14 เม.ย.2564 - รศ.นพ.ธีระ วรธนารัตน์ คณะแพทยศาสตร์ จุฬาลงกรณ์มหาวิทยาลัย โพสต์เฟซบุ๊กว่า สถานการณ์ทั่วโลก 14 เมษายน 2564 วันเดียวอินเดียติดไปกว่าแสนแปดหมื่นห้าพันคน ตุรกีพุ่งไม่หยุดตอนนี้เฉียดหกหมื่นคน คาดว่าพรุ่งนี้ยอดรวมจะทะลุสี่ล้านคน เมื่อวานทั่วโลกติดเพิ่ม 768,599 คน รวมแล้วตอนนี้ 137,990,396 คน ตายเพิ่มอีก 13,440 คน ยอดตายรวม 2,970,716 คน
อเมริกา เมื่อวานติดเชื้อเพิ่ม 74,946 คน รวม 32,065,787 คน ตายเพิ่ม 791 คน ยอดเสียชีวิตรวม 577,152 คน อัตราตาย 1.8% อินเดีย ติดเพิ่มมากถึง 185,248 คน รวม 13,871,321 คน ตายเพิ่ม 1,026 คน ยอดเสียชีวิตรวม 172,115 คน อัตราตาย 1.2% บราซิล ติดเพิ่ม 78,585 คน รวม 13,599,994 คน ตายเพิ่มถึง 3,394 คน จำนวนเสียชีวิตต่อวันมากที่สุดในโลก ยอดเสียชีวิตรวม 358,425 คน อัตราตาย 2.6% ฝรั่งเศส ติดเพิ่ม 39,113 คน ยอดรวม 5,106,329 คน ตายเพิ่ม 345 คน ยอดเสียชีวิตรวม 99,480 คน อัตราตาย 1.9% รัสเซีย ติดเพิ่ม 8,173 คน รวม 4,657,883 คน ตายเพิ่ม 338 คน ยอดเสียชีวิตรวม 103,601 คน อัตราตาย 2.2%
อันดับ 6-10 เป็น สหราชอาณาจักร ตุรกี อิตาลี สเปน และเยอรมัน ส่วนใหญ่ติดกันหลักพันถึงหลายหมื่นต่อวัน
แถบอเมริกาใต้ ยุโรป เอเชีย อย่างโคลอมเบีย เนเธอร์แลนด์ โปแลนด์ ยูเครน แคนาดา รวมถึงบังคลาเทศ อินโดนีเซีย ญี่ปุ่น และมาเลเซีย ยังติดกันเพิ่มหลักพันถึงหลักหมื่น
แถบสแกนดิเนเวีย บอลติก และยูเรเชีย ก็มีการติดเชื้อเพิ่มอย่างต่อเนื่อง ส่วนใหญ่หลักร้อยถึงพันกว่า แถบตะวันออกกลาง ประเทศส่วนใหญ่ยังติดเพิ่มหลักพันถึงหลักหมื่นอย่างต่อเนื่อง เกาหลีใต้ กัมพูชา และไทย ติดเพิ่มหลักร้อย ส่วนฮ่องกง และสิงคโปร์ ติดเพิ่มหลักสิบ ในขณะที่จีน นิวซีแลนด์ ออสเตรเลีย และเวียดนาม ติดเพิ่มต่ำกว่าสิบ
...สถานการณ์ระบาดทั่วโลกยังดูรุนแรงต่อเนื่อง อินเดียระลอกสองนี้ จำนวนติดเชื้อสูงสุดต่อวันนั้นมากกว่าระลอกแรก 1.89 เท่า และมีแนวโน้มสูงขึ้นไปได้อีก คงต้องเอาใจช่วยให้คุมได้โดยเร็ว ทั้งนี้อเมริกาเคยมีสถิติสูงสุดวันเดียวถึง 309,035 คนเมื่อ 8 มกราคม 2021 (ข้อมูลจาก Worldometers)
การระบาดของเราในครั้งนี้ แนวโน้มก็เป็นไปตามที่เคยได้เล่าแลกเปลี่ยนมาก่อนหน้านี้ ปรากฏการณ์ swiss cheese ที่เปรียบเหมือนมีปัจจัยเสี่ยงหลายเรื่องมาบรรจบกันพอดี ทำให้เราสามารถอธิบายการขยายวงของการระบาดไปอย่างรวดเร็วได้ วิธีแก้เฉพาะหน้าก็คือ ต้องช่วยกันปิดรูเนยแข็งเหล่านั้นให้ได้ นั่นคือ
หนึ่ง "อยู่บ้าน หยุดเชื้อ เพื่อตัวเราทุกคนเอง" เพื่อจำกัดจำนวนคนในสถานที่สาธารณะ ลดการพบปะกัน สอง "ออกจากบ้านเท่าที่จำเป็นเท่านั้น และใช้เวลาทำกิจธุระให้น้อยที่สุดเท่าที่จะทำได้ โดยต้องป้องกันตัวอย่างเคร่งครัด" เพื่อลดเวลาในการสัมผัสกัน และลดโอกาสแพร่เชื้อรับเชื้อ สาม "ตรวจคัดกรองให้มากที่สุดและเร็วที่สุดเท่าที่จะทำได้" เพื่อหาคนที่ติดเชื้อ และแยกออกมาจากคนที่ยังไม่ติดเชื้อ สี่ "นำคนที่ติดเชื้อเข้าสู่ระบบการดูแลรักษาจนหายดี" เพื่อรักษาชีวิต และลดโอกาสแพร่เชื้อไปให้ผู้อื่น ห้า "ทบทวนนโยบาย/มาตรการที่อาจทำให้เกิดความเสี่ยงต่อการระบาดซ้ำ หรือรุนแรงขึ้น"
สิ่งสำคัญมากๆ คือการดูแลประคับประคองทุกคนในสังคมให้สามารถอยู่รอดกันไปได้จากผลกระทบจากการระบาดที่เกิดขึ้น โดยเฉพาะอย่างยิ่งด้านเศรษฐกิจ เพราะการระบาดซ้ำหลายครั้งจะทำให้ทรัพยากรของแต่ละคนแต่ละครัวเรือนหรือแต่ละธุรกิจห้างร้านลดน้อยถอยลงไปเรื่อยๆ การรัดเข็มขัด ประหยัด เน้นใช้ของในประเทศ ลดการนำเข้าของที่ไม่จำเป็น คงเป็นมาตรการระยะสั้นที่สมควรนำมาพิจารณา
การเร่งหาแนวทางปรับรูปแบบการทำธุรกิจค้าขาย และบริการต่างๆ รวมถึงการท่องเที่ยว เดินทาง บันเทิง ให้มีรูปแบบถาวรที่เน้นความปลอดภัย ลดความเสี่ยงที่จะต้องล้มลุกคลุกคลานจากการระบาดในอนาคต นี่เป็นความสำคัญที่กลไกประชารัฐ คือทั้งรัฐ เอกชน ประชาชน ต้องช่วยกันทำอย่างจริงจัง เราจะต้องอยู่รอดปลอดภัยไปด้วยกัน ด้วยรักต่อทุกคน
เมื่อวานคุยเล่น เรื่องลูกพรรคเพื่อไทย ร้องขอให้ "นายใหญ่" ส่งเมีย "คุณหญิงพจมาน" มาเป็น "ขอนไม้ดุ้นใหม่" ของพรรค ให้ลูกกบ-ลูกเขียดในพรรคได้เกาะ วันนี้ ขอคุยซีเครียดซักนิด |
อนาคต 'คนนินทาเมีย' |
'โควิดคลาย-โรคอิจฉาคุ' |
ไทย"เหนือคาดหมาย"เสมอ |
วิสัยทัศน์"อินทรี-อีแร้ง" |
"การ์ดเชิญ"๒๑ ตุลา. |
เปิดประเทศ"เปิดตรงไหน?" |