ไหมไทยเป็นวัตถุดิบทางการเกษตรที่สำคัญ และมีสมบัติที่ดีเหมาะสมสาหรับการนำมาใช้ทางการแพทย์ ทำให้คณะวิศวกรรมศาสตร์ จุฬาลงกรณ์มหาวิทยาลัย จึงดำเนินการวิจัย เพื่อคิดค้นนวัตกรรมทางการแพทย์ด้วยการประยุกต์ใช้เทคโนโลยีวิศวกรรมกับโปรตีนไหมไทย จนเกิดเป็นนวัตกรรมทางการแพทย์ด้านวิศวกรรมเนื้อเยื่อและระบบนำส่งยา ของการรักษาโรคมะเร็ง โรคข้อเสื่อม การผลิตหลอดเลือดเทียม เส้นประสาทเทียม ท่อน้ำตาเทียม การพิมพ์เนื้อเยื่อสามมิติ การทาเปลือกตาเทียม ทาแผ่นปิดแผลนำส่งยา การทาผิวหนังเทียม และกระดูกเทียม
ทีมวิจัยนวัตกรรมทางการแพทย์จากไหมไทยนี้นำโดย ศ.ดร.ศิริพร ดำรงค์ศักดิ์กุล และ รศ. ดร.โศรดา กนกพานนท์ จากคณะวิศวกรรมศาสตร์ จุฬาลงกรณ์มหาวิทยาลัย ซึ่งได้ดำเนินงานวิจัยนวัตกรรมทางการแพทย์จากไหมไทยมาอย่างต่อเนื่อง จนประสบความสำเร็จสามารถนำมาใช้เป็นนวัตกรรมทางการแพทย์ในการรักษาโรคมะเร็งและโรคอื่นๆ ได้
ปัจจุบันคณะผู้วิจัยสามารถพัฒนาระบบนำส่งยาและสารสำคัญ รวมถึงวิศวกรรมเนื้อเยื่อจาก”ชีววัสดุไฟโบรอิน” ที่สกัดจากรังไหมไทยในรูปแบบต่าง ๆ ทั้งไฮโดรเจลโครงสร้างสามมิติ แผ่นแปะอนุภาคขนาดไมครอน เส้นใยขนาดนาโน เป็นต้น เพื่อประยุกต์ใช้ในทางการแพทย์โดยเฉพาะระบบนำส่งยา หรือสารออกฤทธิ์เพื่อรักษาโรคต่างๆ อาทิ โรคมะเร็ง ข้อเสื่อม เบาหวาน และวิศวกรรมเนื้อเยื่อต่างๆ อาทิ ผิวหนัง กระดูก หลอดเลือด เป็นต้น ซึ่งจากผลการศึกษาวิจัยด้านความปลอดภัย ทำให้ผู้วิจัยมั่นใจว่า จะสามารถนำเทคโนโลยีไฟโบรอินไหมมาประยุกต์ใช้งานได้จริงในทางการแพทย์ เนื่องจากไฟโบรอินไหม มีสมบัติเด่นในด้านความเข้ากันได้ทางชีวภาพ (Biocompatibility) มีปฏิกิริยาต่อต้านจากภูมิคุ้มกันของร่างกายต่ำ (low-immunogenicity) สามารถย่อยสลายได้ในร่างกาย (Biodegradability) และสามารถปรับเปลี่ยนอัตราการย่อยสลายและการปลดปล่อยยาที่บรรจุได้
นอกจากนั้น ไหมไทย ยังสามารถนำมาผลิตเป็นครีมไฮโดรเจลจากสารสกัดไหมไทยผสมยาปฏิชีวนะ ใช้สำหรับทาแผลทั่วไป และแผลกดทับ เพื่อช่วยรักษาความชุ่มชื้นในแผล ช่วยส่งเสริมขบวนการหายของแผล และกำจัดเชื้อแบคทีเรีย โดยไฮโดรเจลจากสารสกัดไหมไทย จะช่วยปลดปล่อยยาออกมาในปริมาณที่เหมาะสม และลดความถี่ของการใช้ยาปฏิชีวนะได้ รวมถึงการพัฒนาไฮโดรเจลแบบฉีดได้ ซึ่งเตรียมจากสารสกัดไหมไทยผสมยาสเตียรอยด์ที่เป็นยาทั่วไปที่ใช้ในการรักษาโรคข้อเข่าเสื่อม โดยจะช่วยลดความเจ็บปวดและอาการบวมจากการเสียดสีกันของข้อเข่าที่เสื่อมและต้านการอักเสบ ไฮโดรเจลจากสารสกัดไหมไทยสามารถช่วยปกป้องตัวยาไม่ให้เสื่อมสลาย และช่วยชะลอการปลดปล่อยของตัวยาให้ออกมาในปริมาณที่เหมาะสม แต่เนิ่นนานขึ้น ส่งเสริมให้ตัวยายังคงมีประสิทธิภาพในการรักษานานขึ้น และลดความถี่ของการฉีดยาสเตียรอยด์ได้
ไหมไทยยังสามารถต่อยอด ผลิตเป็นแผ่นแปะช่วยผ่อนคลาย แผ่นไฮโดรเจลนวัตกรรมใหม่ ที่มีไฟโบรอินจากไหมไทยที่ประสิทธิภาพในการช่วยชะลอการปลดปล่อย cannabidiol (CBD) อย่างช้าๆ ซึ่งจะช่วยผ่อนคลาย ลดความเครียด ช่วยให้นอนหลับง่าย และช่วยให้การนอนหลับลึกขึ้น โดยมีผลการทดสอบทางวิทยาศาสตร์รองรับ รวมถึงผ่านการทดสอบทางผิวหนัง และการผลิตอยู่ภายใต้มาตรฐาน GMP
จากความสำเร็จดังกล่าว จุฬาลงกรณ์มหาวิทยาลัย โดย คณะวิศวกรรมศาสตร์ จึงได้ลงนามบันทึกข้อตกลงความร่วมมือทาง วิชาการ (MOU) กับกรมหม่อนไหม กระทรวงเกษตรและสหกรณ์ ในการประยุกต์ใช้เทคโนโลยีวิศวกรรมกับ โปรตีนไหมไทย เพื่อพัฒนานวัตกรรมทางการแพทย์ด้านวิศวกรรมเนื้อเยื่อและระบบนาส่งยา ซึ่งความร่วมมือของจุฬาลงกรณ์มหาวิทยาลัย และกรมหม่อนไหม เป็นโครงการที่ได้ร่วมมือกันมา 17 ปี และที่ผ่านมา จุฬาลงกรณ์มหาวิทยาลัยได้รับความร่วมมือจากศูนย์หม่อนไหมเฉลิมพระเกียรติ โคราช ที่ สนับสนุนด้านองค์ความรู้ มาโดยตลอด ทาให้สามารถผลิตผลงานวิจัยเรื่องการประยุกต์ใช้ไหมไทยในงานทาง การแพทย์เป็นจานวนมาก
ศาสตราจารย์ ดร.บัณฑิต เอื้ออาภรณ์ อธิการบดีจุฬาลงกรณ์มหาวิทยาลัย กล่าวว่า ถือเป็นความภูมิใจและความสาเร็จที่ คณะวิศวกรรมศาสตร์ ได้ทาการวิจัยค้นคว้า เป็นผลสัมฤทธิ์ที่เป็นที่ประจักษ์ สามารถนำงานวิจัยมาพัฒนาเพื่อการสร้างศักยภาพให้กับเกษตรกร ได้มีความรู้ ความสามารถ และยกระดับมาตรฐานในอาชีพเกษตรกรผู้เลี้ยงหม่อนไหมได้อย่างดียิ่ง ทั้งยังเป็นการสร้างนวัตกรรมให้กับทาง การแพทย์ ให้มีศักยภาพในการรักษาผู้ป่วยได้อย่างทั่วถึงด้วยผลิตภัณฑ์ที่ได้มาตรฐานสากล สร้างมูลค่าเพิ่ม ด้วยงานวิจัยที่เป็นคุณประโยชน์ต่อประเทศชาติ
ความร่วมมือในโครงการ “ไหมไทย” จากอุตสาหกรรมสิ่งทอสู่นวัตกรรมเพื่อการแพทย์นี้ ดำเนินการ โดย บริษัท เอนจินไลฟ์ จากัด (EngineLife) ซึ่งเป็นบริษัทที่อยู่ภายใต้การบ่มเพาะของ CU Engineering Enterprise ของคณะวิศวกรรมศาสตร์ จุฬาลงกรณ์มหาวิทยาลัย และได้รับการสนับสนุนการดาเนินงานจาก CU Innovation Hub ของจุฬาลงกรณ์มหาวิทยาลัย.
ข่าวที่เกี่ยวข้อง
งามจับใจ 'ดาว พอฤทัย' สวยสง่าด้วยชุดไหมไทย จ.ลำพูน
ผ้าไหมไทยนับเป็นคุณค่าทางด้านแฟชั่นไทยที่ล้ำค่า ทั้งทางวัฒนธรรมและยังสามารถนำมาประยุกต์ตัดเย็บเพื่อให้เข้ากับยุคสมัยใหม่ได้อย่างสวยงามลงตัว ด้วยความประณีตในทุกขั้นตอนการทอ และลวดลายต่างๆ บวกกับการออกแบบ การตัดเย็บโดยช่างยอดฝีมือสมัยใหม่ ทำให้ชุดผ้าไหมไทยสามารถเสริมความสง่างามให้กับผู้ที่สวมใส่ได้อย่างงดงามแบบร่วมสมัยอีกด้วย