วันที่ 16 เม.ย. ดร.วิชาญ อิงศรีสว่าง รองอธิบดีกรมประมง กล่าวว่า จากนโยบายของรัฐบาลมอบหมายให้คณะกรรมการนโยบายประมงแห่งชาติให้ความสำคัญเรื่องการอนุรักษ์พันธุ์สัตว์ เพื่อคงไว้ซึ่งความหลากหลายทางชีวภาพ โดยเฉพาะสัตว์น้ำหายากหรือใกล้สูญพันธุ์ อาทิ “ฉลาม” ซึ่งมีแผนบริหารจัดการที่ได้รับความเห็นชอบจากคณะกรรมการฯ เรียบร้อยแล้ว กระทรวงเกษตรและสหกรณ์ได้ขานรับกับนโยบายดังกล่าวจึงมอบหมายให้กรมประมงจัดกิจกรรมเพื่อการอนุรักษ์และการบริหารจัดการฉลามของประเทศไทยด้วยการปล่อยฉลามที่ได้จากการขยายพันธุ์คืนสู่ธรรมชาติ สำหรับการขยายพันธุ์พันธุ์ฉลามกบ ซึ่งเป็นสัตว์น้ำที่อาศัยอยู่ในแนวปะการังปล่อยคืนสู่แหล่งน้ำธรรมชาติ เป็นหนึ่งในกิจกรรมภายใต้แผนปฏิบัติการแห่งชาติเพื่อการอนุรักษ์และการบริหารจัดการฉลามของประเทศ ซึ่งลูกปลาฉลามกบที่กรมประมงปล่อยคืนสู่ธรรมชาตินั้น เกิดจากการผสมพันธุ์ของพ่อ-แม่พันธุ์ที่ถูกรวบรวมจากธรรมชาติตั้งแต่ปี 2563 และดำเนินการเพาะขยายพันธุ์โดยศูนย์วิจัยและพัฒนาประมงทะเลระยอง
" ในปี 2564 สามารถเพาะขยายพันธุ์ลูกปลาฉลามกบประสบความสำเร็จพร้อมวางแผนปล่อยคืนสู่ธรรมชาติ จำนวน 100 ตัว ก่อนหน้านี้ ทยอยปล่อยไปแล้วจำนวน 20 ตัว ครั้งนี้ปล่อยเพิ่มอีกจำนวน 40 ตัว โดยฉลามกบที่ปล่อยครั้งนี้ มีอายุ 60 วัน ขนาดความยาว 15 – 18 เซนติเมตร เป็นเพศผู้จำนวน 29 ตัว และเพศเมียจำนวน 11 ตัว ปล่อยบริเวณเกาะมันนอก เป็นที่ที่มีสภาพแวดล้อมที่เหมาะสม อีกทั้งมีแหล่งอาศัยสัตว์ทะเล อย่างปะการังเทียมของกรมประมงซึ่งเป็นที่หลบภัยได้ดี คุณภาพน้ำดี และมีการพบปลาฉลามกบอาศัยอยู่ทำให้บริเวณดังกล่าวมีความเหมาะสมและปลอดภัย " ดร.วิชาญ กล่าวว่า
การเพาะพันธุ์ลูกปลาฉลามกบ โดยทำการเลี้ยงในบ่อเพาะฟัก
รองอธิบดีกรมประมง กล่าวว่า ฉลามจัดเป็นสัตว์น้ำที่สำคัญในห่วงโซ่อาหาร เนื่องจากการมีอยู่ของฉลามคือหลักประกันความสมดุลของโครงสร้างประชากรปลาทะเลเพราะในฐานะนักล่าลำดับสูงสุดฉลามทำหน้าที่กำจัดปลาที่เชื่องช้าป่วยหรือใกล้หมดอายุตามวัยช่วยคัดสรรสายพันธุ์ปลาอื่น ๆ ให้แข็งแรงรักษาสมดุลประชากรปลากินพืชให้อยู่ในระดับพอเหมาะไม่สร้างความเสียหายให้กับถิ่นที่อาศัย ขณะเดียวกันยังควบคุมพฤติกรรมของปลากินเหยื่อขนาดรองๆ ลงมาให้สามารถแบ่งสรรกันใช้ทรัพยากรได้อย่างเหมาะสม ซึ่งความหลากหลายของสายพันธุ์สิ่งมีชีวิตนี่เองที่ทำให้ท้องทะเลมีชีวิตชีวาและดึงดูดนักท่องเที่ยวให้มาชื่นชมความงามของโลกใต้ท้องทะเล
ลูกปลาฉลามฟักออกจากไข่
ด้านนายธนัช ศรีคุ้ม ผู้อำนวยการศูนย์วิจัยและพัฒนาประมงทะเลระยอง กล่าวว่า ปลาฉลามกบ เป็นฉลามที่อาศัยบริเวณพื้นท้องทะเลที่เป็นทรายหรือทรายปนโคลนตามชายฝั่งทะเล และกองหินใต้น้ำตามแนวปะการัง ในเขตน่านน้ำไทยสามารถพบได้ทั้งฝั่งอ่าวไทยและทะเลอันดามันมีพฤติกรรมชอบอยู่นิ่งๆ ไม่ดุร้าย กินพืชและสัตว์น้ำขนาดเล็กเป็นอาหาร ทางศูนย์ฯ ได้ดำเนินการเพาะพันธุ์ลูกปลาฉลามกบ โดยทำการเลี้ยงในบ่อเพาะฟัก และนำไข่ที่ได้จากการฟักของพ่อ-แม่พันธุ์แยกไว้ในตะกร้า โดยวางไข่กระจายออกจากกัน ไม่ให้เกิดการทับซ้อน เพื่อง่ายต่อการดูแลและป้องกันการเน่าเสีย สำหรับขั้นตอนการฟักไข่จะต้องทำความสะอาดและตรวจสอบไข่เป็นประจำทุกวันเพื่อแยกไข่เสีย ในขณะเดียวกันต้องหมั่นตรวจสอบคุณภาพของน้ำ ทั้งอุณหภูมิ ความเค็ม และความเป็นกรดด่างของน้ำที่ใช้ระหว่างขั้นตอนการฟักไข่ และเมื่อลูกปลาฉลามฟักออกจากไข่แล้ว จะนำไปแยกเลี้ยงในบ่ออนุบาล โดยฝึกให้กินอาหารมีชีวิต เช่น ลูกกุ้ง ลูกปลา เพื่อให้แน่ใจว่าลูกปลาฉลามเหล่านี้สามารถหาอาหารกินเองได้ในธรรมชาติก่อนที่จะทำการปล่อยลูกปลาฉลามกบคืนสู่ธรรมชาติ
สำหรับผู้สนใจศึกษาพฤติกรรรมการดำรงชีวิตฉลามกบสามารถชมได้ที่ สถานแสดงพันธุ์สัตว์น้ำระยอง (Rayong Aquarium) ถือเป็นแลนด์มาร์คอีกแห่งหนึ่งของจังหวัดระยอง ตั้งอยู่เลขที่ 2 หมู่ 2 ต.เพ อ.เมืองระยอง จ.ระยอง ภายในสถานแสดงฯ นอกจากจะมีการจัดแสดงฉลามกบแล้ว ยังได้รวบรวมและจัดแสดงพันธุ์สัตว์น้ำมีชีวิต สัตว์น้ำสวยงามและสัตว์น้ำที่หายาก ตลอดจนความรู้เกี่ยวกับอาชีพการทำการประมง เรือประมง และเครื่องมือประมงชนิดต่างๆ จากในส่วนนิทรรศการและพิพิธภัณฑ์ เปิดให้บริการในวันพุธ-ศุกร์ เวลา 10.00 น. – 16.00 น. วันเสาร์-อาทิตย์และวันหยุดนักขัตฤกษ์ เวลา 10.00 น. – 16.30 น. สามารถเยี่ยมชมได้ภายใต้มาตรการป้องกันการแพร่ระบาดโควิด