“บิ๊กตู่” ปักหมุดพลิกโฉมประเทศ เคาะ “แผนพัฒนาชาติ” ฉบับที่ 13


เพิ่มเพื่อน    

 

   หลังจากรัฐบาลเดินหน้าแผนพัฒนาเศรษฐกิจและสังคมแห่งชาติ เพื่อกำหนดแนวทางการพัฒนาเศรษฐกิจและสังคมของประเทศให้ประชาชนมีชีวิตและความเป็นอยู่ที่ดีขึ้น และเข้ามามีส่วนร่วมทุกขั้นตอนในการพัฒนาประเทศอย่างเป็นระบบ ซึ่งปัจจุบันเดินหน้าแผนพัฒนาเศรษฐกิจและสังคมแห่งชาติมาแล้ว 12 ฉบับ

            ล่าสุด รัฐบาลโดยความเห็นชอบของคณะรัฐมนตรี (ครม.) ที่มี “บิ๊กตู่” พล.อ.ประยุทธ์ จันทร์โอชา นายกรัฐมนตรีและรัฐมนตรีว่าการกระทรวงกลาโหม นั่งหัวโต๊ะ ได้เห็นชอบกรอบ “แผนพัฒนาเศรษฐกิจและสังคมแห่งชาติ ฉบับที่ 13” แล้วเมื่อวันที่ 7 เมษายนที่ผ่านมา โดยกรอบแผนพัฒนาฯ ฉบับที่ 13 นี้ จะครอบคลุมปี 2566-2570

            สำหรับ ร่างแผนพัฒนาฯ ฉบับที่ 13 ได้วางกรอบทิศทางการพัฒนาประเทศไทย มีจุดประสงค์ที่จะ “พลิกโฉมประเทศ” ให้เท่าทันและสอดคล้องกับพลวัตและบริบทของโลกที่เปลี่ยนแปลงไป โดยมีเป้าหมายหลักเพื่อนำไทยไปสู่ประเทศที่มี “เศรษฐกิจสร้างคุณค่า สังคมเดินหน้าอย่างยั่งยืน”

            โดยมีองค์ประกอบที่ต้องดำเนินการ 4 ด้าน คือ องค์ประกอบ เศรษฐกิจมูลค่าสูงที่เป็นมิตรต่อสิ่งแวดล้อม เพื่อสร้างมูลค่าเพิ่มจากการพัฒนา ต่อยอด และใช้ประโยชน์จากองค์ความรู้เทคโนโลยีและนวัตกรรม โดยการปรับทิศทางของภาคการผลิตเดิมที่มีความสำคัญและส่งเสริมภาคการผลิตที่ไทยมีศักยภาพ สอดรับกับทิศทางการเปลี่ยนแปลงของโลก

            สังคมแห่งโอกาสและความเสมอภาค เพื่อให้ทุกกลุ่มคนในประเทศมีโอกาสเลื่อนสถานะทางเศรษฐกิจและสังคมอย่างเต็มศักยภาพ และประเทศมีความเหลื่อมล้ำลดลงในทุกมิติ

            วิถีชีวิตที่ยั่งยืน เพื่อส่งเสริมรูปแบบการดำเนินชีวิตและกิจกรรมทางเศรษฐกิจที่เอื้อให้เกิดความยั่งยืนของทรัพยากรธรรมชาติ ระบบนิเวศ และสภาพภูมิอากาศ รวมถึงการประยุกต์ใช้เทคโนโลยี เพื่อมุ่งจัดการกับปัญหาที่เป็นภัยคุกคามสำคัญทั้งในไทยและในระดับโลก เช่น มลพิษทางอากาศ และก๊าซเรือนกระจก ปัจจัยสนับสนุนการพลิกโฉมประเทศ เพื่อพัฒนาปัจจัยสนับสนุนที่มีความสำคัญต่อการเปลี่ยนผ่านประเทศไปสู่การเป็น “เศรษฐกิจสร้างคุณค่า สังคมเดินหน้าอย่างยั่งยืน”

            ทั้งนี้ แผนพัฒนาฯ ดังกล่าวยังมีหมุดสำคัญคือ 1.ให้ไทยเป็นประเทศชั้นนำด้านสินค้าเกษตรและเกษตรแปรรูปมูลค่าสูง 2.ไทยเป็นจุดหมายของการท่องเที่ยวที่เน้นคุณค่าและความยั่งยืน 3.ไทยเป็นฐานการผลิตยานยนต์ไฟฟ้าของอาเซียน 4.ไทยเป็นศูนย์กลางทางการแพทย์และสุขภาพมูลค่าสูง 5.ไทยเป็นประตูการค้าการลงทุนและจุดยุทธศาสตร์ทาง โลจิสติกส์ที่สำคัญของภูมิภาค 6.ไทยเป็นฐานการผลิตอิเล็กทรอนิกส์อัจฉริยะและบริการดิจิทัลของอาเซียน

            7.ไทยมีผู้ประกอบการวิสาหกิจขนาดกลางและขนาดย่อม (SMEs) ที่เข้มแข็ง มีศักยภาพสูง และสามารถแข่งขันได้ 8.ไทยมีพื้นที่และเมืองหลักของภูมิภาคที่มีความเจริญทางเศรษฐกิจ ทันสมัย และน่าอยู่ 9.ไทยมีความยากจนข้ามรุ่นลดลงและคนไทยทุกคนมีความคุ้มครองทางสังคมที่เพียงพอ เหมาะสม 10.ไทยมีเศรษฐกิจหมุนเวียนและสังคมคาร์บอนต่ำ 11.ไทยสามารถลดความเสี่ยงและผลกระทบจากภัยธรรมชาติและการเปลี่ยนแปลงสภาพภูมิอากาศ 12.ไทยมีกำลังคนสมรรถนะสูง มุ่งเรียนรู้อย่างต่อเนื่อง ตอบโจทย์การพัฒนาแห่งอนาคต และ 13.ไทยมีภาครัฐที่มีสมรรถนะสูง

            อย่างไรก็ตาม แผนพัฒนาฯ ฉบับที่ 13 อยู่ระหว่างจัดรับฟังความคิดเห็นจากประชาชนทุกภาคส่วนiในช่วงเดือนมีนาคม-พฤษภาคม 2564 ผ่าน 3 ช่องทางหลัก ได้แก่ การประชุมระดมความเห็นระดับกลุ่มจังหวัดทั้ง 18 กลุ่มจังหวัด การประชุมระดมความเห็นกลุ่มเฉพาะ เช่น กลุ่มหน่วยงานภาครัฐและรัฐวิสาหกิจ กลุ่มภาคเอกชน และกลุ่มเยาวชน และการระดมความเห็นผ่านสื่อออนไลน์และสื่อสาธารณะ

            ส่วนการดำเนินงานในระยะต่อไป สำนักงานสภาพัฒนาเศรษฐกิจและสังคมแห่งชาติ (สศช.) จะนำกรอบแผนพัฒนาฯ ที่ผ่านการระดมความคิดเห็นไปดำเนินการยกร่างแผนพัฒนาฯ ตามกระบวนการที่ระบุไว้ในพระราชบัญญัติสภาพัฒนาการเศรษฐกิจและสังคมแห่งชาติ พ.ศ.2561 ให้แล้วเสร็จตามขั้นตอนต่อไป.


เมื่อวานคุยเล่น  เรื่องลูกพรรคเพื่อไทย ร้องขอให้ "นายใหญ่" ส่งเมีย "คุณหญิงพจมาน" มาเป็น "ขอนไม้ดุ้นใหม่" ของพรรค ให้ลูกกบ-ลูกเขียดในพรรคได้เกาะ  วันนี้ ขอคุยซีเครียดซักนิด

อนาคต 'คนนินทาเมีย'
'โควิดคลาย-โรคอิจฉาคุ'
ไทย"เหนือคาดหมาย"เสมอ
วิสัยทัศน์"อินทรี-อีแร้ง"
"การ์ดเชิญ"๒๑ ตุลา.
เปิดประเทศ"เปิดตรงไหน?"