13 เม.ย.64 - นายองอาจ คล้ามไพบูลย์ รองหัวหน้าพรรคประชาธิปัตย์(ปชป.) และประธานยุทธศาสตร์ กรุงเทพ ในฐานะผู้รับผิดชอบพื้นที่กทม. กล่าวถึงการเตรียมความพร้อมการเลือกตั้งท้องถิ่นในกทม. ว่า ขณะนี้พรรคได้เตรียมไว้2 ส่วนคือ เลือกตั้งสมาชิกสภากทม.(สก.) และ ผู้ว่าการกรุงเทพมหานคร(กทม.) เพราะคาดว่าจะเลือกตั้งพร้อมๆกัน โดยตลอดช่วงปี20 เราได้เตรียมผู้สมัคร จัดทำนโยบายที่ใช้ในการหาเสียง และทีมงานช่วยดำเนินการรณรงค์หาเสียงไว้แล้ว เราจะมีนโยบายเข้ามาแก้ไขและพัฒนากทม. ซึ่งได้จากการระดมความคิดเห็นจากบุคคลากรของพรรค เช่นสส. อดีตสก. สข. ตัวแทนสาขาพรรค. และระดมความเห็นจากคนภายนอกที่มีหลากหลายรูปแบบ ขณะเดียวกันก็มีการเจาะลึกลงไปเฉพาะกลุ่มเพื่อจะได้ทราบถึงความต้องการของคนกทม.อย่างแท้จริงว่า อะไรที่เป็นปัญหาที่ควรแก้ไข โดยจัดความสำคัญ5 ลำดับไว้ หากมีโอกาสได้เข้าไปทำงานไม่ว่าในสถานะสก. หรือผู้บริหาร ทั้งนี้ นโยบายดังกล่าวพร้อมที่จะใช้รณรงค์หาเสียงเลือกตั้ง
นายองอาจ กล่าวว่า สำหรับตัวบุคคลที่จะส่งรับเลือกตั้งสก. นั้น พรรคมีบุคคลากรอยู่แล้วประมาณ 20 กว่าคน ส่วนมากแสดงความจำนงที่จะลงสมัครรับเลือกตั้งกับพรรคต่อไป ส่วนที่เราต้องสรรหาใหม่อีกประมาณ 30 คน ขณะนี้มีประมาณ 90 เปอร์เซนต์ อีก10 เปอร์เซนต์ที่เหลือบางเขตมีคนสนใจมากกว่า 1 คน พรรคให้โอกาสทำงานในพื้นที่ เมื่อถึงเวลาเหมาะสมก็จะประชุมคณะทำงานสรรหาผู้สมัครสก.พิจารณาว่าใครเหมาะสม
เมื่อถามว่า ที่ผ่านมาพรรคมีปัญหาเลือดไหลในสนามสก. เพราะถูกพรรคอื่นดึงตัวไปจำนวนมาก มั่นใจได้อย่างไรว่าจากวันนี้จนถึงวันเลือกตั้งจะไม่มีปัญหานี้อีก นายองอาจ กล่าวว่า เราไม่มีทางรู้ล่วงหน้า แต่ก็ไม่ติดใจ ถือเป็นการตัดสินใจของแต่ละบุคคล ที่จะพิจารณาว่าจะทำงานกับเราต่อไป หรือไปอยู่พรรคอื่นด้วยเหตุผลหรือสาเหตุอะไร ที่ผ่านมาก็มีการดึงบุคลากรของพรรคประชาธิปัตย์อยู่ตลอดเวลา
“สำหรับผู้สมัครเลือกตั้งผู้ว่ากทม. ประชาธิปัตย์ดำเนินการสรรหาตัวผู้สมัครมาตั้งแต่ก่อนที่จะมีการเลือกตั้งทั่วไปแล้ว โดยมีการพูดคุยคนที่สนใจและคนที่พรรคคิดว่าน่าสนใจ 3-4 ท่าน จนขณะนี้เหลืออยู่ 2 ท่านที่อยู่ในข่ายพรรคจะพิจารณา เมื่อถึงเวลาเหมาะสมที่ต้องตัดสินใจ ก็จะมีการประชุมคณะกรรมการสรรหาและคณะกรรมการบริหารเพื่อตัดสินใจครั้งสุดท้าย คิดว่าคงไม่น่าจะมีใครมาขอลงสมัครเพิ่มอีกแล้ว เกณฑ์ในการเลือกผู้สมัครของเรา คือ มีรู้ความสามารถ เป็นบุคคลสาธารณะ ความมุ่งมั่น มีบุคคลิกลักษณะที่พร้อมจะทำงานร่วมกับคนอื่นได้ และมีภาวะผู้นำผู้บริหารระดับสูง” รองหัวหน้าพรรคประชาธิปัตย์ กล่าว
เมื่อถามต่อว่าพรรคสอบถามคนกรุงเทพพฯหรือไม่ว่าอยากได้ผู้ว่าฯแบบใด รองหัวหน้าพรรคปชป. กล่าวว่า ที่ผ่านมามีการสำรวจโพลออกมาจำนวนมากอยู่แล้ว พอที่จะสามารถนำมาประเมินได้ แต่พรรคเองก็มีการสำรวจเป็นระยะเช่นกัน ตนคิดว่า ผู้ใช้สิทธิ์ลงคะแนนทุกครั้งที่มีการเลือกตั้ง ใช้วิจารณาญาณในการพิจารณาตัดสินใจหาคนที่เหมาะสมที่สุดในการเข้ามารับผิดชอบทำงานในแต่ละประเภท แต่ละช่วงเวลา
ถามอีกว่า นายชัชชาติ สิทธิพันธุ์ อดีตรมว.คมนาคม พล.ต.อ.จักรทิพย์ ชัยจินดา อดีตผบ.ตร. พล.ต.อ.อัศวิน ขวัญเมือง ผู้ว่ากทม.คนปัจจุบัน ประกาศตัวจะลงสมัครรับเลือกตั้งผู้ว่าฯกทม. รอบที่จะถึงนี้ เท่าที่เห็นมีความกังวลหรือไม่ รองหัวหน้าพรรคปชป.กล่าวว่า เราจึงไม่วิตกกังวลว่าใครจะลงสมัคร เพราะทุกครั้งเราต้องแข่งขันกับผู้สมัครที่น่าสนใจ และเป็นคนดังๆทั้งนั้น คนที่แสดงตัวออกมาตอนนี้ก็เหมือนนักมวยที่กำลังฟุตเวิร์ค วอร์มอัพร่างกายก่อนเตรียมขึ้นชกเท่านั้น พอถึงเวลาชกจริงค่อยมาดูกันว่าใครจะชนะ หรือคนกรุงเทพจะเลือกใครดีกว่า ทั้งนี้ พรรคจะเน้นการเตรียมความพร้อมตั้งแต่รณรงค์หาเสียงจนถึงวันเลือกตั้ง หากประชาชนมอบความใจให้ทำงานก็ต้องพร้อมตั้งแต่วันแรกที่ได้รับตำแหน่งเลย
ถามถึงผลการสำรวจล่าสุดที่คนกรุงเทพ อยากให้การสนับสนุนผู้สมัครอิสระมากกว่าตัวแทนจากพรรคการเมือง นายองอาจ กล่าวว่า ขณะนี้มีแต่คนที่ประกาศตัวลงสมัครที่ชัดเจนว่าจะลงในนามอิสระ แต่ในส่วนของพรรคการเมืองยังไม่มีการเปิดออกมา จึงเป็นเรื่องธรรมดาที่ผลโพลจะออกมาลักษณะนี้ เพราะต้องให้ความเห็นกับคนที่เขารู้จักก่อน ตนคิดว่าเมื่อพรรคเปิดตัวแล้วผลสำรวจ อาจจะเปลี่ยนไปก็ได้
เมื่อถามว่าสนามเลือกตั้งผู้ว่ากทม.ครั้งนี้จะแตกต่างจากครั้งที่ผ่านๆมาอย่างไร นายองอาจ กล่าวว่า สนามการเลือกตั้งท้องถิ่นในกทม. กับเลือกตั้งระดับชาติ มีความแตกต่างกันอยู่แล้ว การตัดสินใจของประชาชนทุกครั้งจะพิจารณาเป็นเรื่องๆ เช่นในอดีตนายทักษิณ ชินวัตร ตั้งพรรคการเมืองในปี 42 และลงสมัครการเลือกตั้งทั่วไปในปี 44 เขากวาดที่นั่งได้เกือบทั้งหมด พรรคเราได้ไม่กี่คน แต่พอมีการเลือกตั้งผู้ว่ากทม. ในปี 47 มีการเลือกตั้งผู้ว่ากทม. มีคนมีชื่อเสียงแห่กันลงสมัครจำนวนมาก ปรากฎว่าคนกทม.กลับเลือกผู้สมัครของพรรคประชาธิปัตย์ คือนายอภิรักษ์ โกษโยธิน ผู้สมัครหน้าใหม่นอกวงการที่ไม่มีใครรู้จัก ทั้งที่กระแสนิยมรัฐบาลนายทักษิณขึ้นสูงมาก พอผ่านมาอีกแค่ 6 เดือน คนกทม.กลับมาเลือกส.ส.พรรคไทยรักไทยทั้งกรุงเทพ ผู้สมัครของเราตกเกือบหมดได้มาแค่2-3 คน มีส.ส.เก่าเพียงคนเดียว คือตน แสดงให้เห็นว่าคนกทม.เขาแยกเรื่องออกจากกัน ซึ่งเป็นตัวอย่างหนึ่งในอดีตที่ให้เห็นว่าคนกทม.ใช้สิทธิ์ลงคะแนนเสียงเลือกตั้งพิจารณาเป็นเรื่องๆในแต่ละครั้ง เขาพิจารณาองค์ประกอบหลายๆอย่าง และพิจารณาบุคคลที่เขาเห็นว่าเหมาะสมที่สุดในเรื่องนั้นๆ และตนยังมั่นใจว่าเลือกตั้งผู้ว่าฯกทม.ครั้งนี้จะยังคงเหมือนเดิม คือมีอิสระในการตัดสินใจอยู่แล้ว แต่เราไม่รู้ว่าเขาจะเลือกใคร ขึ้นอยู่กับผู้สมัครของแต่ละพรรคการเมืองว่าจะส่งใคร
ถามย้ำว่าแม้ครั้งนี้พรรคประชาธิปัตย์จะไม่มีส.ส.เขตในกทม. ก็ไม่เป็นปัจจัยสำคัญในการลงคะแนนของคนกรุงเทพใช่หรือไม่ นายองอาจ กล่าวว่า ไม่เกี่ยวข้องแน่นอน เพราะในอดีตเราได้ส.ส.น้อยกว่าพรรคไทยรักไทยถึง 1ใน3 แต่เรายังสามารถชนะเลือกตั้งผู้ว่าฯกทม. ได้
ส่วนนโยบายประชานิยมของรัฐบาลภายใต้การนำของพรรคพลังประชารัฐ เช่น คนละครึ่ง เรารักกัน ที่ดูเหมือนประชาชนจะพึงพอใจจะทำให้พรรคต้องกังวลหรือไม่ นายองอาจกล่าวว่า อย่าลืมว่าพรรคร่วมรัฐบาลก็ยังมีพรรคประชาธิปัตย์ และอีกหลายพรรคร่วมด้วย ถ้าไม่มีพรรคเหล่านี้ก็ไม่มีรัฐบาล อย่างไรก็แล้วแต่อยู่ที่ประชาชนจะคิดตัดสินใจ เรามีหน้าที่สรรหาคนที่ดีที่สุดเสนอให้เขาเลือกเท่านั้น
เมื่อถามว่านโยบายหาเสียงครั้งนี้จะเป็นเรื่องเก่าที่เป็นปัญหาเดิมๆในกทม. หรือมีนโยบายใหม่เกิดขึ้น นายองอาจ กล่าวว่าจะมีทั้งปัญหาเดิมๆ และปัญหาใหม่ เช่น PM2.5 ในการเลือกตั้งปี 56 เราไม่ได้ชูเรื่องนี้เพราะปัญหายังไม่รุนแรงขนาดนี้ เราจะต้องมีวิธีเสนอว่าจะแก้ปัญหาอย่างไร ส่วนปัญหาเก่าๆ น้ำท่วม ขยะ สิ่งแวดล้อม จราจร ปากท้องของประชาชน ก็ยังคงต้องมีอยู่
เมื่อถามว่าดูเหมือนจะมีแต่พรรคประชาธิปัตย์ที่ส่งผู้สมัครรับเลือกตั้งผู้ว่ากทม.ในนามพรรคการเมือง ส่วนพรรคอื่นๆจะสนับสนุนผู้สมัครอิสระ รองหัวหน้าพรรคปชป. กล่าวว่า เป็นสิทธิ์ของแต่ละพรรคการเมืองจะตัดสินใจอย่างไร แต่พรรคประชาธิปัตย์ให้ความสำคัญกับการกระจายอำนาจท้องถิ่น ซึ่งเป็นอุดมการณ์1ใน10ข้อของพรรคที่เริ่มตั้งแต่ก่อตั้ง ดังนั้น เราจะส่งเสริมการกระจายอำนาจให้ท้องถิ่นสามารถจัดการตนเองได้โดยคนของท้องถิ่นเอง และมีพรรคการเมืองสนับสนุน พิจารณาหาบุคคลที่เหมาะสมมาลงสมัคร และช่วยกันทำนโยบายที่สามารถนำไปใช้แก้ปัญหา พัฒนาให้ดียิ่งขึ้น ถือเป็นภาระหน้าที่พรรคการเมืองต้องทำอย่างเต็มที
เมื่อวานคุยเล่น เรื่องลูกพรรคเพื่อไทย ร้องขอให้ "นายใหญ่" ส่งเมีย "คุณหญิงพจมาน" มาเป็น "ขอนไม้ดุ้นใหม่" ของพรรค ให้ลูกกบ-ลูกเขียดในพรรคได้เกาะ วันนี้ ขอคุยซีเครียดซักนิด |
อนาคต 'คนนินทาเมีย' |
'โควิดคลาย-โรคอิจฉาคุ' |
ไทย"เหนือคาดหมาย"เสมอ |
วิสัยทัศน์"อินทรี-อีแร้ง" |
"การ์ดเชิญ"๒๑ ตุลา. |
เปิดประเทศ"เปิดตรงไหน?" |