7 มี.ค.2566-จากการเสวนา หัวข้อ “นโยบายแบบไหน เปลี่ยนการศึกษาไทยได้จริง” ที่จัดขึ้นโดยภาคีเครือข่ายเพื่อการศึกษาไทย หรือ Thailand Education Partnership (TEP) โดยเชิญตัวแทนจากพรรคการเมืองต่างๆมาขึ้นเวที เพื่อบอกกล่าวนโยบายการศึกษาของแต่ละพรรค พร้อมกับแสดงวิสัยทัศน์เกี่ยวกับการพัฒนาการศึกษาไทย ว่าควรไปในทิศทางใด
โดยก่อนหน้านี้ ทาง ภาคีเครือข่ายเพื่อการศึกษาไทย โดยดร.สมเกียรติ ตั้งกิจวาณิชย์ ประธานสถาบันเพื่อการพัฒนาประเทศไทย หรือ ทีดีอาร์ไอ ได้เปิดสมุดปกขาว ที่เป็นข้อเสนอ 5 ช้อ ให้พรรคการเมืองที่จะมาเป็นรัฐบาสมัยหน้า นำไปพิจารณา ก่อนประกาศเป็นนโยบายการศึกษาของพรรคต่อไป ข้อเสนอ 5ข้อ ได้แก่
1.ควรเร่งปรับให้มีหลักสูตรแกนกลางใหม่ภายใน 3 ปี โดยออกแบบให้เป็นหลักสูตรที่อิงกับฐานสมรรถนะ 2. กำหนดนโยบายให้กระทรวงศึกษาธิการมีเป้าหมายและแผนการบริหารจัดการโรงเรียนขนาดเล็กที่ชัดเจน 3. กำหนดนโยบายให้กระทรวงศึกษาธิการ และประสานหน่วยงานต้นสังกัดสถานศึกษาอื่น ให้ทบทวนและยกเลิกโครงการ ที่ม่ตอบโจทย์การเรียนรู้ของนักเรียนในหลักสูตรใหม่ให้แล้วเสร็จภายใน 1 ปี 4. ประกาศนโยบายไม่ยอมรับความรุนแรงในสถานศึกษาและ 5. สร้างตัวอย่างให้ผู้บริหารของกระทรวงศึกษาธิการมีวัฒนธรรมแบบใหม่ในการทำงานที่เปิดกว้างในการรับฟังความเห็น กล้าทดลองสิ่งใหม่
ในการแสดงความเห็นแต่ละพรรคการเมือง พริษฐ์ วัชรสินธุ ผู้จัดการการรณรงค์นโยบาย พรรคก้าวไกล กล่าวว่า พรรคฯได้กำหนดนโยบายด้านการศึกษา และประกาศไปเมื่อ 14 ม.ค.66 ภาพรวมทั้ง 5 ข้อเห็นตรงกันในหลายส่วน ในส่วนของหลักสูตร ทางพรรคขอยืนยันว่ามีความเห็นตรงกันในการมีหลักสูตรใหม่ ที่เน้นทักษะใช้ได้จริง เน้นฐานสมรรถนะ และจะทำให้หลักสูตรใหม่เสร็จภายใน 1 ปี หากพรรคได้เป็นรัฐบาล หลักฐานที่ปรากฎชัดเจนที่สุดว่าเมืองไทยจะต้องมีการปฏิรูปหลักสูตร คือ สถิติที่บ่งบอกว่าเด็กไทยเรียนหนักเป็นอันดับต้นๆของโลก แต่ในปัจจุบันกลับมีทักษะที่ตามหลังหลายๆประเทศ โดยด้านวิทยาศาตร์และคณิตศาสตร์อยู่ในอันดับที่ 50 กว่า จาก 78 ประเทศทั่วโลก ด้านการอ่านอยู่ในอันดับที่ 50 กว่า จาก 79 ประเทศทั่วโลก และด้านการสื่อสารภาษาอังกฤษ อันดับที่ 97 จาก 100 ประเทศทั่วโลก เพราะฉะนั้นปัญหาปัจจุบันที่เด็กไม่มีทักษะที่แข่งกับนานาชาติได้ ไม่ใช่เพราะเด็กไทยไม่ขยันแต่ระบบและหลักสูตรไม่สามารถแปรความขยันของนักเรียนออกเป็นทักษะที่แข่งกับนานาชาติได้
ถามว่าในหลักสูตรใหม่ ถ้ามีการวางเป้าหมายตรงกัน ในเรื่องของทักษะที่ใช้ได้จริง เช่น การประกอบอาชีพ หรือการใช้ชีวิต สรุปองค์ประกอบได้ 6 ข้อ ได้ 2ปรับ 2ลด 2เพิ่ม คือ ปรับที่ 1 คือ ปรับวิชาและเป้าหมายของวิชาที่มีอยู่ ปรับที่ 2 คือ ปรับวิธีการสอน เปลี่ยนบทบาทครูจากหน้าห้อง มาอยู่หลังห้อง โดยมีกิจกรรมแลกเปลี่ยนความคิดเห็น วิเคราะห์ ที่ช่วยบ่มเพาะทักษะในโลกอนาคต ทำงานเป็นทีม หรือการรับมือกับสภาวะทางอารมณ์ต่างๆ ส่วนลดที่ 1 คือ ลดจำนวนชั่วโมง ตามหลักสากลอยู่ที่ 800-1,000 ชั่วโมง เพราะปัจจุบันเด็กไทยเรียนหนักมากถึง 1,200 ชั่วโมงต่อปี ลดที่ 2 คือ ลดการบ้านและการสอบแข่งขัน ที่เป็นตัวเพิ่มปัญหาเรื่องความเครียด และภาวะทางสุขภาพจิตให้แก่เยาวชน ส่วนเพิ่มที่ 1 คือ เพิ่มเสรีภาพทางการเรียนรู้ ให้นักเรียนมีอิสระภาพเลือกเรียนวิชาที่สนใจ ลดวิชาบังคับเพิ่มวิชาทางเลือก และเพิ่มที่ 2 คือ เพิ่มการตรวจสอบ ให้เนื้อหาเรียนสอดคล้องกับข้อสอบได้
“ทั้งนี้อยากให้มองไกลไปอีกคือการส่งเสริมการเรียนรู้นอกห้องเรียน โดยทางพรรคจะมีนโยบายคูปองเปิดโลก 1,200 บาทต่อปี ให้เด็กนำไปใช้ในการเรียนรู้นอกห้องเรียน มองไกลคือ หลักสูตรต้องมีความยืดหยุ่นสามารถปรับได้ตามกาลเปลี่ยนแปลงของโลก และเกิดการทบทวนอย่างสม่ำเสมอ “นายพริษฐ์กล่าว
ตัวแทนพรรคก้าวไกล ยังเสนอการป้องกันการละเมิดสิทธิเสรีภาพและการใช้ความรุนแรงจากสถานศึกษา โดยมีหัวใจสำคัญคือ ต้องทำให้โรงเรียนเป็นพื้นที่ปลอดภัยและไร้อำนาจนิยม เพระความรู้สึกปลอดภัยของนักเรียนในโรงเรียน ส่งผลโดยตรงต่อผลสัมฤทธิ์ทางการศึกษา แบ่งเป็น 2 มิติ คือ 1.คุ้มครองสิทธิของนักเรียนให้ไม่ถูกละเมิดสิทธิ ปราศจากอำนาจนิยม วิธีการแก้ปัญหาคือ 1.กฎระเบียบของ รร.ต้องไม่ขัดหลักสิทธิมนุษยชน 2.อบรมครู ไม่ละเมิดสิทธิของนักเรียน 3.หากพบการละเมิดสิทธินักเรียน จะต้องพักใบประกอบวิชาชีพครู 4.ต้องมีช่องทางร้องเรียนอิสระจากเขตพื้นที่และโรงเรียน และ ปัญหาที่2. คือปัญหาสุขภาพจิต เป็นปัญหาที่รุนแรงมาก จากสถิติพบว่า 1 ใน 5 ของผู้เรียนมีสภาวะซึมเศร้าไม่มากก็น้อย การแก้ปัญหา คือ 1.ให้การเข้าถึงช่องการรักษา เช่น นักจิตวิทยาประจำรร. คลินิกเยาวชน โดยไม่ต้องได้รับการยินยอมจากครูหรือผู้ปกครอง 2.มีเครื่องมือคัดกรอง เพื่อประเมินความเสี่ยงนักเรียนที่อาจจะมีปัญหาสุขภาพจิต 3.การป้องกัน คือ สร้างระบบการศึกษาที่ลดความเครียด ไม่ว่าจะเป็นชั่วโมงเรียน การบ้าน ข้อสอบ และปรับพฤติกรรมครูที่จะไม่ส่งผลกระทบต่อผู้เรียน
ภูมิสรรค์ เสนีวงศ์ ณ อยุธยา ผอ.คณะกรรมการประสานงานองค์กรเครือข่ายภายนอกพรรค และกรรมการด้านเทคโนโลยี พรรคประชาธิปัตย์ (ปชป.)กล่าวว่า มาวันนี้ไม่ได้มานำเสนออะไรที่ใหม่ แต่มารับข้อเสนอทั้งหมดที่ภาคีเพื่อการศึกษาไทยทำไว้ ส่วนเรื่องโรงเรียนที่เป็นพื้นที่นวัตกรรม มีกรอบ พ.ร.บ.นวัตกรรม แต่มีความพยายามที่ยุบพ.รบ.นี้ และสนับสนุนพรบ.ตัวใหม่ที่ยังไม่ออกมา มีประมาณ 10 กว่ามาตรา ที่ผ่านแล้ว เหลือประมาณกว่า 100 มาตราที่ต้องพิจารณา ตรงนี้จะเป็นหลักสำคัญที่จะนำไปสู่การปรับโครงสร้างทำหลักสูตรใหม่ เพราะจะมีองค์กรมหาชนเกิดขึ้น เช่น องค์กรที่ทำหลักสูตรโดยเฉพาะ ทางสสวท. มีคณะอนุกรรมการ มีการเข้าไปทำหลักสูตรในเชิงนวัตกรรมไว้เรียบร้อย หากปชป.ได้เป็นรัฐบาลก็จะเปิดไฟเขียวในส่วนนี้
ดร.นันทพร ดำรงพงศ์ รองเลขาธิการพรรค และกรรมการนโยบายและยุทธศาสตร์ พรรคชาติไทยพัฒนา กล่าวว่า นโยบายคือ เรียนในสิ่งที่ใช่ ใช้ในสิ่งที่เรียน มีความหมายคือ จะต้องไม่ฝืนการเป็นเด็กรุ่นใหม่ เพราะต้องยอมรับว่าเด็กประเภท GEN Z คือ 1.ต้องรวยเร็ว 2.ชอบโซเชียลมีเดีย 3.อารมณ์อ่อนไหว ความอดทนน้อย ไม่ชอบเป็นลูกน้องใครต้องการเป็นนายตนเอง ดังนั้นภายใต้บริบทของโลกยุคใหม่ ที่มีความเปลี่ยนแปลงรวดเร็วและรุนแรงมาก โดยเฉพาะสถานการณ์โควิดทำให้ทุกฝ่ายที่เกี่ยวข้องด้านการศึกษาต้องหันมามองการปรับตัวอย่างไร ต่อไปนี้การเรียนการสอนไม่ใช่อุปสรรค แต่จะทำอย่างไรที่จะทำให้กฎกติกา ที่กระทรวงศึกษาฯเคยกำหนดไว้ว่า เรียน 55% ผลลัพธ์การเรียนรู้ 45% และนำผลลัพธ์มาทำให้เกิดประโยชน์จริงได้ เช่น วิชาที่เด็กอยากเรียน เด็กต้องมีสิทธิที่จะออกแบบ ครูและครอบครัวต้องช่วยบูรณาการให้เกิดสิ่งเหล่านี้ และอยากให้เด็กมีความคิดที่ล้มแล้วลุกได้ เนื่องจากเทคโนโลยีมีทั้งบวกและลบ เพราะฉะนั้นต้องทำโครงการที่ช่วยกระตุ้นให้เด็กภูมิใจในตัวเอง
ดร.ณหทัย ทิวไผ่งาม กรรมการบริหารพรรค และประธานคณะทำงานด้านการส่งเสริมศักยภาพของประเทศและพัฒนาทรัพยากรมนุษย์ พรรคเพื่อไทย กล่าวว่า ปัญหาโรงเรียนขนาดเล็ก ทางพรรคคิดว่าการศึกษาคือการเรียนรู้ตลอดชีวิต ดังนั้นการศึกษาจะจำกัดอยู่แค่ในพื้นที่โรงเรียนไม่ได้ และควรให้ความสำคัญกับโรงเรียนขนาดเล็ก เพราะคิดว่านี่คือวิถีชีวิต วิถีชุมชน นโยบายที่สำคัญคือ เรื่อง Oone family one soft power สืบเนื่องกับนโยบายสมัยไทยรักไทย คือ OTOP นโยบายข้อที่ 5 คือ จะปิดโรงเรียนขนาดเล็กที่มีกว่า 14,000 โรงเรียน และเพิ่มขึ้นอีก 2,000 โรงเรียน หลายโรงเรียนต้องมีความเข้มแข็งในตัวเอง พร้อมกับส่งเสริมและทำวิสาหกิจชุมชนขนาดเล็ก มีเครื่องมือสื่อสาร หรือฟรีอินเตอร์เน็ต ให้นักเรียนและครู ชุมชน เพื่อให้เกิดนวัตกรรมในชุมชน ภายใต้แนวคิด LEARN TO EARN เพราะในครอบครัวที่มีรายได้น้อยนำมาซึ่งความเหลื่อมล้ำทางสังคม
พรชัย มาระเนตร คณะทำงานร่างนโยบาย พรรคชาติพัฒนากล้า กล่าวว่า ปัญหาโรงเรียนขนาดเล็กไม่ใช่เรื่องของโรงเรียน แต่เป็นการจัดการนักเรียนที่เรียนได้อย่างไร ซึ่งแนวคิดสำคัญที่สุด คือ การนำดิจิทัลแพลตฟอร์มมาใช้เป็น sandbox ที่สำคัญของระบบการศึกษาไทย สตาร์ทอัพที่เป็น EdTech ทั่วประเทศต้องมีการเชื่อมโยงกับภาคราชการในการสร้างนวัตกรรมทางการศึกษา ต้องทำให้นักเรียนจากทั้งโรงเรียนเล็กหรือโรงเรียนใหญ่ มีความเท่าเทียมกันของข้อมูล นำไปสู่การพัฒนาและโจทย์ที่ชัดเจนขึ้น ส่วนที่อยากจะให้เกิดการผลักดันคือ บิ๊กดาต้า ของเด็กทุกคน โดยเก็บข้อมูลตั้งแต่แม่มาฝากครรภ์ การเข้าโรงเรียน เพื่อสร้างระบบการช่วยเหลือหากมีสิ่งผิดปกติเกิดขึ้นกับตัวเด็ก ที่จะช่วยเด็กที่ครอบครัวแหว่งกลาง
ในส่วนของการปรับวัฒนธรรมการทำงานให้กล้าทำสิ่งใหม่ มีข้อเสนอ 2 อย่าง ได้แก่ 1.คณะกรรมการสถานศึกษา ผู้ปกครองต้องเข้มแข็ง 2.รื้อธรรมนูญโรงเรียน ซึ่งทางกระทรวงศึกษาฯ ได้ให้ทางโรงเรียนจัดทำ แต่พบว่าส่วนใหญ่มีการคัดลอกกัน ซึ่งธรรมนูญโรงเรียน ต้องระบุสิทธิและหน้าที่ของนักเรียนมีอะไรบ้าง บทลงโทษต้องชัดเจน และให้คณะกรรมการสถานศึกษาสามารถเลือกผู้อำนวยการโรงเรียนได้ด้วยตนเอง เพราะนี่คือสิ่งที่ครูต้องการจริงๆ เนื่องจากผอ.รร. ที่มาจากการสรรหา จะเกิดความรับผิดชอบและแข่งขัน โรงเรียนที่มีการแข่งขันจะนำไปสู่การพัฒนาตัวเอง คูปองการศึกษาสำคัญเนื่องจากจะนำไปสู่การเรียนรู้ตลอดชีวิต
นาวาอากาศตรีศิธา ทิวารี เลขาธิการพรรค พรรคไทยสร้างไทย กล่าวว่า ในข้อเสนอโรงเรียนขนาดเล็ก การที่จะปรับข้อ 2 ข้อ 3 ข้อ 4 และข้อ 5 ประเด็นอยู่ที่ข้อ 1 ถ้ายังปรับแกนกลางในการศึกษาไม่ได้ จะไม่สามารถปรับอะไรได้เลย ครูต้องเป็นผู้นำกระบวนการเรียนรู้ เหมือนกับทุกโรงเรียนที่เจริญแล้วทั่วโลกทำ อาจจะลดการเรียนของเด็กให้ลดลงได้ประมาณ 60-70% สอนให้เด็กและวิเคราะห์ข้อมูล ครูเกิดการเรียนรู้ไปพร้อมกับเด็ก ซึ่งปัจจุบันหลักสูตรเดิมของไทยไม่สามารถที่จะพัฒนาเด็กได้เลย เพราะไทยไม่ได้สอนเด็กให้เป็นไปตาม demand และ supply ของโลก เพราะขณะนี้การสอนเด็กเพียงเพื่อให้สอบเข้าสถานศึกษาดีๆเพื่อได้รับปริญญา และตกงานในอนาคต ซึ่งในต่างประเทศจะสอนเด็กให้รู้จักการใช้ AI แต่ประเทศไทยกำลังสอนเด็กให้ไปแข่งกับ AI ดังนั้นเมื่อทราบอยู่แล้วว่ามีการขาดแคลนบุคลากรทางการศึกษากว่า 20,000 คน ซึ่งไม่มีทางที่จะเติมส่วนให้เต็มได้ ดังนั้นวิธีการปรับแกนกลางก็จะทำให้นักเรียนที่เรียนในโรงเรียนห่างไกลและนำเทคโนโลยีเข้าช่วย ก็จะสามารถช่วยบริหารทรัพยากรครูที่มีอยู่จำกัดได้ในภาวะปัจจุบัน เด็กก็จะสามารถเติบโตไปเป็นประชากรที่ดีได้
ส่วนงบฯ กระทรวงศึกษาที่ได้ถึง 20% หรือเท่ากับ 1ใน5 ของงบฯทั้งหมด แต่ไม่รู้เด็กมีพัฒนาการขนาดไหน คนที่มาเป็น รมว.กระทรวงศึกษาฯ ก็มาจากโควต้าทางการเมือง ที่แบ่งเกรดกระทรวง เป็น A , B , C ระบบการศึกษาจึงไม่สามารถพัฒนาได้ ซึ่งงบฯ 25% ใช้ในการตอบโจทย์นักการเมือง ไม่ได้ตอบโจทย์การศึกษา ดังนั้นการเลือก รมว.ศึกษาฯ ไม่ควรคัดจากนักการเมือง ควรจะให้องค์กรทางการศึกษาร่วมกันโหวต เพราะหากโดนคัดเลือกเข้ามาร่วมแล้วทำงานไม่ได้ก็ต้องรับผิดชอบร่วมกัน และสามารถลลงมติเเพื่อโหวตให้ปลดรัฐมนตรีได้ และสามารถจะทำให้ปรับแกนกลางทางการศึกษาได้
ผศ.ดร.บุญส่ง ชเลธร ผอ.การเลือกตั้ง พรรคเสรีรวมไทย กล่าวว่า คำถามว่าการแก้ปัญหาด้านการศึกษา คำตอบที่อยู่ในใจสิ่งแรกที่จะต้องทำ คือ ยุบกระทรวงศึกษาฯ แต่ไม่ใช่การยุบจริง แต่หมายถึงการสะท้อนความรู้สึกว่ากระทรวงศึกษาฯ มีการบริหารที่เละเทะมาก เพราะผลลัพธ์ทางการศึกษาที่เกิดขึ้นมีความด้อยลงทุกวัน วันนี้โลกเปลี่ยนไปมาก เช่น ห่วงนักเรียนเรียนภาษาอังกฤษ หรือคณิตศาสตร์ไม่ทัน ย้อนมองดูว่าโลกทุกวันนี้ยังจำเป็นต้องเรียนภาษาอังกฤษอยู่ไหม เพราะก็มีเครื่องแปลภาษารองรับได้ถึง 40 ภาษา สามารถพูดกับใครก็ได้ นี่จึงอาจจะเป็นส่วนที่ทำให้ครูตามไม่ทันโลก ไม่มีประสิทธิภาพพอที่จะผลักดันให้การศึกษาไทยก้าวทันโลก หรือนักเรียนมีคุณภาพขึ้นได้ จึงต้องมองย้อนกลับไปที่ต้นน้ำ คือ สถาบันผลิตครู สะท้อนให้เห็นว่าต้นทางการศึกษาที่ผลิตครูยังไม่สามารถสร้างบุคลากรที่มีคุณภาพมาทำงานในระบบการศึกษา ดังนั้นสิ่งแรกคือการปฏิรูปกระบวนการการศึกษาการผลิตครูทั้งระบบ
ส่วนนักเรียนต้องการแสดงความคิดและกล้าแสดงออก แต่ความรุนแรงในโรงเรียน และความรุนแรงระหว่างเด็กกับเด็ก ระหว่างเด็กกับครู และระหว่างเด็กกับรัฐ ในส่วนนี้ คือบางครั้งรัฐตั้งกฎระเบียบ ข้อบังคับ ที่ละเมิดสิทธินักเรียน เข่น การกล้อนผม แต่ทั้งนี้ โรงเรียนจะต้องไม่มีสิทธิไล่เด็กออกจากโรงเรียนไม่ว่าจะกรณีใดๆทั้งสิ้น ส่วนหลักสูตรการศึกษา ที่ต้องปรับคือ การลดเวลาเรียนลงด้วยระบบ 5 -4- 3 คือ เรียนประถมศึกษา 5 ปี เรียนมัธยมศึกษา 4 ปี และเรียนมหาวิทยาลัย 3 ปี เพื่อเด็กได้ใช้ชีวิตกับความเป็นจริง
ดร.กมล รอดคล้าย ผอ.ยุทธศาสตร์ด้านการศึกษา พรรคภูมิใจไทย กล่าวถึงข้อเสนอการยกเลิกโครงการที่ไม่ตอบโจทย์การเรียนรู้ และการกระจายงบประมาณให้กับ รร.ว่า สำนักงานคณะกรรมการการศึกษาขั้นพื้นฐาน(สพฐ.) ต้องทำให้โรงเรียนลดโครงการไม่ตอบโจทย์การเรียนลงเหลือประมาณ 7-10 โครง เฉลี่ย 10% จาก70-80 โครงการ ให้เหลือแต่โครงการหลักที่รร.ต้องทำตามนโยบายภาพรวมของประเทศ โครงการที่มีความสอดคล้องกับความจำเป็นของพื้นที่ และโครงการที่รร.มีความสนใจ และหัวใจสำคัญคือสพฐ. ต้องกล้าประกาศว่าโครงการต่างๆจะต้องไม่ลงไปที่โรงเรียนโดยตรง หากไม่ผ่านการคัดกรองจากส่วนกลาง หรือระดับเขตพื้นที่ ส่วนเรื่องงบฯ ควรให้งบฯกับโรงเรียนไปทีเดียว ไม่ต้องแยกให้ทีละโครงการ และให้โรงเรียนไปจัดการเอง
ปัญหาการป้องกันการละเมิดสิทธิและใช้ความรุนแรงในสถานศึกษา ปัญหานี้สำคัญกว่าปัญหาของหลักสูตรอีก ความรุนแรงจากบุคคล ที่เกิดเพื่อนกลั่นแกล้ง ถูกบูลลี่ หรือถูกครูกล้อนผม ซึ่งครูแนะแนวในปัจจุบันจะแนะแนวการศึกษาและอาชีพ แต่จริงๆต้องแนะแนวทักษะชีวิตให้เด็กเอาตัวรอดในสังคม โดยมีช่องทางที่เด็กเข้าถึงการน้องเรียน และมีเครือข่ายเข้าช่วยเหลือ และต้องการข้อลงโทษาให้ชัดเจนสำหรับผู้กระทำผิดไม่ว่าจะอยู่ในระดับใด
“ในส่วนของข้อเสนอการปรับวัฒนธรรมในการทำงานให้กล้าทำสิ่งใหม่ วัฒนธรรมองค์กรเป็นเรื่องที่เปลี่ยนยาก เพราะส่วนใหญ่จะติดอยู่ในกรอบเดิมๆ ดังนั้นต้องเริ่มจากครู ที่เป็นผู้รับผลโดยตรง จะต้องเป็นผู้ปฏิบัตินำเด็ก โดยใช้นโยบาย 1L 4M 1R คือ 1L เป็นการฝึกให้ครูที่เขียนผลงานวิชาการ ให้ลองนำผลงานไปปฏิบัติจริง โดยภาครัฐต้องสนับสนุน 4M เพื่องานวิจัยและสนับสนุนข้อมูล ให้ได้รูปธรรม เมื่อได้ผลจะต้องได้รางวัล ที่จะส่งผลต่อการแก้ปัญหาของหลักสูตร”นายกมลกล่าว
ข่าวที่เกี่ยวข้อง
นิด้าโพล ชี้ผลสำรวจคะแนนนิยมการเมืองล่าสุด คนหนุน ‘เท้ง’ นั่งนายกฯ ส่วนมาดามแพฯ ร่วงอันดับ 2
ศูนย์สำรวจความคิดเห็น “นิด้าโพล” สถาบันบัณฑิตพัฒนบริหารศาสตร์ (นิด้า) เปิดเผยผลการสำรวจของประชาชน เรื่อง “การสำรวจคะแนนนิยมทางการเมืองรายไตรมาส ครั้งที่ 4/2567”
พรรคการเมืองฟังไว้! กกต.เคลียร์แล้วรับบริจาคหวยได้
กกต.ตอบพรรคประชาชน รับบริจาคสลากกินแบ่งรัฐบาลได้ และถ้าถูกรางวัล ต้องชี้แจงตามขั้นตอนถึงแหล่งที่มาตามระเบียบและกฎหมายพรรคการเมือง
ไปอีกพรรค! ราชกิจจาฯ ประกาศสิ้นสภาพความเป็นพรรคการเมือง
ราชกิจจานุเบกษา เผยแพร่ประกาศคณะกรรมการการเลือกตั้งเรื่อง พรรคเสมอภาคสิ้นสภาพความเป็นพรรคการเมือง
ดร.เสรี ถามพรรคการเมืองฝ่าย ‘อนุรักษ์นิยม’ จะรวมกันกี่โมง?
ดร.เสรี วงษ์มณฑา นักวิชาการด้านการตลาดและการสื่อสารโพสต์เฟซบุ๊กว่า ส้มเลือ
'ปิยบุตร' อัดเพื่อไทย! ทำเปลี่ยนโครงสร้างอำนาจการเมือง ช้าออกไปอีก 10-20 ปี
นายปิยบุตร แสงกนกกุล เลขาธิการคณะก้าวหน้า โพสต์เฟซบุ๊กว่าแทนที่พรรคการเมืองจะรวมพลัง “ยึด” อำนาจการออกใบอนุญาตที่ 2 ของ
'นิพิฏฐ์' เตือนมหันตภัยการเมือง ประเทศถูกล็อกด้วยพรรคการเมือง 2 พรรค
นายนิพิฏฐ์ อินทรสมบัติ โพสต์เฟซบุ๊กว่า การเมืองที่ถูกล็อคด้วยพรรคการเมือง 2 พรรค