื้นที่ 4อำเภอ ในจ.ยะลา ได้แก่ ธารโต เบตง บันนังสตา กรงปินัง รามัน และอ.ศรีสาคร จ.นราธิวาส ซึ่งมีพื้นที่ปลูกรวมกัน 6,000 ไร่ ถือว่าในช่วงเวลาแค่5-6ปี กลุ่มวิสาหกิจแห่งนี้มีการเติบโตอย่างก้าวกระโดดในปี2563 สามารถส่งออกทุเรียนไปจีนได้ 27 ตู้คอนเทนเนอร์ มูลค่า300 ล้านบาท
อีกประเด็นที่ถือว่าวิสาหกิจฯแห่งนี้ มีความเป็นต้นแบบการพัฒนาตั้งแต่ต้นน้ำ กลางน้ำ ปลายน้ำ อย่างครบวงจร นั้นก็คือ การนำทุเรียนตกไซส์ ทุเรียนมีหนอนรู นำมาสร้างรายได้โดยการนำแกะและแช่แข็ง โดยมีการลงทุนสร้างห้องเย็นเอง ถือว่าเป็นกลุ่มเกษตรกรรายแรกที่เป็นเจ้าของห้องเย็น ส่งออกทุเรียนแช่แข็ง ไปประเทศจีน ซึ่งทางจีนจะนำไปแปรรูป กระบวนการดังกล่าวถือว่าเป็นการสร้างมูลค่าให้กับทุเรียนที่ส่งออกแบบเป็นลูกไม่ได้
ผลจากการเกิด”ล้งชุมชน” ที่มีเกษตรกรที่เป็นสมาชิกเป็นเจ้าของ ทำให้เกษตรกรผู้ปลุกทุเรียนของที่นี่มีรายได้เพิ่มขึ้นอย่างชัดเจน โดยก่อนหน้านี้ 1ใน 5 รายแรกที่บุกเบิกตั้งล้งในชุมชน เคยขายทุเรียนได้ปีละ 2แสนบาท เพราะปลูกแบบไม่ได้ดูแลจริงจัง แต่หลังจากนำความรู้ไปใช้ ผลผลิตเพิ่มขึ้นเรื่อยๆ ปัญหาหนอนรูน้อยลง ปีที่2 จึงขายได้ 1 ล้านบาท ปีนี้ขายได้ 1.2ล้านบาท สามารถออกรถใหม่ได้คันหนึ่งเลย
ทั้งนี้ คาดว่า ในปี 2566 เกษตรกรในกลุ่มจะมีผลผลิต 5พันตัน มูลค่า 750 ล้านบาท เพิ่มจากปี 2565 ถึง43% และวางแผนที่จะขยายจำนวนสมาชิกเพิ่มขึ้นอีก คิดเป็นพื้นที่ 4,000 ไร่ ในปี 2570 ส่วนการพัฒนาทุเรียนของบ้านบาตูปูเต๊ะ ยังไม่หยุดเท่านี้ เพราะที่นี่มี”ทุเรียนสะเด็ดน้ำ”ที่ถือว่าเป็นสินค้า GI ของจ.ยะลา ที่สามารถทำราคา และเป็นที่ต้องการของตลาดได้อีก
![](https://storage-wp.thaipost.net/2023/09/Z6J_9278.jpg)
ข่าวที่เกี่ยวข้อง
กัญชาเลิกยาบ้า! ผลวิจัย 2 ประเทศใช้กัญชาเลิกยาเสพติดรุนแรง
“ปานเทพ” ชี้ชัดผลวิจัย 2 ประเทศระดับโลก แคนาดา – สหรัฐฯ นำกัญชาใช้เลิกยาเสพติดรุนแรงได้ ชี้ต้องมองให้เป็นยุทธศาสตร์ ที่จะนำมาใช้เพื่อลดปัญหา
อากาศร้อนพ่นพิษ สวนทุเรียนที่บุรีรัมย์ แตกร่วงหล่นเสียหายนับร้อยลูก
นางทองใส ที่รัก เกษตรกรผู้ปลูกทุเรียนบ้านหนองตะไก้ หมู่ที่ 8 ต.ดงอีจาน อ.โนนสุวรรณ จ.บุรีรัมย์ ซึ่งได้ทำเกษตรแบบผสมผสาน และได้ปลูกทุเรียนไว้บริเวณสวนข้างบ้านพักกว่า 20 ต้น ในเนื้อที่ประมาณ 1 ไร่ ได้เดินเก็บลูกทุเรียน ที่ปริแตก และร่วงหล่น
ชุมพรผุดศูนย์ปฏิบัติการฝนหลวง ช่วยวิกฤตภัยแล้ง
ชุมพรขอประสานปฎิบัติการฝนหลวงภาคใต้ ตั้งศูนย์ช่วยเหลือประชาชน เกษตรกรในพื้นที่ หลังประสบภัยแล้งอากาศร้อนจัด
สลด! เจ้าของสวนทุเรียน ขับรถบรรทุกน้ำ 2 พันลิตร เสียหลักตกเหวดับอนาถ
พ.ต.ท.สมชาย บุญเกิด สว. (สอบสวน) สภ.นาสัก ได้รับแจ้งมีรถยนต์กระบะบรรทุกแท็งก์น้ำพลาสติกขนาด 2 พันลิตร เสียหลักพลิกคว่ำตกเขา