24 พ.ค.61- เมื่อเวลา 14.30 น. วันที่ 24 พ.ค. ที่ศาลอาญา ถ.รัชดาภิเษก พนักงานสอบสวน บก.ป.ได้ควบคุมตัวพระพุทธะอิสระ หรือพระสุวิทย์ ทองประเสริฐ อายุ 59 ปี เจ้าอาวาสวัดอ้อน้อย จ.นครปฐม และอดีตแกนนำ กปปส. เวทีแจ้งวัฒนะ ผู้ต้องหาตามหมายจับศาลอาญา คดีอั้งยี่ซ่องโจร และคดีปลอมพระปรมาภิไธย 2 สำนวน มาฝากขังครั้งแรกต่อศาลอาญา เป็นเวลา 12 วัน ตั้งแต่วันที่ 24 พ.ค.- 4 มิ.ย.นี้ เนื่องจากการสอบสวนยังไม่เสร็จสิ้น โดยคดีอั้งยี่ซ่องโจรยังจะต้องสอบพยานบุคคลอีกไม่น้อยกว่า 30 ปาก และรอผลตรวจสอบประวัติพิมพ์ลายนิ้วมือผู้ต้องหา และผลการตรวจพิสูจน์ของกลางจากกองพิสูจน์หลักฐาน ส่วนคดีปลอมพระปรมาภิไธย ต้องรอสอบปากคำพยานอีก 5 ปาก และรอผลการตรวจลายพิมพ์นิ้วมือ
โดยคำร้องฝากขังคดีอั้งยี่ ซ่องโจร ระบุพฤติการณ์สรุปว่า เมื่อวันที่ 10 ก.พ.2557 ร.ต.ต.สมคิด เชยกมล และ ด.ต.วชิรพงศ์ อุ่นนวลบุรพงศ์ และ ร.ต.ต.สงวน คมขาว ผู้กล่าวหาที่ 1-3 ซึ่งเป็นเจ้าหน้าที่ตำรวจสันติบาล ประจำ จ.นนทบุรี ได้รับคำสั่งให้สืบสวนหาข่าวม็อบชาวนาที่หน้ากระทรวงพาณิชย์ จ.นนทบุรี โดยทั้งหมดแต่งกายนอกเครื่องแบบ ซึ่งม็อบชาวนา ได้เดินจากหน้ากระทรวงพาณิชย์ เพื่อยื่นหนังสือถึงอัยการสูงสุดที่ศูนย์ราชการ ถ.แจ้งวัฒนะ เพื่อดำเนินคดีโครงการจำนำข้าว โดยผู้กล่าวหาทั้งสามก็ได้เดินทางมากับม็อบชาวนาด้วย ขณะนั้นพระสุวิทย์ ผู้ต้องหากับพวกได้ยึดพื้นที่ชุมนุมบริเวณดังกล่าวอยู่แล้ว
แล้วเมื่อยื่นหนังสือเสร็จ ผู้กล่าวหา ได้เดินทางกลับมาที่ลานจอดรถ ก็มีกลุ่มการ์ดของผู้ต้องหา 3-4 คน เดินเข้ามาขอดูโทรศัพท์ของผู้กล่าวหาที่ 2 โดยทราบว่าเป็นเจ้าหน้าที่นอกเครื่องแบบแล้วจึงร่วมกันทำร้ายร่างกายจับมัดมือไพล่หลัง ใช้ผ้าปิดตา จากนั้นกลุ่มการ์ดวิ่งไปหา ผู้กล่าวหาที่ 1 แล้วร่วมกันทำร้ายเช่นเดียวกัน ส่วนผู้กล่าวหาที่ 3 หลบหนีไปได้ จากนั้นกลุ่มการ์ดได้ค้นตัวผู้กล่าวหาที่ 1-2 แล้วเอาโทรศัพท์มือถือ , นาฬิกา , สร้อยคอพร้อมพระไป และพาทั้งสองไปข้างเวที กปปส. ถ.แจ้งวัฒนะ บังคับขืนใจให้ตอบคำถาม กับบอกรหัสปลดล็อคหน้าจอโทรศัพท์ และทำร้ายด้วยการเตะ ต่อยที่ใบหน้า , ศีรษะ , ลำตัว ก่อนใช้ถุงคลุมศีรษะแล้วรัดปากถุงกับลำคอเพื่อให้ขาดอากาศหายใจ
กระทั่งวันเดียวกัน (10 ก.พ. 2557) ผู้บังคับบัญชาของผู้กล่าวหา ได้แจ้งให้ตำรวจ สน.ทุ่งสองห้อง ติดต่อกับพระสุวิทย์ ผู้ต้องหาให้ปล่อยตัว ซึ่งผู้ต้องหาให้ตำรวจไปพบที่บ้านทรงไทย ตรงข้ามกรมสอบสวนคดีพิเศษ (ดีเอสไอ) โดยให้หัวหน้าการ์ดกลุ่มฉลามขาว การ์ดประจำตัวผู้ต้องหา มารอรับที่หน้าบริษัท CAT
เมื่อไปถึงก็พาไปเต็นท์หลังเวทีปราศรัย อยู่ห่างจากบ้านทรงไทยประมาณ 100 เมตร โดยผู้ต้องหา ใช้วิทยุสื่อสารติดต่อกับบุคคล ซึ่งมีการสอบถามว่าตำรวจสันติบาล 2 คนยังอยู่หรือไม่แล้วบอกว่าสารวัตรสืบประสานขอรับตัวกลับ โดยภายหลังผู้ต้องหาได้หันมาบอกกับตำรวจว่าปล่อยให้กลับอยู่แล้วแต่ให้ผู้บังคับบัญชาของตำรวจทั้งสองมารับเอง ซึ่งระหว่างนั้น 3-4 ชั่วโมงกลุ่มการ์ดได้เปลี่ยนกันซักถามและทำร้ายร่างกายผู้กล่าวหา 2 คน ขณะที่กลุ่มการ์ด ได้ใช้ผ้าเย็นเช็ดใบหน้าและลำตัวพร้อมทั้งทาแป้งเพื่อลบรอยบาดแผล แล้วให้ผู้กล่าวที่ 1 กล่าวคำสาบานว่าจะไม่เอาผิดกลุ่มการ์ด กปปส. ก่อนจะพาผู้กล่าวหาที่ 1-2 ไปพบผู้ต้องหา โดยให้นั่งลงกับพื้นซึ่งได้แก้มัดที่มือออกแล้วแต่ยังให้ปิดตาไว้กับกำชับว่าอย่าวิ่งหนี ถ้าหนีจะโดนลูกปืน หลังจากนั้นผู้ถูกกล่าวหาได้ซักถามผู้กล่าวหาทั้งสองต่อหน้าสื่อมวลชนประมาณ 30 นาที ซึ่งมีการเผยแพร่ทั้งภาพนิ่ง-วีดีโอ ลงยูทูปกับเว็บไซต์ข่าวหลายสำนัก
ต่อมาเวลา 17.00 น.วันเดียวกัน ผู้บังคับบัญชาของผู้กล่าวหา ได้โทรศัพท์คุยกับผู้ต้องหาเพื่อขอรับตัวกลับ กระทั่งเวลา 18.30 ผู้ต้องหาจึงปล่อยตัวทั้งสอง ภายหลังผู้กล่าวหาทั้งสองถูกส่งตัวไปรักษาตัวที่ รพ.ตำรวจ
การกระทำของกลุ่มการ์ด กับพวกที่ยังไม่ทราบว่าเป็นใครอีก 7 คน ซึ่งปกปิดวิธีดำเนินการแต่งกายชุดดำอำพรางใบหน้า ได้กระทำตามความมุ่งหมายของผู้ต้องหา โดยทำร้ายผู้กล่าวหาที่ 1 มีแผลฟกช้ำ ใบหน้าและกลางอก , บาดแผลฉีกขาดริมฝีปาก , เยื่อแก้วหูฉีกขาดทั้ง 2 ข้าง , กระดูกซี่โครงขวาด้านหลังหัก และตับฉีกขาด ใช้เวลารักษานาน 6 สัปดาห์ ส่วนผู้กล่าวหาที่ 2 ได้รับบาดเจ็บแผลถลอกหน้าผากขวา 3 X 4 ซม. , แผลฟกช้ำตามร่างกายหลายแห่ง และโหนกแก้มซ้าย คางซ้าย ฟันซ้ายล่าง หักบิ่น และฟกช้ำกลางอก ต้นแขนขวา การกระทำของผู้ต้องหา และการกระทำของผู้ต้องหากับพวก ที่ทำให้ผู้กล่าวหาทั้งสองถูกประทุษร้ายต่อทรัพย์ อีกหลายรายการ รวมมูลค่า 60,900 บาท เป็นความผิด เหตุเกิดที่แขวงทุ่งสองห้อง เขตหลักสี่ กทม.
ซึ่งพนักงานสอบสวน ได้รวบรวมพยานหลักฐานแล้วยื่นคำร้องขอศาลอาญาออกหมายจับ เมื่อวันที่ 23 พ.ค. 2561 โดยศาลได้ออกหมายจับผู้ต้องหา เลขที่ 1115/2561 ลงวันที่ 23 พ.ค. 2561 กระทั่งวันที่ 24 พ.ค. พนักงานสอบสวนได้รับผู้ต้องหาตามหมายจับไว้ พร้อมแจ้งข้อหาฐานใช้ผู้อื่นให้ร่วมกันทำร้ายร่างกายเจ้าพนักงานซึ่งกระทำการตามหน้าที่ หรือเพราะเหตุที่จะกระทำตามหน้าที่ จนเป็นเหตุให้เกิดอันตรายแก่กายจิตใจ อันทำให้ได้รับอันตรายสาหัส, เป็นผู้ใช้ให้ผู้อื่นร่วมกันหน่วงเหนี่ยวกักขังให้เจ้าหน้าพนักงานซึ่งกระทำตามหน้าที่ปราศจาก เสรีภาพในร่างกายและเป็นเหตุให้ได้รับอันตรายสาหัส, เป็นผู้ใช้ผู้อื่นร่วมกันตั้งแต่ 5 คนขึ้นไป ข่มขื่นใจให้ผู้อื่นกระทำการใด หรือจำยอม โดยทำให้กลัวว่าจะเกิดอันตรายต่อชีวิต ร่างกาย เสรีภาพ ชื่อเสียง หรือทรัพย์สิน โดยใช้กำลังประทุษร้าย โดยผู้ถูกข่มขืนใจต้องกระทำการนั้น ไม่กระทำการนั้น หรือจำยอมต่อสิ่งนั้น โดยอ้างอำนาจอั้งยี่ หรือซ่องโจร, เป็นผู้อื่นให้ปล้นทรัพย์ ให้ผู้อื่นได้รับอันตรายแก่กายและจิตใจ เป็นเหตุให้ผู้อื่นได้รับอันตรายสาหัส และเป็นหัวหน้าผู้จัดการหรือผู้มีตำแหน่งหน้าที่ในอั้งยี่หรือซ่องโจร ซึ่งได้กระทำความผิดตามความมุ่งหมายของอั้งยี่หรือซ่องโจร อันเป็นความผิดตามประมวลกฎหมายอาญา มาตรา 296, 298, 310 วรรคสอง, 309 วรรคสองและวรรคสาม, 339 วรรคสอง, 340 วรรคแรกและวรรคสาม, 213 ประกอบมาตรา 84 ในชั้นสอบสวนผู้ต้องหาให้การปฏิเสธตลอดข้อกล่าวหา
ซึ่งคดีนี้พนักงานสอบสวนได้ขอคัดค้านการให้ประกันตัวผู้ต้องหาด้วย เนื่องจากเกรงว่าผู้ต้องหาจะเข้าไปยุ่งเหยิงพยานหลักฐานจนเป็นอุปสรรคก่อความเสียหายต่อการสอบสวน และเกรงว่าจะหลบหนี
ส่วนคำร้องฝากขัง “คดีปลอมพระปรมาภิไธย” ระบุพฤติการณ์สรุปว่า เมื่อวันที่ 10 เม.ย. 2560 นายวิชัย ประเสริฐสุดสิริ ได้เข้าทุกข์กล่าวโทษ ต่อพนักงานสอบสวน กก.5 บก.ป. ให้ดำเนินคดี กับผู้ต้องหา ที่นำอักษรพระปรมาภิไธย ภ.ป.ร. และอักษรพระนามาภิไธย ส.ก. มาประดิษฐานหลังองค์พระเครื่องโดยไม่ได้รับพระราชทาน พระบรมราชานุญาตจากพระบาทสมเด็จพระเจ้าอยู่หัวภูมิพลอดุลยเดช บรมราชบพิตร และสมเด็จพระนางเจ้าพระบรมราชินีนาถ ในรัชกาลที่ 9 โดยนายวิชัย ผู้กล่าวหา ได้ตรวจพบทางเว็บไซต์ว่าพระเครื่องดังกล่าว มีการสร้างเมื่อช่วงเข้าพรรษาปี 2554 บรรจุปรอทเมื่อวันที่ 15 ส.ค.2554 ซึ่งถือว่าเป็นวันที่สร้างพระสำเร็จ ผู้กล่าวหาเห็นว่าการกระทำดังกล่าวไม่ชอบด้วยกฎหมาย จึงร้องทุกข์ให้ดำเนินคดีฐานหมิ่นพระบรมเดชานุภาพ , ปลอมขึ้นซึ่งพระปรมาภิไธย และใช้พระปรมาภิไธยที่มีการปลอมขึ้น ตามประมวลกฎหมายอาญา มาตรา 112, 250, 252
โดยมีการสอบสวนพยานบุคคล พร้อมทั้งตรวจสอบไปยังสำนักงานพระพุทธศาสนายืนยันตรงกันว่า ผู้ต้องหาไม่ได้รายงานขอพระราชทานพระบรมราชานุญาต ตามกฎระเบียบของมหาเถรสมาคม และจากการสอบสวนพยานบุคคลเจ้าหน้าที่ กรมราชเลขานุการในพระองค์ ยืนยันว่าผู้ต้องหาไม่ได้ขออนุญาตใช้พระปรมาภิไธยย่อ และอักษรย่อพระนามาภิไธย ตามพฤติการณ์และพยานหลักฐาน จึงยืนยันว่า ผู้ต้องหาเป็นผู้สร้างพระนาคปรก อุดปรอท รุ่นหนึ่งในปฐพี ที่เป็นปัญหาในคดีนี้จริง โดยไม่ได้รับพระราชทานพระบรมราชานุญาตให้เชิญอักษรพระปรมาภิไธย และอักษรพระนามาภิไธยย่อ ไปประดิษฐานหลังองค์พระเครื่องดังกล่าว เหตุเกิดที่วัดอ้อน้อย ต.ห้วยขวาง อ.กำแพงแสน จ.นครปฐม ระหว่างปี 2554 – 15 ส.ค.2554
พนักงานสอบสวน จึงแจ้งข้อหาฐาน “ปลอมขึ้นซึ่งพระปรมาภิไธย และใช้พระปรมาภิไธยที่มีการปลอมขึ้น” ตามประมวลกฎหมายอาญา มาตรา 250, 252 ในชั้นสอบสวนผู้ต้องหาให้การปฏิเสธตลอดข้อกล่าวหา โดยขอให้การในชั้นศาล ขณะที่การฝากขังคดีนี้ พนักงานสอบสวน ระบุว่า หากผู้ต้องหาขอปล่อยชั่วคราวในชั้นศาล ก็ขอให้เป็นดุลยพินิจของศาล
ศาลพิจารณาคำร้องฝากขังทั้ง 2 คดีแล้ว ผู้ต้องหาไม่คัดค้าน อนุญาตให้ฝากขังได้ทั้ง 2 สำนวน ขณะที่ทนายความของพระพุทธะอิสระได้ยื่นคำร้องพร้อมหลักทรัพย์เป็นเงินสด จำนวน 150,000 บาท ในคดีอั้งยี่ซ่องโจร และเงินสดจำนวน 850,000 บาท ในคดีปลอมพระปรมาภิไธยฯ เพื่อขอปล่อยชั่วคราว
ผู้สื่อข่าวรายงานบรรยากาศระหว่างที่นำตัวพระพุทธอิสระมาฝากขังที่ศาลอาญาในช่วงบ่ายว่า ได้มีประชาชนที่มาให้กำลังใจกลุ่มคนอยากเลือกตั้งโห่ร้องและตะโกนด่า โดยตัวพระพุทธอิสระมีสีหน้าเรียบเฉย
ต่อมาในเวลา 18.00 น. ศาลมีคำสั่งยกคำร้องขอปล่อยชั่วคราวพระพุทธอิสระทั้ง 2 สำนวน โดยศาลพิเคราะห์พฤติการณ์แห่งคดี ความหนัก-เบาของข้อหาในส่วนคดีอั้งยี่ซ่องโจร ที่มีอัตราโทษจำคุกสูงและหลายข้อหา อีกทั้งมีผู้ร่วมกระทำผิดอีกหลายราย และผู้ต้องหาก็ยังเป็นบุคคลเดียวกับผู้ต้องหาในคดีปลอมพระปรมาภิไธยฯ ( พ.1107/2561) ประกอบกับพนักงานสอบสวน ก็คัดค้านการประกันตัวด้วย หากปล่อยชั่วคราวก็เกรงว่าผู้ต้องหาจะไปยุ่งเหยิงกับพยานหลักฐาน ในชั้นนี้จึงยังไม่อนุญาตให้ปล่อยชั่วคราวผู้ต้องหา ให้ยกคำร้อง ส่วนคดี พ.1107/2561 ปลอมพระปรมาภิไธยฯ ศาลพิเคราะห์พฤติการณ์แห่งคดี ความหนัก-เบาของข้อหาแล้ว เห็นว่าการกระทำของผู้ต้องเป็นความผิดร้ายแรง และเกี่ยวพันกับคดีอั้งยี่ซ่องโจร (พ.1106/2561) หากปล่อยชั่วคราวก็เกรงว่าผู้ต้องหาจะไปยุ่งเหยิงกับพยานหลักฐาน ในชั้นนี้จึงยังไม่อนุญาตให้ปล่อยชั่วคราวผู้ต้องหา ให้ยกคำร้อง
ผู้สื่อข่าวรายงานว่า ภายหลังศาลมีคำสั่งไม่อนุญาตให้ปล่อยชั่วคราวแล้ว มีการนิมนต์พระสงฆ์ ชั้นผู้ใหญ่ 3 รูปจากสำนักพุทธศาสนา และเจ้าหน้าที่อีก 3 คนจากสำนักงานพระพุทธศาสนาแห่งชาติ (พศ.) มาทำการสึกจากความเป็นพระ โดยถอดพระเหลือง แล้วให้สวมชุดขาว ซึ่งได้ทำการสึกภายในห้องควบคุมผู้ต้องขังของราชทัณฑ์ บริเวณใต้ถุนศาลที่มีสภาพมิดชิดบุคคลภายนอกไม่สามารถมองเห็นได้ โดยเป็นส่วนเฉพาะของเจ้าหน้าที่เท่านั้น
จากนั้นเมื่อทำการสึกจากความเป็นสงฆ์แล้ว เจ้าหน้าที่ราชทัณฑ์ ได้นำรถกระบะของเรือนจำ มาจอดรอที่ทางออกห้องคุมขังดังกล่าว ก่อนคุมตัวอดีตพระพุทธะอิสระขึ้นรถกระบะของเรือนจำทันทีเพื่อนำตัวไปคุมขังที่เรือนจำพิเศษกรุงเทพฯ ระหว่างการฝากขังนี้ต่อไป ซึ่งระหว่างถูกนำตัวขึ้นรถเรือนจำ มีประชาชนที่ศรัทธาถึงกับร้องไห้ พร้อมกับร้องโวยวายคร่ำครวญว่า ทำไมคนดีที่ต่อสู้เพื่อชาติและศาสนาจะต้องโดนอย่างนี้
ผู้สื่อข่าวรายงานด้วยว่า แม้ศาลยังไม่ให้ประกันตัว แต่หลังจากนี้อดีตพระพุทธะอิสระก็ยังสามารถใช้สิทธิตามกฎหมายที่จะยื่นคำร้องขอประกันตัวใหม่ต่อศาลอาญา หรือยื่นอุทธรณ์การประกันตัวต่อศาลอุทธรณ์ต่อไป ซึ่งการยื่นสามารถดำเนินการได้ตลอดในช่วงระยะฝากขังในคดีดังกล่าว.
เมื่อวานคุยเล่น เรื่องลูกพรรคเพื่อไทย ร้องขอให้ "นายใหญ่" ส่งเมีย "คุณหญิงพจมาน" มาเป็น "ขอนไม้ดุ้นใหม่" ของพรรค ให้ลูกกบ-ลูกเขียดในพรรคได้เกาะ วันนี้ ขอคุยซีเครียดซักนิด |
อนาคต 'คนนินทาเมีย' |
'โควิดคลาย-โรคอิจฉาคุ' |
ไทย"เหนือคาดหมาย"เสมอ |
วิสัยทัศน์"อินทรี-อีแร้ง" |
"การ์ดเชิญ"๒๑ ตุลา. |
เปิดประเทศ"เปิดตรงไหน?" |