ปลุก 'พลังเงียบ' ขวางแก๊งล้มเจ้า ตีแผ่ความจริงคว่ำเฟกนิวส์กัดกร่อนสถาบัน

'อดีตรองอธิการ มธ.' ซัดแก๊งล้มเจ้าอ้างปฏิรูปบังหน้า สร้างเครือข่ายล้างสมองคนรุ่นใหม่ กัดกร่อนทำลายสถาบันพระมหากษัตริย์ ปลุกพลังเงียบช่วยกันขวาง ตีแผ่ความจริงสู้เฟกนิวส์

29 ต.ค. 2564 - รศ.หริรักษ์ สูตะบุตร อดีตรองอธิการบดีฝ่ายบริหารบุคคล มหาวิทยาลัยธรรมศาสตร์ โพสต์ข้อความผ่านเฟซบุ๊กว่า ไม่ต้องสงสัยอีกต่อไปแล้วว่า ความพยายามปฏิรูปสถาบันพระมหากษัตริย์ ไม่ได้เป็นความพยายามปฏิรูปด้วยความหวังดีและจริงใจ หากแต่เป็นเพียงข้ออ้างเพื่อจะล้มล้างสถาบันพระมหากษัตริย์มากกว่า เพราะเงื่อนไขของการปฏิรูปที่เสนอ เป็นเงื่อนไขที่นอกจากไม่ให้พระมหากษัตริย์มีบทบาทใดๆ แล้ว ยังจำกัดเสรีภาพของมหากษัตริย์ให้มีน้อยกว่าประชาชนธรรมดาเสียอีก

ในขณะที่พร่ำบ่นว่าในระบอบประชาธิปไตย ประชาชนต้องมีเสรีภาพในการแสดงออก ประชาชนอยากจะพูดหรือแสดงความคิดเห็นอะไรในที่สาธารณะ ต้องสามารถทำได้ทั้งสิ้น แต่หนึ่งในข้อเสนอของการปฏิรูปสถาบันพระมหากษัริย์ กลับห้ามพระมหากษัติรย์แสดงความคิดเห็นทางการเมืองในที่สาธารณะ ในขณะที่ประชาชนสามารถทำได้ ยิ่งกว่านั้นการให้ยกเลิกประมวลกฎหมายอาญา มาตรา 112 ทำให้ใครก็ได้สามารถดูหมิ่น หมิ่นประมาท หรือแสดงความอาฆาตมาดร้ายต่อองค์พระมหากษัตริย์ได้โดยไม่มีความผิด แต่ประชาชนทั่วไปสามารถฟ้องหมิ่นประมาทใครก็ได้ นี่หรือคือความเท่าเทียมที่พวกเขาหมายถึง

ปากบอกว่า ต้องการปฏิรูปสถาบันพระมหากษัตริย์ด้วยความหวังดี เพื่อความมั่นคงของสถบันพระมหากษัตริย์เอง แต่การกระทำที่ผ่านมาทั้งหมด ยังไม่เห็นแม้แต่ครั้งเดียวที่เรียกได้ว่า เป็นความหวังดีต่อสถาบันจริงๆ มีแต่การกัดกร่อน ให้ร้าย หมิ่นแคลน สร้างความเกลียดชังต่อสถาบันพระมหาษัตริย์ให้เกิดขึ้นในกลุ่มคนที่ไม่มีข้อมูลที่เป็นจริง ไม่เว้นแม้แต่พระบาทสมเด็จพระเจ้าอยู่หัวพระองค์อื่นๆ ที่ประชาชนส่วนใหญ่รักและเทิดทูน เช่น พระบาทสมเด็จพระจุลจอมเกล้าเจ้าอยู่หัว รัชกาลที่ 5 และพระบาทสมเด็จพระเจ้าอยู่หัวภูมิพลอดุลยเดช รัชกาลที่ 9

ความพยายามล้มล้างสถาบันพระมหากษัตริย์ยังเป็นความพยายามที่ไม่ได้เกิดเองขึ้นตามธรรมซาติ หรือตามยุคสมัย แต่เป็นการดำเนินการที่ทำเป็นขบวนการ โดยสร้างเครือข่ายที่ประกอบด้วยขบวนการนักเรียน ขบวนการนิสิตนักศึกษา กลุ่มนักการเมืองบางกลุ่ม และองค์กรเอกชนต่างๆ โดยมีองค์กรเอกชนจากต่างประเทศให้เงินสนับสนุน สื่อบางสำนัก และกลุ่มนักวิชาการที่มีแนวคิดไปในทิศทางเดียวกันทั้งชาวไทยและชาวต่างชาติ ทั้งหมดทำงานเชื่อมโยงสอดคล้องกัน เพื่อไปสู่จุดหมายเดียวกัน

กลุ่มนักการเมือง กลุ่มสื่อบางสำนัก และกลุ่มนักวิชาการ ทำหน้าที่บ่มเพาะความคิดของเยาวชนคนรุ่นใหม่ ให้เห็นว่า พระมหากษัตริย์ โดยเฉพาะอย่างยิ่งในราชวงศ์จักรี ไม่ได้ทรงมีคุณูปการต่อประเทศแต่อย่างใดเลย มีแต่กดขี่ และเสวยสุขบนความทุกข์ยากของประชาชน สถาบันพระมหากษัตริย์คือต้นกำเนิดของความเหลื่อมล้ำและไม่เท่าเทียมกัน การมีสถาบันพระมหากษัตริย์เป็นความล้าหลัง และขัดขวางความเจริญรุ่งเรืองของประเทศ อีกทั้งสถาบันพระมหากษัตริย์ยังให้การสนับสนุนการทำรัฐประหาร พระมหากษัตริย์จึงไม่ใช่เจ้าของประเทศ ประชาชนต่างหากที่เป็นเจ้าของประเทศที่แท้จริง

นอกจากจะสร้างแนวคิดข้างต้นแล้ว กลุ่มการเมืองและกลุ่มนักวิชาการดังกล่าวยังได้เข้าไปจัดตั้งผู้นำนิสิตนักศึกษา นักเรียน และนักวิขาการรุ่นใหม่ๆ เหมือนดังเช่นที่พรรคคอมมิวเนิสต์แห่งประเทศไทยเคยทำ ให้ผู้ที่ได้รับการจัดตั้งเหล่านี้เป็นแกนนำในการเผยแพร่แนวคิด จัดกิจกรรมสนับสนุน และทำการเคลื่อนไหวสร้างมวลชน ทั้งภายในและภายนอกมหาวิทยาลัย

ในขณะเดียวกัน บรรดานักการเมืองที่อยู่ในขบวนการล้มล้างสถาบันพระมหากษัตริย์ ก็พยายามทำทุกวิถีทางที่จะจับผิด ขัดขวางทั้งในสภาและนอกสภาทุกเรื่องที่เกี่ยวพระมหากษัตริย์ ทั้งยังพยายามทำให้สิ่งที่องค์พระมหากษัตริย์ทรงทำเพื่อประโยชน์ของสาธารณะให้ดูด้อยคุณค่าลง

หนังสือ "นิทานวาดหวัง" ที่เป็นข่าวฮือฮาเมื่อเร็วๆ นี้แสดงให้เห็นว่า ขณะนี้ขบวนการนี้ได้เจาะลงไปถึงเด็กในระดับอนุบาลแล้ว

อย่างไรก็ดี ความพยายามในการล้มล้างสถาบันพระมหากษัตริย์ยังไม่มีทางสำเร็จในอนาคตอันใกล้ เนื่องเพราะประชาชนส่วนใหญ่ของประเทศยังให้ความสำคัญต่อสถาบันพระมหากษัตริย์อยู่ สังเกตว่าขบวนการนี้ไม่เคยกล้าท้าให้ทำประชามติเลยว่า ควรให้มีการปฏิรูปสถาบันพระมหากษัตริย์หรือไม่ ทั้งนี้เพราะพวกเขาไม่มีความมั่นใจ จึงไม่กล้าเสี่ยง หากลงประชามติแล้วแพ้ พวกเขาจะไม่สามารถอ้างประชาชนได้อีกต่อไป และขบวนการนี้อาจต้องหยุดลงอย่างน้อยก็เป็นการชั่วคราว

ความน่ากลัวในขณะนี้อยู่ที่ว่า คนที่ร่วมขบวนการนี้นับวันจะมีมากขึ้น คนรุ่นที่รู้เท่าทันนับวันจะเหลือน้อยลงเรื่อยๆ แล้วเราจะสามารถสกัดขบวนการนี้ไม่ให้เติบโตได้อย่างไร อย่าไปฝากความหวังไว้ที่รัฐบาลเพียงอย่างเดียว เพราะรัฐบาลเองก็มีจุดอ่อนมากมาย และจะทำแบบรัฐบาลจีนก็คงไม่ได้ เพราะความรู้สึกของประชาชนชาวจีนส่วนใหญ่ที่มีต่อรัฐบาล แตกต่างจากความรู้สึกของประชาชนชาวไทย อีกทั้งประชาชนจีนก็ไม่สามารถอ้างเสรีภาพแบบไร้ขอบเขตเหมือนประชาชนไทยบางกลุ่ม ขณะนี้ภายในพรรคพลังประชารัฐก็กำลังขัดแย้งกันอย่างหนัก แม้ทำท่าว่าจะสงบลง แต่เชื่อได้ว่าจะเป็นความสงบในระยะสั้นๆ อีกไม่นานความขัดแย้งก็จะปะทุขึ้นอีก

การจะสกัดขบวนการล้มล้างสถาบันพระมหากษัตริย์ให้ได้ผล ไม่ใช่การแข่งกันนำเพลงปลุกใจมาทำใหม่ หรือแต่งเพลงปลุกใจออกมาใหม่เพื่อเผยแพร่ ซึ่งทำให้บรรยากาศบ้านเมืองมีความคล้ายช่วงก่อนเหตุการณ์ 6 ตุลาคม 2519 มากขึ้นทุกที แทนที่จะทำเช่นนั้น พลังเงียบที่ยังเคารพและให้ความสำคัญต่อสถาบันพระมหากษัตริย์จะต้องไม่อยู่นิ่งเฉยเหมือนที่ผ่านมา เมื่อเห็นว่ามีการใช้ข้อมูลที่ไม่เป็นจริงโจมตีสถาบันพระมหากษัตริย์เพื่อสร้างความเกลียดชังให้เกิดขึ้น พวกเราที่เป็นพลังเงียบต้องไม่เป็นพลังเงียบอีกต่อไป ต้องช่วยกันออกมาทักท้วง และใครที่สามารถเข้าถึงข้อมูลที่เป็นจริงได้ ต้องนำความจริงออกมาให้ปรากฏในช่องทางต่างๆ ที่แต่ละคนเข้าถึงได้ อย่าปล่อยให้ขบวนการนี้สร้างแนวร่วมเพิ่มขึ้นเรื่อยๆ ด้วยการใช้ข้อมูลเท็จอีกต่อไป

เราต้องทำให้พวกขบวนการล้มล้างสถาบันพระมหากษัตริย์เห็นอย่างปฏิเสธไม่ได้ว่า พวกเขาเป็นเพียงคนกลุ่มน้อยในประเทศเท่านั้น และที่สำคัญคือต้องหลีกเลี่ยงการใช้ความรุนแรงทุกรูปแบบ ทั้งต้องหลีกเลี่ยงการโจมตีด้วยถ้อยคำรุนแรง แต่ใช้ความจริงเป็นเครื่องมือในการต่อสู้

มีแต่ทำเช่นนี้ เราจึงจะรักษาสถาบันพระมหากษัตริย์ให้คงอยู่เป็นศูนย์รวมจิตใจของคนไทยทั้งประเทศต่อไป ตราบนานเท่านาน.

เพิ่มเพื่อน

ข่าวที่เกี่ยวข้อง

'นักวิชาการ' วิเคราะห์ผลการเลือกสว.จะเป็นผลดีต่อประเทศชาติ มากกว่าเป็นผลเสีย

รศ.หริรักษ์ สูตะบุตร อดีตรองอธิการบดีฝ่ายบริหารบุคคล มหาวิทยาลัยธรรมศาสตร์ โพสต์ข้อความผ่านเฟซบุ๊ก ระบุว่า

ปูดวาระซ่อนเร้น! เหตุดึงดัน 'แจกเงินดิจิทัล'

รศ.หริรักษ์ สูตะบุตร อดีตรองอธิการบดีฝ่ายบริหารบุคคล มหาวิทยาลัยธรรมศาสตร์ โพสต์ข้อความผ่านเฟซบุ๊กว่า ได้คุยกับผู้เชี่ยวชาญด้านการเงินคนหนึ่ง ซึ่งได้เคยดำเนินการออกหุ้นกู้ให้กับบริษัทยักษ์ใหญ่

อดีตรองอธิการบดี มธ. เชื่อศาล รธน.วินิจฉัยคดี ‘นายกฯ’ เป็นคุณต่อประเทศแน่นอน

ตุลาการศาลรัฐธรรมนูญแต่ละท่าน มีความรู้ ผ่านการทำงานใหญ่มามากมาย มีความเป็นอิสระ ทั้งยังมีความเที่ยงธรรม

จับตา! 2 เรื่องใหญ่ บ่งชี้ใกล้ถึงจุดจบ 'รัฐบาลเพื่อไทย'

รศ.หริรักษ์ สูตะบุตร อดีตรองอธิการบดีฝ่ายบริหารบุคคล มหาวิทยาลัยธรรมศาสตร์ โพสต์ข้อความผ่านเฟซบุ๊กว่า แรกทีเดียวคิดว่าจะไม่เขียนเกี่ยวกับเรื่องข้าว 10 ปี