ตลาดหลักทรัพย์แห่งประเทศไทย (SET) ขับเคลื่อนโครงการ Care the Wild “ปลูกป้อง” Plant &Protect แพลตฟอร์มปลูกป่าและติดตามผลการปลูก โดยทำงานกับภาคีเครือข่ายการปลูกป่า ได้แก่หน่วยงานภาครัฐ อกรมป่าไม้ ภาคเอกชน ผู้สนับสนุนการปลูก และชุมชนที่ดูแลป่า โดยเนั้นการมีส่วนร่วมในการเพิ่มจำนวนต้นไม้เพื่อสร้างผืนป่าอย่างเป็นรูปธรม และมุ่งสร้งระบบนิเวศให้สมดุลตั้งแต่ตั้นทาง
ล่าสุด SET ร่วมกับ ทีมงานกรมป่าไม้ และชุมชน ลงพื้นที่ติดตามผลการปลูกป่าบนพื้นที่ 10 ไร่ ต้นไม้ 2,000 ต้น ณ ป่าชุมชนบ้านชัฎหนองยาว อ.ด่านช้าง จ.สุพรรณบุรี นับเป็นแปลงปลูกแรกของโครงการฯ ตั้งแต่ปี 2562 ด้วยการสนับสนุนจาก องค์กรภาคตลาดทุน ได้แก่ บริษัท ศูนย์รับฝากหลักทรัพย์ (ประเทศไทย) จำกัด (TSD), บริษัท สำนักหักบัญชี (ประเทศไทย) จำกัด (TCH), ชมรมคัสโตเดียน และชมรมปฏิบัติการหลักทรัพย์ สมาคมบริษัทหลักทรัพย์ไทย (AscO) สนับสนุนงบประมาณ รวม 400,000 บาท เพื่อปลูกและป้องต้นไม่ให้รอด 100 % โดยชุมชนร่วมดูแลเป็นเวลาต่อเนื่อง 6 ปี
ป่าชุมชนบ้านชัฎหนองยาว เดิมเป็นพื้นที่ถูกบุกรุก ก่อนทวงคืนกลับมาเป็นป่าชุมชน ความท้าทายที่พบ คือพื้นที่ปลูกมีความแห้งแล้งมาก เพระอยู่ในพื้นที่เงาฝน บางปีไม่มีฝนตกเลย และผลจากการปลูกพืชเชิงเดี่ยวเป็นเวลานานทำให้คุณภาพดินไม่ดี กระทั่งได้เข้าร่วมเป็นพื้นที่ปลูกต้นแบบในโครงการ Care the Wild
เป็นวลากว่า 3 ปี นับจากวันเริ่มปลูกเมื่อวันที่ 7 กันยายน 2562 ต้นไม้ทั้ง 2,000 ต้น ในพื้นที่ 10 ไร่ รอดตายกว่า 95% มีอัตราการเจริญเติบโต วัดจากความสูง เพิ่มขึ้นโดยเฉลี่ยทั้งแปลงกว่า 4 เมตร และในต้นไม้บางประเภท สูงกว่า 6.5 เมตร โดยมีวงรอบต้นไม้เติบโตประมาณ 15 เซนติเมตร ซึ่งเป็นผลจากความร่วมมือของชุมชนในพื้นที่ ร่วมใจช่วยกันดูแลรักษาป่าอย่างเข้มแข็ง นับเป็น SUCCESS CASE ของโครงการฯ ที่เห็นถึงการเปลี่ยนแปลงและความสำเร็จของการดูแลปาชุมชนอย่างยั่งยืน
ยุภาวรรณ ศิริชัยนฤมิตร ผู้ช่วยผู้จัดการ หัวหน้ากลุ่มงานปฏิบัติการ SET และกรรมการผู้จัดการ TSD เผยว่า ที่ผ่านมา ทาง T5D ร่วมมือกับพันธมิตรทางธุรกิจขับเคลื่อนกิจกรรมด้าน CSR มาโดยตลอด จึงประสานกับทีมที่ดูแลเรื่องการพัฒนาเพื่อสังคม ส่วนโครงการ Care the Wild มองว่าการปลูกป่าเป็นกิจกรรมที่น่าสนใจ 4 หน่วยงานจึงจับมือกัน และตัดสินใจเลือกพื้นที่ป่สชุมชนบ้านชัฎหนองยาว พื้นที่ภาคกลางที่มีความแห้งแล้ง โดยเหตุผลหลักที่เลือกมาจากความพร้อมของคนในชุมชน ที่ต้องการเปลี่ยนแปลงพื้นที่ป่าชุมชนให้กลับมาอุดมสมบูรณ์ ซึ่งผ่านมา 3 ปีกว่า นับจากวันที่เริ่มปลูก เมื่อปี 2562 ตั้นไม้ในป่าชุมชนบ้านชัฎหนองยาว เติบโตรอดเกือบ 100% ตอกย้ำความเชื่อที่ว่า ถ้าชุมชนมีความพร้อม ก็มีโอกาสที่จะประสบความสำเร็จ โดยจุดแข็งสำคัญอยู่ที่ความร่วมมือของชุมชนในพื้นที่ ในการช่วยกันดูแลรักษาผืนป่า
“ป่าเป็นองค์ประกอบของพื้นที่ทำกินของเขา ไม้ที่เราไปปลูกชาวบ้านและซุมชนก็เป็นคนเลือก เพราะเขาจะเข้าใจสภาพพื้นที่ สภาพอากาศ สภาพดิน และสภาพน้ำของเขาอยู่แล้ว พอทุกอย่างตอบโจทย์เขา ป่าก็เป็นแหล่งกลางที่เขาสามารถใช้ประโยชน์ได้”
สำหรับป่าชุมชนบ้านชัฎหนองยาว นับเป็นโครงการนำร่อง ก่อนที่ SET จะจัดตั้งโครงการ Care the Wild ที่เปิดให้ภาคเอกชนเข้ามามีส่วนร่วมสนับสนุนการเพิ่มพื้นที่ป่าชุมชนในประเทศไทย เพื่อลดวิกฤตโลกร้อน ภารกิจระดับประเทศที่ทุกฝ่ายต้องร่วมมือกัน
นอกจากนี้ ความสำเร็จของป่าชุมชนบำนชัฎหนองยาว ยังถูกถ่ายทอดผ่าน นายประเสริฐ ม่วงอยู่ ผู้อำนวยการศูนย์ป่าไม้ จ.สุพรรณบุรี ที่บอกว่า ในอศีตพื้นที่บริเวณนี้เป็นที่ถูกบุกรุก ก่อนชุมชนจะขอคืนมาได้ สภาพตอนนั้นมีแต่หญ้าคาและไม้หนาม ที่ผ่านมาชาวบ้านไม่เคยทิ้งพื้นที่ตรงนี้ พยายามปลูกต้นไม้หลายครั้งแต่ไม่สำเร็จ จนเริ่มท้อ กระทั่งตลาดหลักทรัพย์ฯ เข้ามานำร่องโครงการ Care the Wild ในปี 2562 ด้วยคอนเซปต์โครงการฯ ทำให้ชุมชนมีงบประมาณดูแลจัดการ รวมถึงการวางระบบน้ำแบบน้ำหยด ต้นไม้จึงรอดตายและเติบโตดี จนกลายมาเป็นตั้นแบบการดูแลที่มีประสิทธิภาพ
สำหรับพันธุ์ไม่ในผืนบำแห่งนี้ มีอยู่ 3 กลุ่มที่ขึ้นผสมผสานกัน กลุ่มแรก คือไม้ป่า ที่มีอยู่เดิมในพื้นที่ เติบโตได้ดี กลุ่มที่สอง คื ไม่ที่มีค่าทางเศรษฐกิจ เช่น ไม้พะยุง ไม้ประดู่ ไม้พะยอม และกลุ่มที่สาม คือ พืชที่ชาวบ้านสามารถเก็บกินหรือใช้ประโยชน์ได้ เช่น มะขามป้อม มะม่วง ชี้เหล็ก มะตูม
“โครงการฯ ในปีแรกก็เริ่มเห็นผลแล้ว จากปกติช่วงหน้าแล้งจะมีไฟป่าทุกปี แต่เมื่อต้นไม้ขึ้นมาเขียวเต็มพื้นที่ ก็ไม่เกิดไฟป่าอีกเลย ชาวบ้านเกิดความรักในป่า และดูแลป่าอย่างดี ความสำเร็จที่เห็นได้ชัด ของโครงการ คือ ได้พื้นที่ป่าคืนมา การที่ตลาดหลักทรัพย์ฯ ลงมาช่วยชาวบ้าน ได้ใจชาวบ้านไปเต็มๆ ถึงจะเริ่มด้วยพื้นที่เล็กๆ แค่ 10 ไร่ แต่เชื่อว่าจะสามารถต่อยอดได้ ท้ายที่สุดเชื่อว่าชาวบ้านจะได้ประโยชน์จากป่าผืนนี้” ผอ.ศูนย์บำไม้สุพรรณบุรี กล่าวทิ้งท้าย
ตามเป้าหมายของโครงการ Care the Wild จะดูแลพื้นที่ป่าชุมชนบ้านชัฎหนองยาว ต่อเนื่อง 6 ปีโดยโครงการ Care the Wild เริ่มเมื่อวันที่ 9 กันยายน 2563 ภายใต้ความร่วมมือระหว่าง SET ร่วมและพันธมิตร ได้เพิ่มผืนป่าไปแล้ว 12 ปาชุมชน ใน 9 จังหวัดทั่วประเทศ รวมเนื้อที่ปลูกทั้งสิ้น 312.5 ไร่ ต้นไม้กว่า 5,000 ต้น ซึ่งต้นไม้ที่ปลูกจะช่วยดูดซับก๊ซเรือนกระจกได้ 585,000 กิโลกรัมคาร์บอนไดออกไซด์เทียบเท่า / ปี
ข่าวที่เกี่ยวข้อง
“ตลาดหลักทรัพย์ฯ” เชิญชวนร่วมส่งบทกวีเข้าประกวดใน “โครงการประกวดบทกวี 50 ปี ตลาดหลักทรัพย์แห่งประเทศไทย” วันนี้ – 15 ม.ค. 68
ตลาดหลักทรัพย์แห่งประเทศไทย ขอเชิญชวนเยาวชนและประชาชนทั่วไป ร่วมส่งบทกวีเข้าประกวดใน “โครงการประกวดบทกวี 50 ปี ตลาดหลักทรัพย์แห่งประเทศไทย” เพื่อสนับสนุนการสร้างสุขภาวะทางใจและความคิดสร้างสรรค์ผ่านการประพันธ์บทกวี
บจ. มีผลประกอบการในไตรมาส 2 ดีขึ้นต่อเนื่อง โดยเฉพาะที่เกี่ยวข้องกับการท่องเที่ยวและธุรกิจน้ำมัน
บริษัทจดทะเบียน (บจ.) รายงานผลการดำเนินงานงวดหกเดือนแรกปี 2567 มีรายได้และกำไรสุทธิเติบโต ขับเคลื่อนจากการท่องเที่ยวที่สร้างมูลค่าเพิ่มไปสู่ธุรกิจภาคบริการ อุปโภคบริโภค อีกทั้งกลุ่มธุรกิจน้ำมันได้รับประโยชน์จากราคาน้ำมันที่ปรับสูงขึ้น
ตลท.เตือนนักลงทุนระวังการซื้อขายหุ้น กรุงเทพประกันภัย
ตามที่บริษัท บีเคไอ โฮลดิ้งส์ จำกัด (มหาชน) (BKIH) ได้มีการทำคำเสนอซื้อหลักทรัพย์ของบริษัท กรุงเทพประกันภัย จำกัด (มหาชน) (BKI) เพื่อปรับโครงสร้างการถือหุ้น
ไทยออยล์ร่วมขับเคลื่อนการดำเนินโครงการปลูกป่า เพื่อประโยชน์ทางคาร์บอนเครดิต จ.แพร่
เมื่อเร็วๆ นี้ ทีมงานแผนกกิจการเพื่อสังคม บริษัท ไทยออยล์ จำกัด (มหาชน) ร่วมกับ รศ. ดร. แหลมไทย อาษานอก ที่ปรึกษาด้านการปลูกและบำรุงรักษาป่า นายวิณัฐ คำหม่อม