4 พ.ย.2564 - ดร. ไตรรงค์ สุวรรณคีรี อดีตรองนายกรัฐมนตรี เผยแพร่บทความเรื่อง "พวกหัวก้าวหน้า (พวกเกลียดของเก่า) VSพวกสลิ่ม (พวกรักของเก่า)" มีเนื้อหาดังนี้ การปะทะกันทางความคิดระหว่างพวกที่เรียกตัวเองว่าเป็นพวกหัวก้าวหน้าเพราะเป็นพวกเกลียดชังของเก่าๆ ไม่ว่าจะเป็นสถาบันต่างๆ วัฒนธรรม จารีตประเพณี อยากยกเลิกเสียให้สิ้น ต้องการเปลี่ยนแปลงทุกอย่างไปสู่ “ความเป็นของใหม่” และมักจะนิยมใช้ความรุนแรงกับพวกที่ยังรักของเก่าอยู่ (และยังไม่ต้องการให้มีการเปลี่ยนแปลงอะไรๆ ด้วยความรวดเร็วบนความไม่แน่นอนของอนาคต) การปะทะกันของทั้งสองฝ่ายมีทั้งวาทกรรมและการใช้กำลังเข้าทำร้ายกันและกัน ส่วนผลลัพธ์ออกมาเป็นอย่างไร เราสามารถตรวจสอบทางประวัติศาสตร์ของโลกได้ ดังจะขอยกตัวอย่างให้ดูพอเป็นสังเขปดังต่อไปนี้
1) ประเทศจีนยุคจิ๋นซีฮ่องเต้ (พ.ศ. 322 - 337)
หลังจากที่เจ้านครของรัฐฉินสามารถปราบปรามรัฐอื่นๆ อีก 6 รัฐได้แล้ว (คือรัฐเว่ย รัฐหาน รัฐเจ้า รัฐฉู่ รัฐเอียน และรัฐฉี) เจ้านครก็ตั้งตนเป็นปฐมจักรพรรดิของประเทศจีน เรียกเป็นภาษาจีนว่า “สื่อหวงตี้” ซึ่งนักประวัติศาสตร์ของโลกเรียกพระองค์ว่า #จิ๋นซีฮ่องเต้ พระองค์พร้อมด้วยลูกสมุนที่รับใช้พระองค์ในการปกครองประชาชนมีความเห็นว่าประชาชนเหล่าใดที่ยังยึดมั่นในวัฒนธรรม จารีตประเพณี ตามที่ลัทธิขงจื้อ สั่งสอนไว้ล้วนเป็นพวกล้าหลัง (ปัจจุบันพวกหัวก้าวหน้าเรียกว่า พวกสลิ่ม) “พระองค์จึงมีราชโองการให้เผาทำลายตำราทุกชนิด ยกเว้นตำราการแพทย์ การพยากรณ์ และการเพาะปลูก พร้อมๆ กับให้ประหารเหล่าสานุศิษย์ขงจื้อ และนักแสวงอายุวัฒนะกว่า 400 คน โดยการฝังทั้งเป็น นักประวัติศาสตร์เรียกเหตุการณ์นี้ว่าการเผ่าตำราเข่นฆ่าปัญญาชน” (จากหนังสือเรื่อง “ประวัติศาสตร์จีน” เขียนโดย โจวเจียรง (Zhoujiarong) แปลโดย 3 อาจารย์ชื่อดัง นำโดย อ.วิไล ลิ่มถาวรานันท์ ด้วยความร่วมมือของมหาวิทยาลัยปักกิ่ง, 2547, หน้า 64) โดยบังคับให้คนจีนทุกคนต้องปฏิบัติตามเฉพาะที่เป็นคำสั่งและกฎหมายของจิ๋นซีฮ่องเต้ เท่านั้น เพราะพวกเขาถือว่าความคิดใหม่ ระบบการปกครองแบบใหม่จะทำให้จีนมีความก้าวหน้า จึงจำเป็นต้องทำลายจารีตประเพณีและคำสอนเดิมๆ ให้สิ้น รวมทั้งต้องฆ่าพวกที่เป็น “สลิ่ม” เสียให้สิ้น เพราะขืนปล่อยให้มีชีวิตไว้จะขัดขวางความก้าวหน้าของประเทศ
หลังจากจิ๋นซีฮ่องเต้สิ้นพระชนม์ ลูกชายคนเล็กก็วางแผนกับขันทีชั่วแย่งราชสมบัติจากพี่ชายของตน เมื่อชนะแล้วก็ใช้ความโหดร้ายฆ่าทั้งพวกที่เป็นราชนิกูลและประชาชนที่ไม่เห็นด้วยไปเป็นจำนวนมาก เกณฑ์ราษฎรทำงานอย่างหนักเก็บภาษีโหด โดยชาวนาทุกคนต้องแบ่งผลผลิต 2 ใน 3 ให้กับกษัตริย์
ความทุกข์ทรมานอย่างทนไม่ไหวจึงทำให้ทั้ง 6 รัฐเก่าลุกฮือขึ้นต่อต้านนำโดย รัฐฉู่และรัฐอื่นๆ ร่วมกับผู้นำชาวนาคือ หลิว ปัง LIU BANG และกองโจรสลัดนำโดย ยิงบู (YING BU) ซึ่งเป็นพวกนักโทษที่ไม่ยอมไปสร้างสุสานและกำแพงเมืองตามคำสั่งของจักรพรรดิ จนในที่สุดสามารถล้มราชวงศ์ของจิ๋นซีฮ่องเต้ได้ ผู้นำกบฏที่ชื่อ หลิว ปัง จึงได้รับการยกย่องจากรัฐอื่นๆ ให้เป็นจักรพรรดิในราชวงศ์ใหม่ หลิว ปัง จึงเปลี่ยนชื่อเป็นพระเจ้าฮั่นอู่ตี้เป็นปฐมกษัตริย์ของราชวงศ์ฮั่น ราชวงศ์ใหม่จึงประกาศใช้ลัทธิขงจื้อเป็นลัทธิประจำชาติ พวกปัญญาชนที่รอดตายจากการถูกสังหารหมู่เพราะเป็นพวก “สลิ่ม” ก็ #ถูกเรียกกลับมารับใช้ชาติ จนจีนเจริญติดต่อกันมาในสมัยราชวงศ์ฮั่นถึง 450 ปี ในขณะที่ราชวงศ์จิ๋นของจิ๋นซีฮ่องเต้ที่เรียกตัวเองว่าเป็นพวกหัวก้าวหน้ามีอายุของราชวงศ์ได้เพียง 15 ปีเท่านั้น*
*สำหรับผู้ที่สนใจรายละเอียดสามารถอ่านได้จากหนังสือชื่อ The Unbroken Chain เขียนโดย Dr.Trairong Suwankiri และศาสตราจารย์ Dr.Wu Ben Li, 2014, หน้า 126 - 140.
2) ประเทศจีนสมัยเมาเซตุงกับการปฏิวัติทางวัฒนธรรม (ค.ศ. 1966 ถึง 1976)
#เมาเซตุง ในฐานะประธานพรรคคอมมิวนิสต์จีนและเป็นผู้จัดตั้งสาธารณรัฐประชาชนจีน ต้องการให้มีการกวาดล้างวัฒนธรรม จารีตประเพณี และความเชื่อดั้งเดิมต่างๆ ในจีนออกให้หมด โดยเฉพาะวัฒนธรรมประเพณีในลัทธิขงจื้อและความคิดแบบทุนนิยมให้เหลือแต่วัฒนธรรมแบบคอมมิวนิสต์ของเหมาเจ๋อตงเท่านั้น จึงได้จัดตั้งกลุ่มหนุ่ม - สาวที่ยังไม่ทันโลกไม่ทันเกมออกกวาดล้างผู้ที่มีความเห็นต่างจากประธานเหมาเจ๋อตง เกิดความวิตถารขึ้นหลายอย่าง เช่น ลูกๆ จับพ่อแม่มาอบรมด่าว่า ลูกศิษย์จับครูบาอาจารย์มาอบรม ทุบตี และด่าว่าด้วยศัพท์ที่หยาบคายรุนแรงอย่างไม่เคยเกิดขึ้นมาก่อน
ในพรรคคอมมิวนิสต์จีนเอง คนที่มีความคิดแบบทุนนิยมอยู่บ้าง จะถูกถอดถอนจากทุกตำแหน่ง คนอย่างเติ้ง เสี่ยว ผิง ซึ่งเคยรบเคียงบ่าเคียงไหล่มากับเหมาเจ๋อตงก็ยังถูกปลดจากทุกตำแหน่งในข้อหาว่าเป็นพวก “สลิ่ม” ส่งไปให้ทำงานเป็นกรรมกรอยุ่ในโรงงานผลิตรถแทรกเตอร์ที่มณฑลเสฉวน ส่วนประชาชนชาวสลิ่มที่ถูกรังแกข่มเหงมีถึง 10 ล้านคน เสียชีวิตไปหลายแสนคน
แต่พอเหมาเจ๋อตงเสียชีวิตในปี ค.ศ. 1976 พรรคคอมมิวนิสต์จีนได้เล็งเห็นถึงความหายนะและความล้าหลังของประเทศที่พวกหัวก้าวหน้าได้กระทำเอาไว้ จึงรีบเชิญพวกสลิ่ม เช่น เติ้ง เสี่ยว ผิง ขึ้นมามีอำนาจ นำความคิดแบบพวก “สลิ่ม” คือการเปิดประเทศทำมาค้าขายกับชาวโลกภายใต้ระบบเศรษฐกิจแบบเสรีนิยมจน #ทำให้จีนพัฒนาเติบโตร่ำรวยและก้าวหน้า จนอเมริกาและยุโรปตามไม่ทันจนถึงปัจจุบันนี้ และเมื่อระบบเศรษฐกิจแบบใหม่ก้าวหน้านำชาติเจริญจนพอใจแล้ว เติ้ง เสี่ยว ผิง ก็ลาออกจากทุกตำแหน่งมอบหมายให้นายหู จิ่น เทา เป็นประธานาธิบดีต่อจากตน พวกสลิ่มในสายตาของพวกหัวก้าวหน้า (เรดการ์ด) ก็ปกครองจีนต่อๆ กันมาจนเจริญมั่งคั่งมาจนถึงปัจจุบัน
3) ประเทศฝรั่งเศส : หลังจากการปฏิวัติใหญ่ล้มล้างสถาบันกษัตริย์ได้สำเร็จในปี ค.ศ. 1789 หลังจากนั้นพวกกบฏผู้มีชัยชนะก็แย่งชิงอำนาจฆ่าฟันกันเอง ประเทศถอยหลังไปร่วม 10 กว่าปี จนในที่สุดเพื่อสนองความต้องการลึกๆ ในหัวใจของประชาชนส่วนใหญ่ ระบบกษัตริย์ก็ถูกสถาปนาขึ้นมาใหม่ในปี ค.ศ. 1804 จนถึง ค.ศ. 1814 โดยมี #นโปเลียน ตั้งตนเป็นจักรพรรดิของฝรั่งเศส (หนักกว่าระบบกษัตริย์ที่ถูกพวกหัวก้าวหน้าล้มล้างไปเสียอีก)
จะเห็นว่านโปเลียนเองเริ่มต้นชีวิตการเมืองโดยเข้าร่วมเป็นพวกกบฎล้มล้างสถาบันกษัตริย์ของฝรั่งเศส แต่ตัวนโปเลียนหาได้รังเกียจตัวสถาบันไม่ยังคงเห็นความจำเป็นที่ฝรั่งเศสต้องมี เพื่อความมั่นคงของประเทศ จึงได้สถาปนาระบบกษัตริย์ขึ้นมาใหม่ เรียกได้ว่าในหมู่พวกกบฏหรือนักปฏิวัติในปี ค.ศ. 1789 นั้น ต้องถือว่านโปเลียนเป็นพวก “สลิ่ม” แต่ฝรั่งเศสก็ต้องกลับมาใช้พวกสลิ่มให้มา #แก้ปัญหาและนำชาติให้แข็งแกร่งเป็นที่ยำเกรงไปทั่วทั้งโลก และมรดกที่สำคัญที่สุดก็คือ นโปเลียนเป็นคนสั่งตั้งคณะกรรมการให้ยกร่างประมวลกฎหมายแพ่งและพาณิชย์ โดยพระองค์เองเข้าร่วมประชุมหลายครั้ง ประมวลกฎหมายแพ่งฯ ของฝรั่งเศสยุคนโปเลียนกลายเป็นแม่แบบของประมวลกฎหมายแพ่งฯ แก่ประเทศต่างๆ ไปทั่วโลกจนถึงปัจจุบัน
#สรุป ที่พูดมาทั้งหมดก็เพื่อชี้ให้เห็นว่า คนในชาติทุกๆ กลุ่ม แม้ความคิดเห็นไม่เหมือนกัน แต่ #ไม่ควรถือเป็นศัตรูคิดล้มล้างกันด้วยความรุนแรง อย่างที่เกิดขึ้นในจีนทั้งในสมัยจิ๋นซีฮ่องเต้และสมัยเรดการ์ดของเหมาเจ๋อตงและในสมัยการปฏิวัติใหญ่ของฝรั่งเศส ค.ศ. 1789 ทุกกลุ่มล้วนมีประโยชน์ ถ้ารอมชอมกันไม่ตั้งตนเป็นศัตรูกันและกัน คนที่มีหัวก้าวหน้าย่อมมีประโยชน์อย่างแน่นอน เพราะถ้าไม่มีพวกเขาคอยกระตุ้นพวกสลิ่ม (ทั้งนักการเมืองและข้าราชการ) ก็ไม่เคยคิดจะเปลี่ยนแปลงอะไรอย่างจริงๆ จังๆ เอาแต่ตัวเองรอดไปวันๆ (ถือคติของคนขี้ขลาดว่ารักษาตัวรอดเป็นยอดดี )อย่างที่เห็นอยู่กันในปัจจุบัน แต่ถ้าให้ประเทศต้องไหลเลื่อนเปลี่ยนแปลงอย่างรวดเร็วเพราะความใจร้อนของพวกหัวก้าวหน้า ที่อยู่ในความประมาทโดยไม่รู้ว่าอะไรควร อะไรไม่ควร อะไรทำได้อะไรทำไม่ได้ ประเทศก็จะประสบกับความวิบัติอย่างที่เกิดขึ้นในจีน ค.ศ. 1966 - 1976 และที่เกิดขึ้นในฝรั่งเศสช่วงปี ค.ศ. 1789 - 1804
#เฮเกล และ #คาร์ลมาร์ก เชื่อว่าการพัฒนาการของสังคมจากสภาวะเก่าที่เรียกว่า Thesis (ซึ่งก็คือความคิดเก่า) ไปสู่สภาวะใหม่ที่เรียกว่า Anti - Thesis (ความคิดใหม่ที่ก้าวหน้ากว่า) นั้น จะต้องผ่านขั้นตอนที่เรียกว่า #สภาวะสังเคราะห์ #Synthesis ซึ่งก็คือการนำความคิดเก่าและความคิดใหม่มาสังเคราะห์ให้พอเป็นที่ยอมรับกันได้ทั้งสองฝ่าย เพื่อเป็นแนวทางใหม่ให้กับสังคมหรือประเทศชาติ
เชื่อเถอะการใช้ความรุนแรงโดยตั้งตนเป็นศัตรูกันและกัน #ไม่มีใครชนะ #ทุกฝ่ายจะพ่ายแพ้ สลิ่มคิดจะใช้กำลังปราบความคิดก้าวหน้าของคนรุ่นใหม่ให้หมดได้อย่างไร เพราะความคิดเป็น “นามธรรม” คนพวกหัวก้าวหน้าจะคิดฆ่าแกงพวกสลิ่มให้หมดประเทศได้อย่างไร เพราะพวกเขามีปริมาณมากกว่าพวกหัวก้าวหน้าหลายเท่านักและความคิดเป็นนามธรรมที่ฆ่าได้ยากมาก
สภาวะสังเคราะห์ (Synthesis) น่าจะเป็นแนวทางที่ดีที่สุดสำหรับทุกๆ ฝ่าย และสำหรับประเทศเป็นส่วนรวม ถ้าลดสภาวะหลงตัวเอง หลงความคิดตัวเอง หลงในฐานะและผลประโยชน์ของตนเองลงมากันบ้าง
#ประเทศนี้ก็ยังพอมีทางออก #ไม่ต้องมาชี้หน้าด่ากันอย่างหยาบคาย อย่างที่ทำๆ กัน แล้วจะได้อะไรดีขึ้นมาโดยการทำเช่นนั้นเล่า
ผมขอเรียนว่าความเห็นที่ลงในเฟซบุ๊ก เป็น #ความเห็นส่วนตัวไม่เกี่ยวกับพรรคปชปแต่อย่างใด
ข่าวที่เกี่ยวข้อง
ความเป็นมาของรัฐธรรมนูญฉบับที่ 4 รัฐธรรมนูญแห่งราชอาณาจักรไทย (ฉบับชั่วคราว) พุทธศักราช 2490 (ตอนที่ 34): ‘กรมขุนชัยนาทนเรนทร’ ทรงตกเป็นเหยื่อการเมืองของหลวงพิบูลสงคราม
รัฐธรรมนูญฉบับที่ 4 รัฐธรรมนูญแห่งราชอาณาจักรไทย (ฉบับชั่วคราว) พุทธศักราช 2490 ประกาศใช้เมื่อวันที่ 9 พฤศจิกายน พ.ศ. 2490
'กูรูใหญ่' แฉเบื้องลึก! ทำไมนักการเมืองยุคนี้ไม่กลัว 'ยึดอำนาจ'
นายไพศาล พืชมงคล นักกฎหมาย และอดีตกรรมการผู้ช่วยรองนายกรัฐมนตรี (พล.อ.ประวิตร วงษ์สุวรรณ) โพสต์ข้อความผ่านเฟซบุ๊กว่า การเมืองไทยกำลังเข้าสู่ทางตัน
เพจพรรคประชาธิปัตย์ โพสต์ปลื้ม ‘คนคุณภาพประชาธิปัตย์’ ได้เป็นขรก.การเมือง
เฟซบุ๊กเพจ พรรคประชาธิปัตย์ โพสต์ข้อความว่า ครม. เห็นชอบ แต่งตั้ง “คนคุณภาพประชาธิปัตย์” เป็นข้าราชการการเมือง สังกัด ทส. และ สธ.
‘พล.ร.อ.พัลลัภ’ เตือนภัย กับดักบันได 3 ขั้น พ่ายเขมรเสียดินแดน..!! I อิสรภาพแห่งความคิด กับ..สำราญ รอดเพชร
อิสรภาพแห่งความคิด กับ..สำราญ รอดเพชร : วันเสาร์ที่ 02 พฤศจิกายน 2567
'เทพไท' เรียกร้องนิรโทษกรรมทุกกลุ่ม รวมคดี 112 ด้วย
นายเทพไท เสนพงศ์ อดีตสส.นครศรีธรรมราช โพสต์เฟซบุ๊กเรื่อง "พรบ.นิรโทษกรรม:ปรองดองจริงหรือ?" ระบุว่ากรณีนายนพดล ปัทมะ สส.บัญชีรายชื่อ พรรคเพื่อไทย กล่าวถึงการยื่นร่างพระราชบัญญัติ (พ.ร.