รวบฆาตกรโหด! เสพยาบุกฆ่าตัดคอสองผัวเมียตรังดับสยองคาบ้าน

ตร.ตรังบุกรวบ ‘เมี้ยก ห้วยนาง’ ฆาตกรเหี้ยมโหด รับเสพยาบ้า 2 เม็ด คู่น้ำกระท่อมก่อนตัดสินใจลงมือ ใช้มีดพร้าฟันคอสองผัวเมียดับคอขาดคาบ้าน 2 ศพ เล่านาทีลงมือสังหารโหดตั้งใจจะฆ่าเพียงฝ่ายชาย อ้างแค้นถูกผู้ตายกลั่นแกล้ง

8 พ.ย.2564- ความคืบหน้าเหตุคนร้ายบุกเดี่ยว เข้าบ้านเลขที่ 46 หมู่ 4 บ้านห้วยนางใต้ ต.ห้วยนาง อ.ห้วยยอด จ.ตรัง ใช้อาวุธมีดพร้าฟัน นายสุพรรณ แก้วเกื้อ หรือ เอียด , ครู อายุ 59 ปี เป็นน้องชายของนายประพัฒน์ แก้วเกื้อ อดีตประธานสภาทนายความ จ.ตรัง พร้อมด้วย  นางเพ็ญนภา อ้อยเป็น หรือหญิง อายุ 52 ปี อาชีพขายน้ำอ้อย สองสามีภรรยาเสียชีวิตในสภาพคอขาดทั้ง 2 คน ช่วงค่ำวันที่ 7 พ.ย.64 ที่ผ่านมา

ภายหลังจาก พ.ต.อ.ประดิษฐ ชัยพล ผกก. ห้วยยอด สั่งการกำลังเจ้าหน้าที่ชุดสืบสวน สภ.ห้วยยอด ร่วมกับ ตำรวจชุดปฏิบัติการพิเศษศรีตรัง (S.W.A.T) และชุดสืบสวน ภ.จว.ตรัง กว่า 20 นาย ร่วมเข้าปิดล้อมบ้านหลังหนึ่งในพื้นที่ หมู่ 6 ต.ห้วยนาง อ.ห้วยยอด ซึ่งอยู่ห่างจากบ้านหลังเกิดเหตุไปประมาณ 3-4 กม. หลังจากสืบทราบว่าเป็นบ้านของ นายอรุณทร นิ่มนวล หรือเมี้ยก อายุ 37 ปี ไม่ประกอบอาชีพ ซึ่งเป็นผู้ลงมือก่อเหตุ ก่อนที่นายสวาท นิ่มนวล อายุ 60 ปี ผู้เป็นพ่อ ได้นำเข้าไปจับกุมผู้ต้องหา ซึ่งอยู่ภายในห้องนอน ตรวจสอบภายในบ้าน พบเสื้อผ้าเปื้อนเลือดถูกแช่น้ำอยู่ในกะละมัง มีดพร้าเปื้อนเลือด และตรวจสอบรถยนต์กระบะ ยี่ห้ออีซูซุ สีน้ำเงิน ทะเบียน บจ 825 ตรัง พบว่าที่พวงมาลัยมีเลือดเปื้อนติดอยู่

นายอรุณทร  สารภาพว่า ก่อนเกิดเหตุตนเองเสพยาบ้าไปจำนวน 2 เม็ด พร้อมกับดื่มน้ำพืชกระท่อม ก่อนจะขับรถยนต์คันดังกล่าวออกจากบ้านมาพร้อมด้วยอาวุธมีดพร้า 1 เล่ม และอาวุธมีดปลายแหลมอีก 1 เล่ม โดยตั้งใจจะมาลงมือฆ่านายสุพรรณ ก่อนจะขับรถมาจอดริมถนนก่อนถึงบ้านผู้ตาย และได้ถือมีดพร้าลงไป เมื่อไปถึงได้เดินเข้าทางประตูข้างบ้าน ก่อนจะพบกับนางเพ็ญนภา ยืนทอดปลาเค็ม ทำอาหารเย็นอยู่ จึงได้ล็อกคอ และเหวี่ยงออกมาทางประตูข้างบ้าน ทำให้นางเพ็ญนภาล้มลงบนพื้นดินข้างบ้าน และลุกไม่ขึ้น ก่อนที่ตนจะเดินเข้าไปหานายสุพรรณ ก่อนจะพบนั่งถ่ายอุจจาระอยู่ จึงได้ใช้อาวุธมีดปลายแหลมแทงเข้าไปที่ชายโครงด้านซ้าย 1 แผล และชายโครงด้านขวาอีก 1 แผล ก่อนจะใช้มีดพร้าฟันเข้าที่คอ 1 ครั้งจนขาดศีรษะหลุดออกจากตัว และเดินออกมา ก่อนที่จะใช้มีดพร้าฟันเข้าที่คอของนางเพ็ญนภาที่นอนอยู่บนพื้นอีก 1 ครั้ง และขับรถหลบหนีไป โดยตอนเกิดเหตุไม่ได้มีการพูดคุยอะไรกับทั้ง 2 คน 

“ตั้งใจที่จะลงมือฆ่านายสุพรรณ เพียงคนเดียว แต่ปรากฏว่านางเพ็ญนภาได้เห็นหน้าตนแล้ว จึงได้ลงมือฆ่าด้วย เพราะกลัวความผิด ส่วนสาเหตุตลอดระยะเวลา 2-3 ปีที่ผ่านมา นายสุพรรณ ผู้ตายชอบพูดจากระแหนะกระแหนตนมาอย่างต่อเนื่อง ไม่ว่าจะเป็นเรื่องที่เสพยาเสพติด หรือไม่ว่าจะทำอะไรก็ชอบนำไปพูดในทางไม่ดีและในทางเสียหาย รวมทั้งกลั่นแกล้งทุกอย่าง ไม่ว่าจะทำอะไร จึงฝังใจมาโดยตลอด เหตุการณ์ครั้งนี้เมื่อทำไปแล้วก็พร้อมรับโทษตามกฎหมาย”

เพิ่มเพื่อน

ข่าวที่เกี่ยวข้อง

ระดมกำลังทุกหน่วย ปูพรมตรวจค้น 183 จุด กวาดล้างอิทธิพล ยึดของกลางอื้อ

พล.ต.อ.ต่อศักดิ์ สุขวิมล ผบ.ตร. สั่งการ พล.ต.อ.กิตติ์รัฐ พันธ์ุเพ็ชร์ รอง ผบ.ตร. ,พล.ต.ท.อัคราเดช พิมลศรี พล.ต.ท.อิทธิพล อัจฉริยะประดิษฐ์ ผู้ช่วย ผบ.ตร. พล.ต.ท.จิรภพ ภูริเดช ผบช.ก. ระดมกำลังตำรวจสอบสวนกลาง ,กองบัญชาการตำรวจนครบาล ,

'โจ๊ก' เผย 'บิ๊กเต่า' ขอเลื่อนนัดไต่สวนมูลฟ้องคดีหมิ่นประมาท เป็นครั้งที่ 2

ศาลนัดไต่สวนมูลฟ้องของโจทย์เป็นครั้งที่ 2 ในคดีที่พล.ต.อ.สุรเชษฐ์ หักพาล รอง ผบ.ตร. ยื่นฟ้องพล.ต.ต.จรูญเกียรติ ปานแก้ว รอง ผบช.ก. ข้อหาหมิ่นประมาทด้วยการโฆษณา

'บิ๊กต่อ-มาดามกุ๊กไก่' ออกงานคู่ครั้งแรก

พล.ต.อ.ต่อศักดิ์ สุขวิมล ผู้บัญชาการตำรวจแห่งชาติ(ผบ.ตร. พร้อมด้วยคุณนิภาพรรณ สุขวิมล นายกสมาคมแม่บ้านตำรวจ เป็นประธานในพิธีมอบทุนการศึกษาของสมาคมแม่บ้านตำรวจ ประจำปี 2567 ณ ห้องแจ้งยอ

'เอก-ก.ตร.ผู้ทรงคุณวุฒิ' เผย 'บิ๊กโจ๊ก' นัดพบหลายครั้ง เล่าถึงคนอื่นนับ 10 คน

พล.ต.อ.เอก อังสนานนท์ ก.ตร. ผู้ทรงคุณวุฒิ โพสต์เฟซบุ๊กระบุว่า ตั้งแต่มีกรณีที่ ผบ.ตร.และรอง ผบ.ตร.ถูกกล่าวหาว่ากระทำผิดทั้ง

'ทักษิณ' บอกวุ่นวาย ปมบิ๊กตำรวจขัดแย้ง ร้องโอ๊ยทันทีหลังเจอถามร่วมจัดโผทหารหรือไม่

นายทักษิณ ชินวัตร อดีตนายกรัฐมนตรี ให้สัมภาษณ์ถึงกรณีความขัดแย้งในสำนักงานตำรวจแห่งชาติ (สตช.) ระหว่างพล.ต.อ.ต่อศักดิ์ สุขวิมล ผู้บัญชาการตำรวจแห่งชาติ

'บิ๊กโจ๊ก' ฟ้อง 'พล.ต.ต.' กูรูกฎหมาย หมิ่นประมาท เรียกค่าเสียหาย 10 ล้าน

พล.ต.อ.สุรเชษฐ์ หักพาล รองผบ.ตร. เดินทางมายื่นฟ้องกูรูด้านกฎหมายซึ่งเป็นอดีตตำรวจ ยศพล.ต.ต.ในข้อหาหมิ่นประมาทด้วยการโฆษณา จากกรณีจงใจใส่ความต่อบุคคลที่ 3 ทำให้ถูกดูหมิ่นเกลียดชัง ทำให้ประชาชนเข้าใจผิด พร้อมเรียกค่าเสียหาย 10 ล้านบาท