'พิภพ ธงไชย' ซัดต่างมีวาระซ่อนเร้นในเรื่องมาตรา 112

“พิภพ” ชี้ทั้งฝ่ายเสนอแก้ไขมาตรา 112 และ พล.อ.ประยุทธ์ ต่างมีวาระซ่อนเร้นทั้งนั้น แนะแยกคดี มาตรา 112 และคดีความมั่นคงมาพิจารณาในศาลเฉพาะ อย่าให้คดียืดเยื้อ

04 พ.ย.2564 - นายพิภพ ธงไชย อดีตแกนนำพันธมิตรประชาชนเพื่อประชาธิปไตย (พธม.) โพสต์ข้อความผ่านเฟซบุ๊กถึงเรื่องมาตรา 112 ว่า เรื่องมาตรา 112 จะแก้ไขอย่างไร แบบไหน ต้องศึกษาประวัติศาสตร์ ความเป็นมาของ กม.มาตรานี้ด้วย และนานาประเทศ ต่างก็มี กม.ปกป้องผู้นำประเทศ ไม่ว่าจะเป็นประธานาธิบดี หรือนายกรัฐมนตรี หรือองค์พระมหากษัตริย์ หรือไม่ ก็ปรากฏว่า ต่างมี กม.ปกป้องประมุขของประเทศ กันทุกประเทศ ฉะนั้นที่อ้างกันว่า ไม่มี กม.แบบนี้ในประเทศต่างๆ นั้นไม่เป็นความจริง เป็นความเท็จ ที่นำมาหลอกลวงทางการเมืองให้คนเข้าใจผิด เพียงแต่การกำหนดโทษ นั้นแตกต่างกัน กระบวนการพิจารณาคดีในกระบวนการยุติธรรม แตกต่างกัน ที่อาจก่อให้เกิดความไม่เป็นธรรมได้ ก็แก้ไขเฉพาะเรื่องนี้เสีย

การปกป้องการละเมิดสิทธิมนุษยชน การปกป้องสิทธิส่วนตัว ที่เรียกว่า กม.หมิ่นประมาท ในระดับประชาชนนั้นทุกรัฐ ทุกประเทศ ก็ต่างบัญญัติ ตราเป็น กม.ไว้ จะแตกต่างกันในบทกำหนดโทษ และวิธีพิจารณาในศาลก็แก้ไขส่วนนี้เสีย

การให้ยกเลิกมาตรา112 ยกเลิก กม.หมิ่นประมาท นั้นไม่ควรทำ เพราะ กม.มีไว้เพื่อปกป้องสิทธิส่วนบุคคลไม่ว่าจะเป็นประชาชนธรรมดา นายกรัฐมนตรี ประธานาธิบดี องค์พระประมุข ย่อมต้องมี กม.ไว้ปกป้อง เสมอกันจะแตกต่างกันในตำแหน่ง และหน้าที่รับผิดชอบเท่านั้น

ในทางการเมือง ที่ยกปัญหา มาตรา 112 มาในขณะนี้ ก็ต้องยอมรับกันว่า กลุ่มที่เคลื่อนไหว ท้าทาย ในขณะนี้ ต่างจงใจทำให้มาตรา 112 เป็นประเด็นทางการเมือง โดยมีจุดมุ่งหมายมากกว่าการยกเลิกมาตรา 112 ที่เรียกกันว่า “Hidden Agenda” หรือ “วาระซ่อนเร้น” ขณะเดียวกัน รัฐบาลพลเอกประยุทธ์ ก็ใช้ข้อหานี้มาจัดการการเคลื่อนไหวทางการเมือง ที่จงใจท้าทาย กม.มาตรา 112 ด้วยประเด็นทางการเมืองเช่นกัน ต่างมีจุดมุ่งหมายทางการเมืองเป็น”วาระซ่อนเร้น” กันทั้งสองฝ่าย ก็ต้องแก้ไขด้วยความคิดทางการเมืองที่ถูกต้องเสียใหม่ ด้วยการเปิดเผยวาระซ่อนเร้นของตัวเอง เปิดเผยให้ประชาชนรับรู้ เมื่อใช้ข้อกล่าวหามาตร 112 แล้ว ก็ควรเปิดการพิจารณาคดีความโดยไว อาจแยกคดี มาตรา 112 และคดีความมั่นคง มาพิจารณาในศาลเฉพาะ อย่าให้คดียืดเยื้อ ซึ่งจะส่อถึงความจงใจการใช้อำนาจรัฐที่ไม่เป็นธรรม ไม่ว่าจะเป็นตำรวจ หรืออัยการ หรือศาลยุติธรรม และรัฐบาล ที่ใช้มาตรา 112 เป็นเครื่องมือทางการเมือง ทำให้ส่งผลกระทบต่อองค์พระประมุขได้ ซึ่งเป็นเรื่องมิบังควร

บ้านเรา สยามประเทศ ปกครองด้วยระบอบประชาธิปไตย ที่มีองค์พระมหากษัตริย์อยู่ภายใต้รัฐธรรมนูญมีรัฐบาลที่มาจากการเลือกตั้ง หรือรัฐบาลที่มาจากการรัฐประหาร ล้วนมีหน้าที่บริหารประเทศ ปกป้องสถาบันกษัตริย์และประชาชน กับประเทศชาติ ทั้งสิ้น กลุ่มประชาชนคนรุ่นใหม่ ถ้าจะต่อต้านการรัฐประหาร ต่อต้านรัฐธรรมนูญ ที่ให้อำนาจ ส.ว. 250 คน ต่อต้านรัฐบาลประยุทธ์ ก็เป็นสิทธิ์อันชอบธรรมย่อมทำได้ แต่อย่าพยายามดึงสถาบันพระมหากษัตริย์ลงมาด้วย จะทำให้ประเทศชาติหาทางออกไปสู่ระบบประชาธิปไตยที่มาจากประชาชนโดยประชาชน และเป็นของประชาชน ไม่สำเร็จ และจะยืดเยื้อ แต่วิธีคิดของคนรุ่นใหม่ ชนชั้นกลางใหม่
และนักการเมืองฝ่ายคุณทักษิณ ต่างดำเนินงานทางการเมืองที่มีเป้าหมายแอบแฝงกันทุกคนตลอดมา เพียงแต่ไม่กล้าเปิดเผยจุดมุ่งหมายดังกล่าวที่เป็นจริง อย่างตรงไปตรงมา มีความกล้าๆกลัวๆ ทำเรื่องจริงปนเรื่องเท็จทางการเมืองมาตลอดเวลา

ถึงเวลาจะต้องแยกเรื่องเท็จออกจากเรื่องจริง การเปลี่ยนแปลงใดๆที่งดงาม และเป็นประโยชน์ ย่อมเกิดขึ้น ความดี ความงาม ความจริง และสันติประชาธรรม ย่อมเป็นสิ่งปรารถนาของคนส่วนใหญ่อยู่เสมอมา.

เพิ่มเพื่อน

ข่าวที่เกี่ยวข้อง

'ปิยบุตร' ดักคอพรรคจ้องดูด สส.งูเห่า เอาไปก็ไม่เกิดประโยชน์ต่อเสถียรภาพรัฐบาล

นายปิยบุตร แสงกนกกุล เลขาธิการคณะก้าวหน้า ในฐานะคณะกรรมาธิการ (กมธ.) วิสามัญพิจารณาร่างพระราชบัญญัติ (พ.ร.บ.) ว่าด้วยการออกเสียงประชามติ สัดส่วนพรรคก้าวไกล ให้สัมภาษณ์ก่อนการประชุมนัดแรก

ทนายสามนิ้ว สรุปผลคดีหมิ่นสถาบัน-ยุยงปลุกปั่น วันเดียว 12 ราย

นายกฤษฎางค์ นุตจรัสทนายความ ศูนย์ทนายสิทธิมนุษย์ชน กล่าวถึงการยื่นขอประกัน 12 จำเลยในคดีการชุมนุม เเละคดีตามประมวลกฎหมายอาญามาตรา 112 ในวันนี้ว่าคดีเเบ่งออกเป็นจำเลย 10 คน